จอมยุทธ์ระบบเลเวล ตอนที่ 148
ดวงตาที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณพลันลืมตาขึ้น
วินาทีถัดมาฉินเทียนก็ขมวดคิ้วก่อนจะเก็บกลิ่นอายกลับเข้าร่าง ในใจตกตะลึง “ท่านเจ้าเมือง?”
ตึก ตึก ตึก…
มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากในความมืด เสียงฝีเท่านั้นกําลังมุ่งตรงมายังทิศทางที่ฉินเทียนอยู่
แต่ละฝีเท้าลงน้ําหนักไปที่ชั้น ฟังแล้วคล้ายกับเป็นเสียงของรองเท้าส้นสูง
จังหวะก้าวเดินนี้ทําให้ฉินเทียนถึงกับชะงัก ห้วงความคิดปรากฏภาพขาเรียวยาว องค์เอวคอดกิ่ว และหน้า อกที่เต่งตึงราวกับหัวทารก เขาจินตนาการเห็นภาพพี่สาวอกสะบึมกําลังเดินบิดเอวใกล้เข้ามา แววตาเริ่มเปลี่ยน เป็นเลื่อนลอยขึ้นมา..
ยิ่งคิดภาพก็ยิ่งไม่อาจควบคุมตัว
เพียงแค่เสียงของฝีเท้าก็ทําให้เขาจิตใจปั่นป่วนถึงเพียงนี้ หากพบเจอหน้ากันจริงๆเล่า?
“เจ้าเมืองอสูร?”
ฉินเทียนรีบโคจรพลังปราณสลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป เพราะหากยังปล่อยเนื้อปล่อยตัวต่อไปคงแสดงความทุเรศออกมาแล้ว
เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา ฉินเทียนหรี่ตามองโดยรอบแต่ก็ยังไม่พบเห็นสิ่งใด ทันใดนั้นกลิ่นหอมจรุงสายหนึ่งก็ลอยกระทบจมูก ฉินเทียนใจหายวาบพลางรีบกลั้นลมหายใจ เขารีบส่งเสียงถามขึ้นอย่างมีเคารพ “ท่านเจ้าเมือง?”
ที่ตอบกลับมามีเพียงความเงียบ
เสียงเท้ายิ่งเข้าใกล้ กลิ่นหอมนี้ก็ยิ่งรุนแรง
ฉินเทียนเรียกใช้กลิ่นอายนักล่าก่อนจะคว้าน้ําเหลว รอบข้างไร้ซึ่งกลิ่นอายใดๆโดยสิ้นเชิง ฉินเทียนเหงื่อแตกพลั่ก เขารีบเรียกใช้พลังมังกรพิสุทธิ์คุ้มครองดวงจิตเอาไว้ “ใช่ท่านประมุขเจ้าเมืองหรือไม่?”
เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ฟังจากเสียงดูแล้วฉินเทียนก็คาดว่าอีกฝ่ายห่างจากตนไปสิบกว่าเมตรเท่านั้น
นี่เป็นระยะที่ใกล้มาก ฉินเทียนยังคงมองไม่เห็นสิ่งใด ไม่มีแม้แต่เงาคน
จู่ๆเสียงฝีเท้าก็หยุดลง ฉินเทียนตาเบิกค้างเพราะเสียงฝีเท้าครั้งสุดท้ายนั้นเกิดขึ้นตรงหน้าของเขาเอง
ฉินเทียนต้องการจะถอยหลัง หากแต่สองเท้ากลับแข็งที่อไม่ยอมเชื่อฟัง
ฉินเทียนรีบเรียกใช้คชสารชําระล้างพร้อมถ่ายพลังทั้งหมดไปที่สองขา แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามเพียงใด ขาทั้งสองก็ยังคงไม่ขยับ
ทุ่ง!
เกิดเสียงราวกับฟองอากาศที่ผุดโผล่ขึ้นมาจากบึงน้ํา
ต่อจากนั้นฉินเทียนก็รู้สึกว่าขาทั้งสองข้างกําลังค่อยๆจมลงไปกับพื้น ความเย็นเริ่มลุกลามขึ้นจากสองเท้า ร่างกายของฉินเทียนกําลังจมลงไป!
ฉินเทียนพลันเปิดใช้บ้าคลั่งขั้นที่สองอย่างตื่นตระหนก ค่าสถานะทั้งหมดพลันเพิ่มขึ้นอีกแปดเท่า พลังคชสารสามารถสําแดงพลังได้มากกว่าเดิม เสียงมังกรและคชสารคารามก้อง ด้วยสภาวะของเขาในตอนนี้ ฉินเทียนมั่นใจว่าสามารถสังหารขั้นสวรรค์ช่วงระดับต้นได้อย่างง่ายดาย ทว่าพลังนี้ก็ยังไม่อาจหยุดไม่ให้ร่างกายจมลงไป
ยิ่งเขาดิ้นรนมากเท่าใด ร่างกายของขาก็ยิ่งจมเร็วขึ้นเท่านั้น
เมื่อร่างกายจมไปได้ครึ่งหนึ่งก็หยุดลง หากอยากให้ข้าตายก็ไม่จําเป็นต้องทําเรื่องให้วุ่นวายเช่นนี้ แทนที่จะดิ้นรนต่อไปไม่สู้รอดูสถานการณ์ก่อน”
ฉินเทียนเก็บพลังปราณเข้าร่าง รอให้ร่างกายค่อยๆจมหายลงไปในพื้นอันดํามืด
ลําแสงสายหนึ่งกระทบลงบนเปลือกตา
ฉินเทียนค่อยๆลืมตาขึ้นก่อนจะพบเห็นภูเขาขาวเนียนสองลูกที่ชวนให้กําเดาไหลอยู่ตรงหน้า ฉินเทียนรีบถอยหลังครึ่งก้าวแล้วก็พลันต้องรู้สึกเสียใจขึ้นมา ในใจด่าทอตัวเองซ้ําแล้วซ้ําเล่าว่าใยจึงไม่มีความกล้ามากกว่า
เมื่อครู่นี้จมูกของฉินเทียนอยู่ห่างจากภูเขาหิมะทั้งสองลูกเพียงครึ่งฝ่ามือ ขอเพียงตนเองโน้มตัวออกไปเล็กน้อยก็จะกระทบถูก จากนั้นเขาจะได้รับรู้ความรู้สึกของการได้ขึ้นสวรรค์ ภูเขาทั้งสองทั้งเต่งตึงและขาวนวลเนียน อีกทั้งร่องอกนั่นยังน่าดูมาก ผ้าชิ้นบางที่ปกปิดยอดเขาทั้งคู่อยู่นั้นยิ่งกระตุ้นให้ผู้คนอยากจะฉีกกระชากผ้าชิ้นนั้นออกเพื่อเชยชมความงดงามของโลกใบนี้
“เอิ๊อก!”
ฉินเทียนกลืนน้ําลายลงคออย่างอยากลําบาก ที่มุมปากมีน้ําลายไหลซึมออกมาไม่หยุดราวกับสุนัขป่าหิวกระหาย
ภูเขาหิมะคู่นั้นมีความดึงดูดใจผู้คนจนฉินเทียนแทบควบคุมตัวเองไม่อยู่ ยิ่งกว่านั้นเสื้อผ้าที่นางสวมใส่ยังน้อยชิ้นและบางจนแทบจะโปร่งแสงจนเผยให้เห็นผิวพรรณขาวนวลราวกับหยก ทั้งงดงามและดูน่าถนุถนอม รูปร่างสัดส่วนของนางก็สมบูรณ์ไร้จุดบกพร่อง ตั้งแต่เกิดมาฉินเทียนยังไม่เคยพบเจอสตรีที่ชวนตะลึงถึงเพียงนี้มาก่อน
ดวงตาคู่งามของนางกระจ่างใสราวล่าธาร ในแววตามประกายดึงดูดใจคน ดวงตากลมโตนั้นจ้องมองฉินเทียนปริบๆ เป็นยอดหญิงงามโดยแท้
“ฮ่ฮ่ฮ่….”ลมหายใจของฉินเทียนเริ่มเปลี่ยนเป็นกระชั้นเร่งร้อน เลือดลมภายในร่างเริ่มพลุ่งพล่านราวกับต้องการระบายออก อดทนมาถึงตอนนี้ฉินเทียนก็ไม่อาจสะกดกลั้นอีกต่อไป ธาตุแท้หมาป่าของเขากู่ร้องขึ้นในใจ เป็นสัญญาณของการออกล่า เสียงมารในใจกระซิบบอกให้เขารีบกลืนกินโฉมงามที่เบื้องหน้าซะ
“เจ้า….เกิดอะไรขึ้น?” นางเอ่ยถามอย่างงุนงง ลมหายใจที่ออกมายังหอมหวนยิ่ง
ฉินเทียนบังคับสายตาเสมองไปทางอื่น พลางเอ่ยปากตอบอย่างยากล่าบาก “มะ…ไม่มีอะไร”
บัดซบ ดูเหมือนวันนี้อยากจะผ่านพ้นเคราะห์กรรมแล้ว!” ฉินเทียนมองไปทางอื่นพลางหอบเอาอากาศ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นแดงก่ํา ท่อนล่างเริ่มผงาดขึ้นอย่างไม่อาจควบคุม สตรีที่งามล่มเมืองแบบนี้ สตรีซึ่งงดงามขนาดนี้….สวรรค์เอย หรือท่านไม่คิดให้ข้าเหลือทางรอดเลยงั้นรี?
“ทนไม่ไหวแล้ว…
ทนต่อไปไม่ไหวแล้วโว้ย!
สายตาของฉินเทียนหลงเหลือเพียงเงาร่างของสตร์ที่สวมชุดบางเบาราวกับปีกจักจัน ศูนย์รวมสายตาของเขาจับจ้องไปยังหน้าอกหน้าใจอันโตนั้นอย่างเหม่อลอย เสื้อผ้าข้างบนก็บาง ข้างล่างก็บาง…เงาร่างเบื้องหน้าช่างเย้ายวนใจจนแทบไม่อาจละสายตาไปได้ชั่วชีวิต
นี่มันชุดนอนไม่ได้นอนชัดๆ…
ไม่ไหว….ไม่ไหวแล้ว…..
ฉินเทียนเป็นเพียงแค่ชายหนุ่มธรรมดาทั่วไป มีหรือที่จะประสบพบโชควาสนาที่จะได้เห็นสาวสวยถึงเปลือยแบบเต็มสองตาเช่นนี้?
ฉินเทียนราวกับกําลังหลับฝัน ช่างเป็นฝันที่วาบหวานจนไม่อยากจะลืมตาตื่น เขาอยากจะจมอยู่ในฝันดีเช่นนี้ไปชั่วนิรันดร์…
“แค่กๆ…”เสียงกระแอมไออันสง่างามพลันดังขึ้น
ฉินเทียนใจเต้นระรัว ร่างกายเริ่มสั่นสะท้าน ไฟราคะภายในใจพลันมอดดับลง ฉินเทียนพลันได้สติกลับมา
ห่างออกไปไม่ไกลนักมีเก้าอี้บังลังก์ซึ่งแกะสลักเป็นลายดอกไม้อันงดงามตั้งอยู่ สตรีที่นั่งอยู่บนบัลลังก์นั้นแลดูมีความเป็นผู้ใหญ่ งดงามและมีเสน่ห์อย่างมาก ฉินเทียนเทียนไม่กล้าจ้องมองนางตรงๆอีก ในใจพลันสวดภาวนาไม่หยุดเพื่อรักษาสงบจิตสงบใจ ได้เห็นนางก็ทําให้เขาพลันคิดไปถึงเหล่านางเซียนบนตําหนักสวรรค์ที่บริสุทธิ์งดงาม หากแต่สตรีที่เบื้องหน้านี้ยังสูงส่งยิ่งกว่า
นัยน์ตาของนางเป็นสีม่วงอ่อน ลึกเข้าไปในตาคู่นั้นยังแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งความมืดอยู่อย่างอ่อนจาง
บรรยากาศพลันเปลี่ยนเป็นเงียบกริบ แม้แต่แสงที่โอนเอนไปมาเบื้องบนก็หยุดยั้งลงราวกับทุกอย่างสยบต่อนาง
นางก็คือประมุขแห่งเมืองอสูร ไหจื๋อเยว่
ระดับสี่ขั้นจักรวาล…….