ตอนที่ 158 เคล็ดลับที่ไม่อาจเผยแพร่ได้

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 158 เคล็ดลับที่ไม่อาจเผยแพร่ได้

นอกตัวอำเภอเป่ยซาน ม้าสามตัววิ่งออกมาจากตัวอำเภอ ลงแส้เร่งความเร็วไปตลอดทาง สองฝั่งทางหลวงคือทุ่งนา ต้นข้าวเขียวขจีงอกงาม

เมื่อผ่านทุ่งนาไป เส้นทางหลวงทอดตรงเข้าสู่ป่า ขณะที่อาชาสามตัวเพิ่งจะควบเข้าไปในเขตเนินเขา จู่ๆ พลันได้ยินเสียงผิวปากดัง “วี้ด” แว่วมา ทั้งสามคนหันไปมอง เห็นเหลยจงคังที่ยืนอยู่บนเนินเขาด้านข้างกำลังกวักมือมาทางพวกเขา

เฮยหมู่ตาน ต้วนหู่และอู๋ซานเหลี่ยงรั้งบังเหียนหยุดม้าในทันใด วกกลับไปที่ด้านล่างเนินเขา

เฮยหมู่ตานเงยหน้าถาม “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?”

ก่อนหน้านี้หนิวโหย่วเต้าให้นางมาหาต้วนหู่และอู๋ซานเหลี่ยงที่อำเภอเป่ยซาน สถานที่ที่จะรวมตัวกันไม่ได้อยู่ที่นี่ ยังต้องเดินทางต่อไปอีกระยะหนึ่ง

มีเสียงฝีเท้าม้าดังกุบกับแว่วมาจากบนเนินเขา มองเห็นหนิวโหย่วเต้าที่นั่งอยู่บนหลังม้าปรากฏตัวขึ้นข้างกายเหลยจงคัง ทอดมองพวกนางลงมาจากด้านบน เท้าทั้งสองข้างกระทุ้งสีข้างม้าเล็กน้อย ม้าพาเขาวิ่งทะยานลงมาจากบนเนิน

เหลยจงคังที่อยู่บนเนินเขาหันหลังเดินกลับไป ผ่านไปครู่หนึ่งก็ควบม้าพุ่งตามลงมาเช่นกัน

“เต้าเหยี่ย!” ต้วนหู่และอู๋ซานเหลี่ยงประสานมือทักทายพร้อมกัน มีสีหน้ายินดีที่ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง

แม้นจะยังเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักอยู่ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ขอเพียงได้พบหนิวโหย่วเต้า พวกเขาก็จะไม่รู้สึกว่าตนยังคงเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักที่ลำบากยากแค้นอีก

“ทุกคนลำบากหน่อยนะ!” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยกับทั้งสองด้วยรอยยิ้มละไม จากนั้นพยักเพยิดหน้าไปทางเฮยหมู่ตาน

เฮยหมู่ตานรีบรายงานทันที “เต้าเหยี่ย ข้าเห็นแล้วเจ้าค่ะ นอกจากโคมไฟแล้ว ใต้ชายคาโรงเตี๊ยมยังมีบุปผาสีแดงดอกใหญ่ที่ดูสะดุดตาอย่างยิ่งแขวนเอาไว้ดอกหนึ่งด้วยเจ้าค่ะ”

หนิวโหย่วเต้าพยักหน้ารับ

ต้วนหู่เอ่ยขึ้นมาอีกว่า “เต้าเหยี่ยขอรับ ระหว่างที่พวกเราเดินทางมาอำเภอเป่ยซาน พบเห็นจุดพักม้ากำลังถูกตรวจจับอยู่ขอรับ ลองสอบถามดูแล้ว ดูเหมือนจะเป็นการจับกุมสายสืบที่ซ่อนตัวในจุดพักม้าเหล่านั้นขอรับ”

“ไปเถอะ!” หนิวโหย่วเต้ายิ้มขึ้นมาเล็กน้อย บังคับม้าหักเลี้ยวออกเดินทาง ทั้งสี่คนไล่ตามไป

สำหรับเรื่องที่ต้วนหู่กล่าวถึง ระหว่างทางเขาก็ได้แวะสืบข่าวจากจุดพักม้าแล้วเช่นกัน จ่ายเงินไปเล็กน้อยก็ล้วงข้อมูลจากคนเลี้ยงม้าได้แล้ว จุดพักม้าหลายแห่งล้วนมีเหตุการณ์จับกุมคนขึ้น

เมื่อได้ข่าวเช่นนี้ เขาก็ทราบว่าทางไห่หรูเยวี่ยได้จัดการตามที่เขาบอกแล้ว

อันที่จริงตอนนั้นเขาเองก็สามารถติดต่อกับเจ้าหน้าที่ในท้องที่ด้วยตัวเองได้ ทว่าเจ้าหน้าที่ระดับล่างพวกนั้นมีความซับซ้อนยุ่งยากเกินไป ไม่มีทางรู้ได้ว่าใครเป็นอย่างไร ไม่มีทางรู้เลยว่าเจ้าหน้าที่เหล่านั้นจะมีความจงรักภักดีต่อราชสำนักแคว้นจ้าวสักเท่าไร ไม่มีทางรู้เลยว่าเจ้าหน้าที่เหล่านั้นจะมีการขัดแย้งแบ่งฝักแบ่งฝ่ายจนปิดบังเรื่องนี้เอาไว้หรือไม่ ไม่อาจมั่นใจได้เลยว่าเจ้าหน้าที่เหล่านั้นจะไปรายงานราชสำนักได้ทันการหรือไม่ อีกอย่างคือไม่มีผู้ใดรู้ว่าเจ้าหน้าที่เหล่านั้นจะเป็นสายสืบเหมือนอย่างพวกคนเลี้ยงม้าเหล่านั้นหรือไม่ ตัวเขาที่ได้เห็นชาวบ้านต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากไม่ค่อยเชื่อใจเจ้าหน้าที่เหล่านั้นสักเท่าไร

ประกอบกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเองก็ไม่มีอำนาจตัดสินใจอะไรมากนัก คนส่วนใหญ่ไม่กล้าแบกรับภาระ แค่ได้รับรายงานเรื่องหนึ่งมาแล้วจะให้พวกเขารายงานขึ้นไปอย่างนั้นเหรอ? หนิวโหย่วเต้าไม่ไว้ใจพวกเขาจริงๆ การรายงานต่อกันขึ้นไปเป็นทอดๆ มีความวุ่นวาย ทำให้เขาเสียเวลา

ในสถานการณ์ที่คลุมเครือไม่เข้าใจ เพื่อความปลอดภัยแล้ว เขายังคงเลือกไปหาไห่หรูเยวี่ยดีกว่า ไห่หรูเยวี่ยทราบชัดเจนดีว่าต้องติดต่อผู้ใดในราชสำนักถึงจะคลี่คลายปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นมันก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาตัดสินใจถูกต้อง

เดินทางสู่ขอบหล้า ทั้งสี่คนติดตามหนิวโหย่วเต้าเดินทางทั้งวันทั้งคืนโดยไม่ทราบว่าจะไปไหน

แม้จะคาดการณ์ได้ว่าจุดพักม้าไม่มีปัญหาแล้ว แต่เพื่อความปลอดภัย ยามที่หยุดพักระหว่างทาง พวกเขายังคงไม่ไปที่จุดพักม้า หากแต่เลือกค้างแรมในทุ่งกว้างและป่าเขา จะเข้าพักในจุดพักม้าก็ต่อเมื่อฝนตกเท่านั้น พยายามไม่ติดต่อคนของจุดพักม้ามากนัก

วันนี้พวกเขาต้องเผชิญพายุฝนที่โหมกระหน่ำลงมาอีกครั้ง ทั้งคณะจึงเข้าไปในจุดพักม้าเล็กๆ แห่งหนึ่ง เช่าห้องเพื่อพักผ่อน

ด้านนอกมีฟ้าแลบแปลบปลาบ เสียงฟ้าร้องครืนๆ หนิวโหย่วเต้าแช่อยู่ในถังน้ำ หน้าต่างเปิดอ้าเอาไว้ เอนหลังมองพายุฝนที่โหมพัดอยู่ด้านนอก ด้านข้างวางสุราข้าวหมากกาหนึ่งและกระบี่เล่มหนึ่งไว้ เขารินสุรามาจิบเป็นระยะๆ

เมื่อสุราหมดกา น้ำเองก็เย็นแล้ว เขาถึงได้ลุกออกมา

หลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย เขายกมือเคาะผนังไม้ดัง ‘ก๊อกๆ’ สองครั้ง ผ่านไปครู่หนึ่ง เฮยหมู่ตานเปิดประตูมองเข้ามา จากนั้นเดินออกไปอีกครั้ง เรียกคนงานในจุดพักม้าเข้ามายกถังน้ำออกไป จากนั้นถึงจะหยิบหวีมาช่วยสางผมให้หนิวโหย่วเต้า

“ด้านนอกฝนตกหนัก เหตุใดถึงไม่ปิดหน้าต่างล่ะเจ้าคะ?” เฮยหมู่ตานเอ่ยถาม อันที่จริงนางอยากถามว่าท่านอาบน้ำไม่ปิดหน้าต่างหรือ?

แต่เมื่อนึกถึงว่าตนเองยังอาบน้ำกลางแจ้งได้เลย นางจึงกลืนคำพูดกลับลงไป

“หนิวโหย่วเต้าที่นั่งหลับตาอยู่ตรงนั้นเอ่ยเนิบๆ ว่า ”ฟังลมฟังฝน มองลมมองฝน”

เฮยหมู่ตานพูดอะไรไม่ออก ช่วยหวีผมให้เขาจนเสร็จ จากนั้นหยิบเสื้อผ้าเขาไปซัก ตลอดทางมานี้นางปรนนิบัติรับใช้คนผู้นี้จนรู้สึกชินแล้ว อีกทั้งคนผู้นี้ก็รับการปรนนิบัติจากนางอย่างเป็นธรรมชาติเช่นกัน

คนที่เหลือเองก็พลอยคิดไปโดยปริยาย ต่างคิดว่าระหว่างคนทั้งสองมีอะไรกันอยู่

หลังจากสบายตัวแล้ว หนิวโหย่วเต้าที่สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยนอนตะแคงลงบนเตียง แขนข้างหนึ่งหนุนศีรษะงีบหลับ

ไม่นานนัก เฮยหมู่ตานที่ซักเสื้อผ้าเสร็จแล้วกลับมาอีกครั้ง เคาะประตูแล้วเดินเข้ามา วางชามใบหนึ่งไว้ตรงหน้าหนิวโหย่วเต้า

หนิวโหย่วเต้าปรือตาเอ่ยถาม “อะไร?”

เฮยหมู่ตานตอบ “น้ำตาลกรวดเจ้าค่ะ”

หนิวโหย่วเต้ากระดิกนิ้วเล็กน้อย หลับตาลงอีกครั้ง สื่อว่าไม่สนใจจะกิน

น้ำตาลกรวดเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น เฮยหมู่ตานเอ่ยว่า “ฝนนี่ประเดี๋ยวตกประเดี๋ยวหยุด อากาศไม่แน่ไม่นอน หรือวันนี้จะพักที่นี่ไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยออกเดินทางต่อไหมเจ้าคะ?”

หนิวโหย่วเต้าลืมตามองท้องฟ้าด้านนอกเล็กน้อย จากนั้นเคลื่อนสายตาไปที่ชามในมือนาง ชะงักไปเล็กน้อย “ลองไปถามจุดพักม้าดูสิว่ามีเนื้อติดมันหรือไม่”

“เนื้อหมูติดมันหรือเจ้าคะ?” เฮยหมู่ตานสงสัย นึกว่าตนฟังผิดไป

“อืม!” หนิวโหย่วเต้าพยักหน้า

เฮยหมู่ตานกล่าวว่า “มีเจ้าค่ะ เมื่อครู่เพิ่งให้พวกเขาเชือดหมูไปตัวหนึ่ง”

หนิวโหย่วเต้าพลิกตัวลุกขึ้นมา เดินออกไปนอกประตู “ข้าเลี้ยงข้าวพวกเจ้าเอง”

“….” เฮยหมู่ตานมึนงง จะเลี้ยงข้าวพวกเรา? จำเป็นด้วยหรือ?

จากนั้น นางเข้าใจอะไรขึ้นมาแล้ว เดินตามหนิวโหย่วเต้าไปที่ครัวของจุดพักม้า เมื่อดูจากท่าทางแล้ว ที่แท้เขาจะลงครัวด้วยตัวเอง

เฮยหมู่ตานรีบปรามไว้ “เต้าเหยี่ย จะปล่อยให้ท่านมาทำงานเช่นนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ ให้คนของจุดพักม้าทำก็ได้เจ้าค่ะ”

หนิวโหย่วเต้ามองคนอื่นๆ ที่ตามมา เอ่ยหยอกล้อว่า “พวกเจ้ามีบุญแล้ว ข้าจะถ่ายทอดเคล็ดลับที่ไม่อาจเผยแพร่ได้ให้พวกเจ้า ตอนนี้บนโลกนี้มีคนที่รู้เพียงสองคนเท่านั้น”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ทั้งสี่คนก็รีบไล่คนของจุดพักม้าออกไปจากครัวทันที

หนิวโหย่วเต้าให้พวกเขาไปขอขิงกับกระเทียมมาจากคนของจุดพักม้า หยวนกังเคยตรวจสอบดูแล้ว พบว่าห้องครัวของทางนี้ไม่ใช้สิ่งเหล่านี้ แต่กลับมีอยู่ตามร้านขายยา ใช้เป็นยา ไม่ใช้ประกอบอาหาร

ยกตัวอย่างเช่นก่อนหน้านี้ตอนที่พวกเขาลุยฝนมาถึงจุดพักม้า จุกพักม้าก็ยกเอาน้ำขิงที่ต้มเสร็จเรียบร้อยมาให้

เขาพับแขนเสื้อขึ้น ถือมีดไว้ในมือ กำลังแล่เนื้อติดมันเป็นแผ่นๆ อยู่ตรงนั้น กระทั่งกระบี่ยังร่ายรำได้งดงามถึงเพียงนั้น การหั่นเนื้อหมูย่อมเป็นเรื่องง่ายๆ

ขณะเดียวกันเขาได้สั่งให้คนทั้งสี่ไปจุดเตา ไปล้างผัก ไปล้างทำความสะอาดเครื่องครัว

ทันทีที่กระทะร้อน เนื้อติดมันถูกเทใส่กระทะ ตะหลิวผัดสองสามทีแล้วปล่อยทิ้งไว้ เลาะกระดูกออกจากหมูสามชั้นแล้วหั่นเป็นชิ้นๆ จากนั้นก็จัดการเครื่องปรุงอย่างขิงและกระเทียม

พวกเฮยหมู่ตานมองหน้ากัน ความเคลื่อนไหวคล่องแคล่วกระฉับกระเฉง ใช้งานเครื่องครัวอย่างเชี่ยวชาญ นึกสงสัยขึ้นมาบ้างแล้วว่าก่อนหน้านี้คนผู้นี้เคยเป็นพ่อครัวมาก่อนหรือเปล่า

เนื้อติดมันในกระทะขับน้ำมันออกมา เขาแยกกากหมูออก ตักน้ำมันใส่ชาม โขลกน้ำตาลกรวดเล็กน้อยแล้วเทใส่ลงไปในน้ำมันที่เหลืออยู่ในกระทะ

พวกเฮยหมู่ตานพูดไม่ออก นี่จะทำอะไรเนี่ย? เอาน้ำตาลผสมกับน้ำมันเช่นนี้ ชวนให้รู้สึกสะอิดสะเอียด แบบนี้จะกินได้หรือ?

ตะหลิวคอยกวนอยู่ในกระทะ หลังเคี่ยวน้ำตาลในน้ำมันจนออกสีแล้ว หนิวโหย่วเต้าก็เทเนื้อลงไปหนึ่งจาน ผัดจนขึ้นสี จากนั้นเติมขิงและกระเทียมลงไปผัด

ไม่นานนัก กลิ่นหอมที่แปลกประหลาดสายหนึ่งก็โชยออกมาจากในห้องครัว เป็นกลิ่นหอมที่ทุกคนไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน ทันทีที่ได้กลิ่นก็กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกอยากอาหาร

ปีกจมูกของทั้งสี่คนขยับเคลื่อนไหว ต่างมีสีหน้าจริงจังขึ้นมา เริ่มเชื่อขึ้นมาบ้างแล้วว่าเป็นเคล็ดลับที่ไม่อาจเผยแพร่ต่อภายนอกได้ เฮยหมู่ตานเอ่ยกับเหลยจงคังว่า “ไปเฝ้าไว้ อย่าให้ใครเข้ามาใกล้”

ความหมายในวาจาคือจะปล่อยให้คนอื่นมาแอบเรียนรู้ไม่ได้

หลังตักหมูตุ๋นน้ำแดงที่เป็นมันวาวออกมาจากกระทะแล้ว หนิวโหย่วเต้าก็ทอดปลาอีกตัว แล้วก็ใช้เนื้อผัดกับผักสีเขียวที่มีอยู่ในครัวสองสามอย่าง ทุกอย่างล้วนใช้น้ำมันหมู ช่วยไม่ได้ ที่นี่ไม่มีน้ำมันอย่างอื่นให้ใช้

หนิวโหย่วเต้าทำอาหารไปพลางให้ความรู้เฮยหมู่ตานไปพลาง สอนนางว่าต้องทำอย่างไร

หลังจากทำเสร็จ หนิวโหย่วเต้าก็เดินจากไปคล้ายไม่สนใจอะไรอีก

“นี่คือช่องทางทำเงินนะ เก็บกวาดให้สะอาดซะ อย่าให้เหลือร่องรอยไว้!” เฮยหมู่ตานกระซิบกำชับต้วนหู่ ท่าทางคล้ายกลัวจะมีใครมาแอบเรียนรู้ จากนั้นยกอาหารออกไปพร้อมกับคนอื่นๆ

ภายในห้องโถงของจุดพักม้า คนกลุ่มหนึ่งได้กลิ่นหอมเย้ายวนนั้นตั้งนานแล้ว มองสิ่งที่พวกเขายกออกมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น

เหตุการณ์หลังจากนั้นย่อมต้องเป็นภาพที่คนกลุ่มนี้กินดื่มสังสรรค์อย่างเต็มที่ พวกเฮยหมู่ตานกินไม่หยุด

หนิวโหย่วเต้าชิมพอเป็นพิธี สำหรับเขาแล้ว รสชาติแค่ถือว่าพอใช้ได้เท่านั้น เพราะมีเครื่องปรุงไม่ครบครัน เขาและหยวนกังที่ให้ความสำคัญกับปากท้องของตนย่อมไม่มีทางกินของรสชาติแย่ๆ แบบนี้แน่นอน

แต่สำหรับพวกเฮยหมู่ตานแล้ว นี่คล้ายจะเป็นอาหารเลิศรส แต่ละคนกินกันจนตาเป็นประกาย แทบจะเผลอกลืนลิ้นตัวเองเข้าไปด้วย ยังไม่ต้องพูดถึงจานเนื้อเลย กระทั่งผัดผักก็ยังไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะทำให้อร่อยขนาดนี้ได้

คนของจุดพักม้าเฝ้ามองอยู่ตลอด งุนงงสงสัย อร่อยถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? แต่กลิ่นก็หอมจริงๆ นั่นแหละ!

หัวหน้าจุดพักม้าแอบกระซิบถามพ่อครัว “มองออกหรือไม่ว่าทำอย่างไร?”

พ่อครัวส่ายหน้าตอบว่า “ไม่รู้เลย รู้แค่ว่าพวกเขาใส่สมุนไพรสองสามชนิดลงไปด้วย”

หัวหน้าจุดพักม้าหมดคำพูด ไม่ชิมดีกว่า สมุนไพรไหนเลยจะกินส่งเดชได้!

ภายในจานชามที่วางอยู่บนโต๊ะล้วนว่างเปล่า พวกต้วนหู่ลูบท้อง ท่าทางคล้ายไม่เสียทีที่เกิดมา ยังคงอยากจะกินอีก

เฮยหมู่ตานยิ้มอย่างเก้อกระดาก เนื่องจากอับอายกับท่าทางการกินของตนเมื่อครู่นี้ แต่อาหารมันก็ช่างเลิศรสจริงๆ!

อู๋ซานเหลี่ยงที่ลูบหน้าท้องอยู่อดกล่าวเตือนไม่ได้“เต้าเหยี่ย ถ้าเรามุ่งหน้าไปทางตะวันออกอีกไม่ไกลก็จะเป็นมณฑลเป่ยโจวของแคว้นหานแล้วนะขอรับ”

เขาไม่ได้เอ่ยเตือนเรื่องนี้โดยไร้สาเหตุ พวกเขามุ่งหน้าขึ้นเหนือมาตลอด คล้ายจะมุ่งหน้าไปแคว้นหาน และถ้าหากจะไปที่แคว้นหานจริงๆ เช่นนั้นมณฑลเป่ยโจวที่ในอดีตเคยเป็นดินแดนของแคว้นเยี่ยนมาก่อน ปัจจุบันนี้ก็คือดินแดนของแคว้นหาน

หนิวโหย่วเต้ายิ้มเล็กน้อย “เดี๋ยวถึงเวลาก็รู้เอง” กล่าวจบก็ลุกขึ้นเดินออกไป

ที่จะอ้อมไกลหน่อยมิใช่ว่าไร้เหตุผล เขาได้ยินมาว่าตอนนี้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ก็อยู่ในมณฑลเป่ยโจวที่เป็นดินแดนของเซ่าเติงอวิ๋น อย่าหาเรื่องเพิ่มให้ตัวเองจะดีกว่า พยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับคนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์

เฮยหมู่ตานหันไปตำหนิอู๋ซานเหลี่ยง “มีของกินแล้วยังอุดปากเจ้าไว้ไม่ได้อีกหรือ?”

อู๋ซานเหลี่ยงมึนงง “ข้าพูดอะไรผิด?”

เฮยหมู่ตานเอ่ยว่า “อยู่ดีๆ เอ่ยถึงมณฑลเป่ยโจวทำไม?”

อู๋ซานเหลี่ยงแปลกใจ “เอ่ยถึงมณฑลเป่ยโจวแล้วมันเป็นอย่างไรเล่า?”

เฮยหมู่ตานลดเสียงลง “ตอนนี้เจ้าก็รู้แล้วไม่ใช่เหรอว่าเต้าเหยี่ยเป็นใคร หรือเจ้าไม่เคยได้ยินข่าวลือเรื่องนั้น เจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์คนนี้ยามนี้ก็อยู่ที่มณฑลเป่ยโจว หากว่าข่าวลือนั้นเป็นความจริง เจ้าเอ่ยถึงเช่นนี้มิเท่ากับเป็นการขยี้บาดแผลของเขาหรือ”

ข่าวลือที่ว่านั้นเป็นข่าวลือที่ตระกูลซ่งปล่อยออกมา บอกว่าถังอี๋ออกเรือนกับหนิวโหย่วเต้าเพื่อชิงตำแหน่งเจ้าสำนักไปจากหนิวโหย่วเต้าอะไรทำนองนั้น เจ้าตัวไม่พูดอะไร คนนอกเองก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ

อู๋ซานเหลี่ยงตะลึงไปเล็กน้อย รีบกระซิบขอโทษ “ปากพล่อยไปหน่อย”

วันต่อมาฝนซาฟ้าใส ทั้งคณะออกเดินทางอีกครั้ง หนิวโหย่วเต้าที่พลิกตัวขึ้นหลังม้าดูมึนงงเล็กน้อย มองเห็นเหลยจงคังสะพายกระทะใบหนึ่งเอาไว้ อู๋ซานเหลี่ยงหิ้วกระสอบใบหนึ่ง ต้วนหู่ที่เร่งเดินตามมาก็ถือข้าวของจำพวกตะหลิวทัพพีมายัดใส่ในกระสอบที่อู๋ซานเหลี่ยงเปิดอ้ารอเอาไว้

นี่คิดจะย้ายห้องครัวเขาไปด้วยหรือไง? หนิวโหย่วเต้าขมวดคิ้วเอ่ยถาม “นี่พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่?”

เฮยหมู่ตานที่เดินตามหลังมาโยนของห่อหนึ่งลงไปในกระสอบที่อู๋ซานเหลี่ยงถืออยู่ หัวเราะแหะๆ ตอบไปว่า “พกไปเผื่อใช้ระหว่างทางเจ้าค่ะ”

“……” หนิวโหย่วเต้ากลอกตาคราหนึ่ง คนพวกนี้ไม่กลัวเหนื่อยเลยจริงๆ เขารู้สึกหมดคำพูดจริงๆ ควบม้านำออกไปก่อน

ทั้งสี่เร่งม้าไล่ตามหลังไป เพียงแต่ในการเดินทางครั้งนี้มีเสียงดัง ‘ก๊องแก๊งๆ’ แว่วออกมาจากระสอบของอู๋ซานเหลี่ยงตลอดทาง

…………………………………………………………………