บทที่ 147 มองทะลุ

ฮ่องเต้คิดไม่ถึงว่าอ๋องเย่จะมาถึงอย่างกะทันหัน เขาคิดว่าอย่างน้อยก็ไม่น่าจะมาเร็วขนาดนี้ เช่นนั้นหากเขาสามารถลงมือก่อนได้ก็จะได้เปรียบ

คิดไม่ถึง……

คิดยังไงก็คิดไม่ถึงจริงๆ!

เมื่ออ๋องเย่มาถึงอย่างกะทันหันในช่วงวิกฤตสำคัญเช่นนี้ ดวงตาของเขาจึงฉายแววความตื่นตระหนก จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นสงบและดูแกร่งกร้าวขึ้นอีกครั้ง

เย่แจ๋หยิ่งในชุดคลุมยาวไล่ระดับสีดำขาว รวบผมสูง คาดด้วยมงกุฎสีทองที่ดูน่าเกรงขาม แล้วปล่อยผมยาวลู่ลงมา มีใบหน้าเฉกเช่นกับเทพเซียนแต่กลับทำให้รู้สึกได้ถึงความน่ายำเกรงที่ซ่อนอยู่

แต่ทว่า!

การก้าวเท้าของเขาดูเหมือนจะเป็นการค่อยๆเยื้องย่างไป แต่ความจริงนั้นกลับเป็นฝีก้าวที่รวดเร็วมาก

หลังจากที่เข้ามาแล้ว แวบแรกก็หันไปมองดูทั่วทั้งร่างเล็กๆของหลานเยาเยาอย่างละเอียดทันที

แม้จะรู้ว่านางไม่เป็นไร แต่หากเขาไม่ได้เห็นด้วยตาของตัวเองในใจก็ยังรู้สึกอดห่วงไม่ได้ เมื่อได้เห็นหลานเยาเยาปลอดภัยแล้วนั้น เขาก็เคลื่อนสายตาไปมองที่ร่างของฮ่องเต้

“ฮ่องเต้ พระชายาของข้าทำผิดเรื่องอะไร ถึงได้ทำให้ท่านต้องรีบร้อนจับไปขังไว้ในคุกเช่นนี้ ทั้งยังไม่อนุญาตให้นางโต้แย้งอีก”

เย่แจ๋หยิ่งพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ แต่กลับทำให้ฮ่องเต้หน้าซีดเผือด สีหน้าดูไม่ได้เอามากๆ ถ้อยคำเสียดสีที่ออกมาจากปากของเขา ทำให้ฮ่องเต้ดูตัวเล็กลงไปในทันที ทั้งยังทำให้ฮ่องเต้ไม่กล้าที่จะโต้แย้ง

บรรดาผู้ที่มาดูละครในตอนแรก หลังจากที่อ๋องเย่เข้ามา แต่ละคนก็ล้วนก้มหน้าลง ทำให้เหมือนกับตัวเองไม่ได้อยู่ตรงนั้น

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม!

การเอาคืนของอ๋องเย่นั้น พวกเขาไม่สามารถรับมือได้แน่

“อ๋องเย่ ฮองเฮาโดนพระชายาเย่ทำร้าย จะให้โอกาสข้าได้ตัดสินแทนฮองเฮาไม่ได้เลยเชียวหรือ?”

แม้ว่าขณะอยู่ในที่ประชุมพระราชสำนักฮ่องเต้จะโดนอ๋องเย่ข่มจนรู้สึกอึดอัด แต่ตอนนี้ที่นี่มีพระสนมมากมาย เพื่อหน้าตาของเขา เขาจึงพยายามอย่างหนักเพื่อรักษาศักดิ์ศรีหน้าตาของฮ่องเต้ไว้

แต่ทว่า!

รัศมีของเย่แจ๋หยิ่งนั้นดูแกร่งกร้าวมาก ซึ่งเห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้พูดด้วยน้ำเสียงที่เปล่งออกมาไม่สุด

“โอ๋ว!”

เย่แจ๋หยิ่งยิ้มเยาะ จ้องมองไปที่ฮ่องเต้ เหมือนมองมดที่อ่อนแอตัวเล็กๆตัวหนึ่ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกที่เสียดแทงว่า:

“ตัดสิน! การตัดสินของฮ่องเต้คือการเปลี่ยนผิดให้เป็นถูกเปลี่ยนถูกให้เป็นผิดงั้นหรือ?”

“ไม่ ไม่ใช่ ข้าจะเปลี่ยนผิดให้เป็นถูกได้เช่นไรกัน? ข้าดูตามหลัก หลักฐาน” เมื่อฮ่องเต้พูดว่าหลักครั้งที่สอง เห็นได้ชัดว่าพูดด้วยความไม่หนักแน่น

“เหอะ! หลักฐาน?”

เย่แจ๋หยิ่งเหน็บแนมแล้วเคลื่อนสายตาไปมองยังหลักฐานเหล่านั้น ในสายตาที่สุดจะเย็นชาของเขา สาวใช้ในวังและแม่นมที่เข้ามาเป็นพยานเมื่อกี้นั้น ในขณะนี้ก็กำลังหน้าซีดเผือดด้วยความหวาดกลัว

จากนั้นก็เดินมาด้านหน้าของมีดสั้นบอกว่าเป็นหลักฐาน สายตาที่เย็นชาสุดแสนน่ากลัว!

“วันนี้ข้าจะทำให้ฮ่องเต้รับรู้อะไรที่เรียกว่า ‘อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ’”

เมื่อเสียงนี้โพล่งออกไป!

เขาเดินอย่างเชื่องช้ามาข้างๆของหลานเยาเยา พูดอย่างอ่อนโยนว่า : “ความบริสุทธิ์ของตัวเองก็ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง”

อย่ามองว่าภายนอกของหลานเยาเยานั้นดูอ่อนแอจนรังแกได้ แต่จริงๆแล้วเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งดุดันมากเลยทีเดียว นางต้องการยืนอยู่ด้านหน้าผู้อื่น มิใช่ยืนอยู่ด้านหลังผู้อื่น

เขาเพียงแค่ป้องกันนางจากลมฝน คุ้มกันนางไว้ก็พอ!

คนของเขา เขาทะนุถนอมเอง!

หลานเยาเยามองเขาอย่างเลื่อนลอย ดั่งมีความอบอุ่นไหลแทรกซึมเข้าไปในก้นบึ้งของหัวใจ ไม่เพียงเท่านั้นแต่ยังทำให้นางมีรอยยิ้มผุดออกมาจากเบื้องลึกของจิตใจแบบไม่ได้ตั้งตัวด้วย

นางมาถึงด้านหน้าของสาวใช้ในวัง แล้วกล่าวอย่างเบาๆว่า :

“เจ้าเป็นสาวใช้ในวังในตำหนักของไทเฮา ไม่จัดการงานในตำหนักของไทเฮาให้ดี ดูแลไทเฮา แต่กลับวิ่งออกมาด้านหลังตำหนัก แถมยังบังเอิญมาเห็นข้าพอดี

แล้วยังจะตามไปถึงตำหนักของฮองเฮาอีก ทั้งที่รู้เรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล แต่กลับเพิ่งจะมากล่าวหาพระชายาของข้าหลังจากเกิดเรื่องขึ้น เจตนาคืออะไร?”

คำพูดธรรมดาๆไม่กี่ประโยค ทำให้ทุกคนรู้สึกได้ว่ามีกับดักซ่อนอยู่

แต่เพื่อความอยู่รอด แม้ว่านางจะกลัวแค่ไหน เขาก็ยังต้องแย้งต่อด้วยความสงบนิ่งแต่หนักแน่น

“ข้าน้อยได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจึงได้ไปดูที่หลังตำหนัก ในตอนนั้นพระชายาเย่ท่านถือมีดสั้นอยู่ แล้วมุ่งตรงไปยังตำหนักของฮองเฮา นอกจากท่าน ยังจะมีผู้อื่นที่คิดจะลอบทำร้ายฮองเฮาอีกหรือเจ้าคะ?”

เมื่อได้ฟังคำแก้ตัวของนาง

หลานเยาเยาก็หัวเราะออกมาเบาๆ ยิ่งหัวเราะก็ยิ่งทำให้สาวใช้ในวังรู้สึกกระวนกระวายใจอยู่ไม่เป็นสุข

“ท่านหัวเราะอะไรเจ้าคะ?”

“เห็นท่าทีของเจ้า ก็น่าจะเข้าวังมาเป็นสาวใช้ในวังหลายปีแล้ว เจ้าจะไม่รู้เลยเชียวหรือว่าการเข้ามาในพระราชวังไม่อนุญาตให้พกอาวุธเข้ามา?

ถ้าหากเจ้าจะบอกว่าข้าซ่อนไว้ เจ้าก็ดูสิว่า วันนี้ชุดนี้ที่ข้าใส่เข้ามาในพระราชวังสามารถซ่อนอะไรไว้ตรงไหนได้บ้าง?”

ชุดที่นางใส่ในวันนี้เป็นชุดรัดรูป และก็ไม่ได้ซับซ้อน หากจะบอกว่าซ่อนสิ่งของที่เล็กมากๆ ก็ยังสามารถแถไปได้ แต่ถ้าจะให้ซ่อนมีดสั้นนั้นยังไงก็เป็นไปไม่ได้แน่นอน

ในตอนนี้ ทุกคนล้วนส่งเสียงอื้ออึงไปหมด!

แม้แต่ฮ่องเต้ก็ตะลึงงันไปด้วย

ฮองเฮาบ้าที่ไม่สามารถออกหน้าได้นั่น จะทำอะไรก็ไม่คิดให้รอบคอบซะหน่อย ตอนนี้จะให้เขาเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?

แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงนั้นยังอยู่ข้างหลัง

หลานเยาเยาดึงปิ่นทองที่อยู่บนหัวของสาวใช้ในวังออกมา ยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน

“ปิ่นทองอันนี้ทำอย่างประณีต คุณภาพดีมาก ทั้งยังประดับด้วยมุขราคาแพง ในวังหลังแห่งนี้ ก็มีเพียงแค่ฮองเฮาและไทเฮาเท่านั้นที่จะสามารถใช้ปิ่นอันนี้ได้

ขอถามสาวใช้ในวังเล็กๆอย่างเจ้า จะมีปัญญามีได้เช่นไร?”

เหล่าพระสนมทั้งหลายยังไม่มีปิ่นทองใช้ แต่สาวใช้ในวังกลับมีประดับไว้บนหัว แบบนี้จะไม่ให้คนอื่นคิดไปไกลได้เช่นไร?

หากสถานการณ์ปกติ

แม้ว่าไทเฮาและฮองเฮาจะมอบของรางวัลให้แก่สาวใช้ในวัง ปกติก็ไม่ได้ให้ของที่มีค่าสูงมากมายเพียงนี้ให้

ดังนั้นในขณะนี้ สีหน้าของสาวใช้ในวังเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีเขียว ตัวอ่อนทรุดกองอยู่ที่พื้นทันที

เมื่อเห็นดังนั้น!

หลานเยาเยาส่งเสียงแสดงความไม่พอใจออกมาเบาๆกับตัวเอง และไม่ได้พูดอะไรมาก แต่กลับเดินไปอีกทางไปอยู่ด้านหน้าแม่นมที่กล่าวหานาง

“เจ้าบอกว่าเห็นกับตาว่าข้าใช้มีดสั้นทำร้ายฮองเฮา นี่ยังไม่ต้องพูดถึง มีดสั้นไม่ใช่ของข้า อีกทั้งแรงจูงใจที่ทำให้ข้าฆ่าคน ข้าเพียงจะถามเจ้า ข้าทำร้ายฮองเฮาเช่นไร?”

หากเห็นกับตาจริงๆ งั้นก็จะต้องรู้ว่าทำร้ายเช่นไร

แม่นมผู้นั้นไม่คิดว่าหลานเยาเยาจะถามคำถามเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะดึงสติกลับมา

รีบรวบรวมความกล้าแล้วพูดว่า : “พระชายา

แน่นอนว่าต้องใช้มือขวาแทงฮองเฮาเจ้าค่ะ”

คนปกติล้วนใช้มือขวากันทั้งนั้น นางไม่เคยได้ยินว่าหลานเยาเยาเป็นคนถนัดซ้าย ดังนั้นจึงตอบว่าใช้มือขวาอย่างแน่นอน

แต่ว่า!

หลังจากพูดจบ

แม่นมก็เห็นหลานเยาเยามองนางเฉกเช่นมองคนโง่ก็ไม่ปาน ทำให้นางขาดความเชื่อมั่นขึ้นมากะทันหัน

นางจะพูดผิดไปแล้วนี่?

หรือว่าหลานเยาเยาเป็นคนถนัดซ้าย?

ต่อจากนั้น หลานเยาเยากลับรูดแขนเสื้อของตัวเองขึ้น แขนที่ถูกห่อผ้าไว้ยังปรากฏรอยเลือดที่แห้งไปแล้ว

ดูก็รู้ว่าไม่ได้เป็นแผลที่เพิ่งจะเกิดขึ้น……

ดังนั้น!

แม่นมกล่าวความเท็จ

เวลานี้ หลานเยาเยายกมือขึ้นตบที่ไหล่ของแม่นมเบาๆ ยิ้มเยาะแล้วพูดว่า :

“คิดไม่ถึงล่ะสิ! ข้าไม่ใช้คนถนัดซ้าย แต่ได้รับบาดเจ็บ บาดแผลนี้ได้มาจากการโดนลอบฆ่าบนถนนเมื่อวานตอนกลางคืน

นอกจากอ๋องเย่แล้ว ยังมีเซียวซื่อจื่อของจวนเจ้าพระยาซื่อสัตญื และก็คุณหนูของจวนแม่ทัพหลานจิ่นเอ๋อ รวมถึงทุกคนในที่ว่าการก็ล้วนรู้เรื่องนี้

ต่อจากนี้ก่อนจะใส่ร้ายข้า ขอให้ตรวจสอบกระทำของข้าทุกย่างก้าว ไม่เช่นนั้นก็เหมือนยกก้อนหินมาทุบเท้าตัวเอง”

มีคนมาเป็นพยานมากมายขนาดนี้

เป็นไปไม่ได้ที่การได้รับบาดเจ็บจะเป็นเรื่องเท็จ ดังนั้น แม่นมจึงรู้ว่าชีวิตของตัวเองไม่ปลอดภัยแล้ว

นางอยู่ในวังมาหลายสิบปี จงรักภักดีต่อฮองเฮามาตลอด เรื่องที่ชั่วร้ายนางก็ทำมาไม่น้อย แต่ก็ไม่เคยทำพลาดมาก่อน กลับคิดไม่ถึงว่า……