บทที่ 162 เจ้าห่วงใยเขาหรือ

สำรับมนตราของชายาอ๋อง

บนต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ข้างหน้าเฉียงไปทางซ้ายประมาณห้าสิบหรือหกสิบเมตร ชายในชุดเกราะกำลังนั่งยอง ๆ อยู่บนต้นไม้พลางมองดูทั้งหมดนี้ด้วยสายตาที่เย็นชา และตกตะลึงเล็กน้อยเมื่อฉินปู้เข่อมาถึงตัวเขา

ฉินปู้เข่อที่กิน ‘เยลลี่แจ๋วแหวว’ สัมผัสได้ถึงการแสดงออกอันละเอียดอ่อนนี้ นางจึงวิ่งไปสองสามก้าวแล้วโยนลำต้นของต้นไม้บนบ่าของนาง

“อ๊ะ!”

โครม!

ชายบนต้นไม้ถูกต้นไม้ลอยหวือมากระแทก ปากของเขาถูกลำต้นของต้นไม้ใหญ่กระแทกจนกระอักเลือดออกมา

วินาทีสุดท้ายก่อนที่ตาของเขาจะปิดลง เขาเห็นสตรีร่างเล็กสวมเสื้อผ้าผู้ชายที่มีผ้าไหมสีฟ้าโบกสะบัดอยู่ตรงหน้าเขา และในหัวใจของเขาก็มีคำถามสุดท้ายที่เหลือตอนยังอยู่ในโลกว่า “นางมองเห็นข้าและมีพลังแข็งแกร่ง อีกทั้งยังเสียงดังมากเช่นนั้นได้อย่างไร”

“ฮ่า ๆ เจ้าไก่น้อยอ่อนแอ”

ฉินปู้เข่อถอนต้นไม้ที่ขนาดเล็กกว่าเดิมเล็กน้อยแล้วถือไว้เป็นอาวุธในมือ แล้วโบกไปมาด้วยพละกำลังอันแข็งแกร่งอย่างไร้ขอบเขต

มือสังหารที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวสั่นสะท้านด้วยพละกำลังและเสียงอันดุดันของนาง หมี่โม่หรู่ อู๋เหินและอู๋หัวจึงใช้โอกาสนี้หยิบดาบขึ้นมาและก้าวไปข้างหน้า และดาบอันคมกริบก็กลายมาเป็นสีแดงฉานโดดเด่นอีกครั้ง

เสื้อคลุมที่เขาสวมเปื้อนเลือดของตนเองและคนอื่นอยู่แล้วจึงมองไม่เห็นสีเดิม

มีคนมากกว่าสิบคนทะยานมาจากฟากฟ้า

ฉินปู้เข่อพยายามลืมตาที่กลายเป็นสีแดงอ่อนอย่างเต็มที่เพื่อแยกแยะฝ่ายพันธมิตร “พี่ชายสามพาคนมาที่นี่แล้ว!”

สิ้นเสียงนั้นหมี่ฉงก็พาคนมากวาดล้างความไม่สงบ

“เจ้าเจ็ด ข้ามาสายเสียแล้ว” หมี่ฉงและต้าเฮ่าก็กำลังยุ่งเหมือนกัน และดูเหมือนว่าพวกเขาจะกวาดล้างกองกำลังติดตามของมือสังหารออกไปได้แล้วเมื่อพวกเขามาถึง

ฉินปู้เข่อรู้ตัวว่านางมีเวลาเหลืออีกไม่มากแล้ว นางจึงรีบหยิบ ‘น้ำห้ามเลือด’ สองสามขวดออกมาแล้ววิ่งไปข้างหมี่เฉินอี้ “รีบใช้มันกับเซินหมิงและตัวท่านเอง ไม่ต้องห่วง ข้ายังมีอยู่อีกเยอะ”

“อืม” หมี่เฉินอี้รับ ‘น้ำห้ามเลือด’ เมื่อมองเห็นดวงตาของฉินปู้เข่อก็อุทานด้วยความตกใจว่า “สาวน้อย! ดวงตาของเจ้า…”

ฉินปู้เข่อฟังเสียงเพื่อระบุตำแหน่ง ทิวทัศน์เบื้องหน้าของนางค่อย ๆ เปลี่ยนจากสีแดงอ่อนเป็นสีแดงเลือด และจากสีแดงเลือดเป็นความมืดมิด

นางรู้ว่าประสิทธิภาพของเยลลี่ได้หมดลงแล้ว และบัดนี้ดวงตาของนางกลายเป็นเหมือนหลุมเลือดกลม ๆ สองรูที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก

เสียงการต่อสู้ในหูของนางเบาลงเล็กน้อยและฉินปู้เข่อก็โล่งใจ นางวางนิ้วชี้บนริมฝีปากและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เสด็จอาเพคะ นี่เป็นความลับเล็กน้อยที่หม่อมฉันไม่สามารถอาจบอกโม่หรู่ได้”

ครั้งสุดท้ายที่นางใช้ตาของนาง นางซ่อนตัวอยู่ในห้องของจานหานชิวเป็นเวลาสองสามวัน ดังนั้นหมี่โม่หรู่จึงไม่เคยรู้เลยว่านางมีอาการเช่นนี้ และครั้งนี้ดวงตาของนางจะกลับมาเป็นปกติหลังจากที่นางหลับไปเป็นเวลาสามวัน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องให้หมี่โม่หรู่รู้จะได้ไม่ต้องกังวล

ติ๊ง–

ติ๊ง–

เสียงของระบบดังก้องอยู่ในใจของนาง นางมองไปที่ลำต้นของต้นไม้ที่หมี่เฉินอี้พิงอยู่แล้วอ้าปาก แต่ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา

“สาวน้อย ข้าอยู่ตรงนี้ เจ้าต้องการจะพูดอะไร?” หมี่เฉินอี้เรียกเบา ๆ เพื่อช่วยให้นางรู้ว่าเขาอยู่ตรงไหน บัดนี้นางมองไม่เห็นไปแล้วหรือ?!

ทันใดนั้นร่างเพรียวก็ล้มเอียงไปด้านข้าง และหมี่เฉินอี้ก็เอื้อมมือออกไปรับนางไว้อย่างรวดเร็ว

หมี่โม่หรู่กวาดสายตามาเห็นภาพนั้นพอดี และร่างของเขาก็มาปรากฏขึ้นที่ด้านข้างของฉินปู้เข่อ เขาอุ้มคนที่กำลังพิงแขนของหมี่เฉินอี้และร้องเรียกสองครั้ง “เสี่ยวเข่อ? เสี่ยวเข่อ?”

หญิงสาวหน้าซีดหลับตาและลูบแขนของเขา ค้นหาตำแหน่งที่ค่อนข้างสบายเพื่อพิงอย่างแนบชิดด้วยท่าทางและการหายใจที่ผ่อนคลาย

จากประสบการณ์ทั้งสองครั้งก่อนหน้านี้ หมี่โม่หรู่จึงไม่ได้กระวนกระวายมากนัก เขารู้ว่านางต้องนอนพักสักสองสามวันหลังจากใช้พละกำลัง และนางก็จะเป็นใบ้ไปสองสามวันหลังจากใช้พลังนี้

“นางได้รับบาดเจ็บหรือ?” หมี่เฉินอี้ถามอย่างกังวล เขาเคยตรวจสอบชีพจรของหญิงสาว และพบว่านางไม่มีกำลังภายใน แต่บัดนี้นางสามารถใช้พละกำลังที่ดุร้ายและเสียงที่รุนแรงมากกว่าคนปกติหลายเท่าได้

หากหมี่โม่หรู่ไม่ได้เตือนเขาให้ใช้กำลังภายในเพื่อปกป้องหูของเขา เขาก็คงจะหูหนวกเหมือนมือสังหารเหล่านั้นไปแล้ว

สีหน้าของหมี่โม่หรู่อ่อนลง เขาค่อย ๆ อุ้มนางขึ้น แขนเสื้อกว้างของเขาคลุมใบหน้าที่หลับสนิทของนางและพูดเบา ๆ ว่า “นางเหนื่อยเกินไปจึงเผลอหลับไป”

หลังจากการต่อสู้กับมือสังหารสิ้นสุดลง หมี่ฉงก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาก เขาเก็บดาบของตัวเองแล้วเหลือบมองคนที่กำลังหลับอยู่ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เสด็จอา ท่านเคยเห็นหลานสะใภ้เจ็ดผู้มีพละกำลังแข็งแกร่งและใช้พลังราชสีห์คำรามหรือไม่ ต้องขอบคุณเจ้าเจ็ดที่อดทนอย่างหนัก ซึ่งเขาคงทนไม่ไหวแน่หากนางเปลี่ยนไป”

อาหลานที่เดินอยู่หยุดชะงักชั่วคราว และทั้งคู่ก็เหลือบมองหมี่ฉงที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยสายตาตำหนิ

หมี่ฉง “…”

ในใจพลางคิดว่า ‘เป็นอะไรไป ข้ายังไม่ได้พูดอะไรผิดเลย…’

“พูดจาเหลวไหล” หมี่เฉินอี้สูดหายใจอย่างเย็นชาระงับความไม่สบายใจในใจ แม่สาวน้อยนั้นเพียงแค่ ‘ผล็อยหลับไป’ อย่างง่าย ๆ จริงหรือ?! แต่ดวงตาของนาง…

“เสด็จอา สองสามวันนี้พวกเรากำลังทำงานที่เขตหลินเป่ย ดังนั้นพวกเราต้องย้อนกลับไปและอาจจะล่าช้าสักสองสามวัน จึงอาจจะไม่ได้เดินทางไปกับท่าน”

หมี่โม่หรู่ไม่ได้มีเจตนาที่จะรู้ถึงเรื่องราวภายในของการลอบสังหารหมี่เฉินอี้ที่นี่ แต่เขาคิดว่ามันเป็นเพราะเขาได้ช่วยพระชายาตัวน้อยจากต๋งชวนในวันนั้น หลังจากนั้นชายหนุ่มก็ตรงไปที่รถม้าที่หมี่ฉงนำมา และกลับไปยังบ้านหลังเล็กข้างหลังสำนักงานเขตหลินเป่ย

สามวันต่อมาในตอนเย็น แสงอาทิตย์ยามอัสดงสีส้มทำให้ลานบ้านอบอุ่น

ฉินปู้เข่อหลับตาและบิดตัวอยู่บนเตียง เมื่อนางลืมตาขึ้นเล็กน้อยก็เห็นชายหนุ่มรูปงามข้างเตียงจับใบหน้าของนางไว้ และมองมาที่นางอย่างอ่อนโยน

“เฮ้อ” นางยืดตัวขึ้นและบีบแก้มของหมี่โม่หรู่ “นอนหลับสนิทเลยเพคะ”

หมี่โม่หรู่อุ้มนางขึ้นและดึงหมอนนุ่ม ๆ มาให้พิงหลัง ตรวจดูนางอย่างระมัดระวังจากบนลงล่าง และสุดท้ายก็เพ่งไปที่ดวงตาอันแดงก่ำของนาง และพูดด้วยความเป็นห่วงว่า “หลับสนิทหรือว่ายังไม่ได้นอนเลยกันแน่”

ฉินปู้เข่อขยี้ตา “หลับสนิทเพคะ” ดูเหมือนว่าความเร็วในการฟื้นตัวของดวงตาจะช้าลงเล็กน้อยในแต่ละครั้ง และเลือดสีแดงในตาขาวก็ต้องใช้เวลาสี่หรือห้าวันในการฟื้นฟูให้บรรเทาอย่างสมบูรณ์

หมี่โม่หรู่จับมือนางอย่างอ่อนโยน และเตือนนางด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “คราวหน้าเจ้าอย่าประมาทนัก ข้ารู้ดีว่าบางทีเจ้าอาจจะหยิบของวิเศษออกมากินเพื่อจะระเบิดพลังได้ในเวลาสั้น ๆ แต่ดูจากการนอนหลับที่ยาวนานของเจ้าแล้ว มันจะทำร้ายร่างกายของเจ้า ดังนั้นอย่าเอามาใช้อีกเลย”

การทำลาย ‘ระบบ’ เริ่มต้นด้วยการไม่ใช้สิ่งที่อยู่ในนั้น นี่คือสิ่งที่หมี่โม่หรู่คิดอยู่ในขณะนั้น เขารู้น้อยมากเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่รู้จักนี้และทำได้เพียงค่อย ๆ สำรวจตามการคาดเดาของตัวเอง

“หม่อมฉันไม่อยากเห็นท่านได้รับบาดเจ็บ มันเป็นเรื่องฉุกเฉินจึงจำเป็นต้องใช้เพคะ” ฉินปู้เข่อโอบรอบคอเขาแล้วพึมพำ “และหม่อมฉันก็รู้ด้วยว่าท่านอยู่เคียงข้างหม่อมฉัน และท่านจะคอยปกป้องหม่อมฉันหลังจากที่หม่อมฉันหลับไป หม่อมฉันจึงกล้าใช้มัน”

คำพูดฉอเลาะทำให้หมี่โม่หรู่อารมณ์ดี เขาจำได้ว่าฉินปู้เข่อสามารถตะโกนใส่มือสังหารในป่าได้ เขาจึงคิดในใจว่าไม่สามารถบ่นนางได้และทำได้เพียงเตือนนางครั้งแล้วครั้งเล่า โดยหวังว่านางจะให้คำมั่นสัญญาได้

“หมี่เฉิน… เสด็จอาเสด็จไปที่ใดแล้ว” เมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่นางไปที่ป่า ฉินปู้เข่อก็รู้สึกว่านางจะต้องไปแสดงความขอบคุณต่อหมี่เฉินอี้ เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็เป็น ‘อา’ ที่รู้วิธีปกป้องหลานชายของตัวเอง

“ข้าไม่ได้ถาม แต่เขาคงมีแผนการของตัวเอง” หมี่โม่หรู่ตอบอย่างเย็นชา และหัวใจของเขาก็อึดอัดขึ้นมาในทันใด “เสี่ยวเข่อเป็นห่วงเสด็จอาหรือ”

……………………………………………………………………………