บทที่ 129 ระดับมหายาน ศิลาแคล้วสวรรค์

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 129 ระดับมหายาน ศิลาแคล้วสวรรค์

เวลาสามปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว

หานเจวี๋ยยกระดับตบะของตนสู่ระดับฝ่าด่านเคราะห์ขั้นเก้าอย่างสมบูรณ์

หลังจากนี้ก็คือการทะลวงสู่ระดับมหายาน!

สายตาของหานเจวี๋ยมองไปที่ศิลาสีม่วงเข้มที่มุมถ้ำเทวา ศิลาก้อนที่ตกลงมาจากฟ้าและกระแทกเข้ากับศีรษะของฟางเหลียงก้อนนั้น

นับตั้งแต่ศิลาก้อนนี้ปรากฏขึ้น การทะลวงของอู้เต้าเจี้ยนก็ไม่เคยเผชิญกับเคราะห์สวรรค์อีกเลย ทะลวงภายในถ้ำเทวาโดยตรง

บางทีศิลาก้อนนี้อาจจะปกปิดกลไกสวรรค์ไว้ ทำให้คนไม่ต้องประสบเคราะห์สวรรค์

เหตุผลที่เทพเซียนถือศิลาชนิดนี้ ก็เพื่อหลีกเลี่ยงมรรคาสวรรค์ในโลกมนุษย์หรือ

หานเจวี๋ยเพียงแค่คาดเดา ไม่กล้าที่จะยืนยันทั้งหมด

หากฝ่าด่านเคราะห์ได้ทันที เคราะห์สวรรค์ก็ยังดำเนินต่อไป เช่นนั้นเขาเพียรบำเพ็ญเซียนจะต้องราบเป็นหน้ากลองอย่างแน่นอน

เคราะห์สวรรค์ที่พบเจอในยามที่ทะลวงระดับฝ่าด่านเคราะห์ก่อนหน้านั้นก็น่าหวาดกลัวมากแล้ว นับประสาอะไรกับเคราะห์สวรรค์ที่ทะลวงไปสู่ระดับมหายาน

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หานเจวี๋ยหยิบศิลาสีม่วงเข้มขึ้นมา จากนั้นก็ลุกขึ้นจากไป

“นายท่าน ท่านจะไปที่ใดหรือ” อู้เต้าเจี้ยนรีบร้อนเอ่ยถามขึ้น

หานเจวี๋ยตอบว่า “ข้าจะออกไปข้างนอกสักพัก ไม่นานก็กลับมา เฝ้าบ้านให้ดี”

กล่าวจบเขาก็หายไปจากที่เดิม

จากไปครานี้ หานเจวี๋ยไม่ได้รบกวนผู้อื่นแต่อย่างใด

เขามาถึงดินแดนรกร้างที่เขาเคยทะลวงฝ่าด่านเคราะห์ครั้งก่อน

ร้อยปีผ่านไป พื้นที่ราบรกร้างแห่งนี้ก็ไม่มีฝนตกลงมาอีก เห็นได้ว่าพลังอำนาจของเคราะห์สวรรค์นั้นแข็งแกร่งเพียงใด

หานเจวี๋ยถือศิลาสีม่วงเข้มไว้ในมือ เข้าฌานกลางอากาศ เริ่มทะลวงระดับมหายาน

หากว่าเคราะห์สวรรค์ไม่มา เช่นนั้นศิลาสีม่วงเข้มก้อนนี้ก็สุดยอดมาก!

…..

ภายในถ้ำแห่งหนึ่ง ซูฉีนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในกระถางสามขาใบใหญ่ ร่างกายกำลังแช่อยู่ในน้ำโอสถ ผิวของเขาแดงก่ำ ใบหน้าแสดงถึงความเจ็บปวด

สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นนอนอยู่ข้างกระถางสามขาใบใหญ่นั้น ประเดี๋ยวจ้องมองทางซูฉี ประเดี๋ยวก็มองไปที่เงาร่างหนึ่งที่กำลังทอดมองพระอาทิตย์ตกที่ปากถ้ำ

ร่างนั้นก็คือจี้เซียนเสิน

ด้านนอกปากถ้ำก็คือหน้าผา จี้เซียนเสินนั่งสมาธิที่ริมผา มือถือขลุ่ยไม้ไผ่ เสียงขลุ่ยที่เยือกเย็นและอ้างว้างลอยเข้ามาในถ้ำเทวา

แสงระเรื่อยามสนธยาตกกระทบบนเรือนกายของจี้เซียนเสิน ราวกับอาภรณ์เทพที่สวมคลุมบนร่างเขา

สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามว่า “เขาสามารถฟื้นสติขึ้นมาได้จริงๆ หรือ”

เป็นเวลากว่าสิบปีแล้วที่ซูฉีไม่ได้ตื่นขึ้นมา ทำให้สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นคิดว่าเขาไม่มีทางรอดแล้ว

“วางใจเถิด ก่อนหน้านี้เขาถูกธาตุไฟเข้าแทรก เพียงแค่ควบคุมพลังในร่างกายของเขาไม่ได้เท่านั้น เขาก็เหมือนกับข้า ถือกำเนิดมาไม่ธรรมดา แฝงไปด้วยพลังแข็งแกร่งที่เหนือกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งปวง แช่โอสถลับแห่งจวนเซียนสวรรค์ของพวกเราสักหน่อย ไม่นานเขาก็จะสามารถควบคุมพลังภายในร่างของตน ฟื้นคืนสติขึ้นมาได้” จี้เซียนเสินเอ่ยตอบเสียงเบา

สายตาของเขาทอดมองไปบนท้องฟ้า ไม่รู้เพราะเหตุใด เขากลับนึกถึงหานเจวี๋ยขึ้นมา

คนผู้นั้นต้องถือกำเนิดมาอย่างไม่ธรรมดาแน่!

เมื่อนึกถึงความพ่ายแพ้ต่อหานเจวี๋ย จี้เซียนเสินก็อารมณ์เสียเป็นอย่างมาก เขาผุดลุกขึ้นในทันใด ทิ้งไว้เพียงประโยคหนึ่งแล้วจากไป

“ข้าจะออกไปฆ่าล้างบางสำนักมารสักแห่งเพื่อระบายอารมณ์!”

หลังจากที่จี้เซียนเสินจากไป สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นก็มองไปที่ซูฉีอีกครั้ง

“หรือจะแบกเขาหนีไปดี” สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นครุ่นคิดอย่างลังเล

แม้จี้เซียนเสินจะช่วยพวกเขาไว้ แต่มันมักจะรู้สึกว่าจี้เซียนเสินมีเป้าหมายของตัวเอง

สายตาของจี้เซียนเสินที่มองมันทุกครั้งนั้นแผดเผา ทำให้มันนึกถึงจี้ไน่เหอ

หากสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นคาดเดาไม่ผิด จี้เซียนเสินคิดจะใช้มันเป็นสัตว์พาหนะ และบ่มเพาะให้ซูฉีอยู่ใต้บัญชาของเขา!

“เฮ้อ อยากกลับต้าเยี่ยนจริงๆ”

สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นทอดถอนใจ

ที่นี่อยู่ห่างไกลจากต้าเยี่ยนเกินไป ไกลเสียจนสุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นไม่แน่ใจว่าจะสามารถกลับไปได้

หากพวกเขากลับไป จี้เซียนเสินจะโกรธหรือไม่

หานเจวี๋ยเคยสังหารพญาอสรพิษหยกแล้ว บางทีตบะของเขาอาจจะถึงระดับฝ่าด่านเคราะห์ แต่จี้เซียนเสินก็สามารถต่อสู้กับระดับมหายานได้!

เมื่อนึกถึงฉากที่จี้เซียนเสินต่อสู้กับจี้ไน่เหอ สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นก็อดไม่ได้ที่จะหวาดวิตก

…..

ครึ่งปีต่อมา

หานเจวี๋ยบรรลุระดับมหายานอย่างเป็นทางการเงียบๆ

เขาไม่ได้เผชิญกับเคราะห์สวรรค์!

นี่ก็หมายความว่าอย่างไรหรือ

หมายความว่าศิลาสีม่วงเข้มนั้นเป็นไปตามที่เขาคาดเดาไว้ ศิลาก้อนนี้สามารถปกปิดกลไกสวรรค์ได้!

ศิลาเทพเอ๋ย!

หานเจวี๋ยระงับความตื่นเต้น ร่างลอยลงมาบนพื้นหญ้า และเริ่มทำตบะของตนให้เสถียร

หลังจากทะลวงสู่ระดับมหายานแล้ว ท่ามกลางความมืดสลัว เขาเข้าใจความหมายที่แท้จริงหลายอย่าง เช่นกฎแห่งฟ้าดิน และระเบียบของโลกมนุษย์

ระดับมหายานเป็นตบะสูงสุดที่โลกมนุษย์สามารถถือครอง หลังจากทะลวงระดับระดับมหายานขั้นเก้าอย่างสมบูรณ์ ก็จะถูกขับออกจากโลกมนุษย์เพื่อขึ้นสู่สวรรค์

หานเจวี๋ยก็ไม่อยากขึ้นสวรรค์โดยเร็ว บางทีศิลาสีม่วงเข้มอาจจะนำความหวังมาสู่เขาได้

เพราะว่าศิลาก้อนนี้สามารถช่วยให้เขาหลีกหนีจากเคราะห์สวรรค์ ถ้าเช่นนั้นมันจะช่วยให้เขาอยู่บนโลกมนุษย์ต่อไปได้หรือไม่

หานเจวี๋ยคิดว่ามันเป็นไปได้มาก!

การที่นายท่านคนก่อนของอู้เต้าเจี้ยนหรือเทพเซียนผู้นั้นสามารถรั้งอยู่ที่โลกมนุษย์ได้ บางทีอาจจะเป็นเพราะศิลาก้อนนี้

ถึงแม้มันจะไม่ได้ผล แต่เมื่อถึงเวลานั้นหานเจวี๋ยก็จะหลบหนีไปฝึกบำเพ็ญที่ยมโลกก่อน

วิถีทางยากกว่าความลำบากเสมอ!

[ยินดีด้วย ท่านทะลวงสู่ระดับมหายาน ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]

[หนึ่ง ขึ้นสวรรค์ทันที หลุดพ้นจากโลกโลกีย์ จะได้สืบทอดพลังวิเศษหนึ่งครั้ง หินวิญญาณมรรคาสวรรค์หนึ่งก้อน สมบัติวิญญาณหนึ่งชิ้น]

[สอง ฝึกฝนต่อไป ยังไม่ขึ้นสวรรค์ชั่วคราว จะได้รับสมบัติวิญญาณหนึ่งชิ้น]

เมื่อหานเจวี๋ยมองข้อความที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้

นี่เป็นการล่อลวงให้ข้าขึ้นสวรรค์หรือ

ไม่มีทางเสียหรอก!

หานเจวี๋ยเลือกตัวเลือกที่สองทันที

[ท่านเลือกที่จะฝึกฝนต่อไป ยังไม่ขึ้นสวรรค์ชั่วคราว ได้รับสมบัติวิญญาณหนึ่งชิ้น]

[ยินดีด้วย ท่านได้รับสมบัติวิญญาณไท่อี่–เกี้ยวดวงชะตามังกรจักพรรดิ]

[เกี้ยวดวงชะตามังกรจักพรรดิ: สมบัติวิญญาณไท่อี่ระดับสอง ของวิเศษประเภทพาหนะ สามารถทนต่อการโจมตีเต็มรูปแบบของเซียนอิสระได้]

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว

สามารถทนต่อการโจมตีเต็มรูปแบบของเซียนอิสระได้?

ในที่สุดการชี้แนะที่ชัดเจนก็ปรากฏ กล่าวคือ เมื่อรวมสมบัติวิญญาณไท่อี่อื่นๆ บนตัวเขาเข้าด้วยกัน เซียนอิสระธรรมดาก็ไม่สามารถสังหารเขาได้?

หานเจวี๋ยลอบดีใจ นี่สิถึงจะเป็นสมบัติที่ข้าชื่นชอบ!

การป้องกันคือสิ่งที่หานเจวี๋ยต้องการมากที่สุด!

เขายังคงทำตบะให้เสถียรต่อไป

ครึ่งเดือนหลังจากนั้น

หานเจวี๋ยมีตบะเสถียรอย่างสมบูรณ์ กลายเป็นผู้บำเพ็ญระดับมหายานอย่างแท้จริง

เขารีบกลับไปที่สำนักศักดิ์สิทธิ์หยกพิสุทธิ์

เมื่อมาถึงภายในถ้ำเทวาฟ้าประทาน หานเจวี๋ยก็นั่งลงบนเตียง

อู้เต้าเจี้ยนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ตบหน้าอกแล้วพูดขึ้นว่า “นายท่าน ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว ข้ายังนึกว่าท่านจะทอดทิ้งข้าไปแล้วเสียอีก”

“วางใจเถิด ถึงแม้ข้าจะทอดทิ้งเจ้า แต่ก็มิอาจทอดทิ้งสมบัติข้างนอก”

ใบหน้าอู้เต้าเจี้ยนเต็มไปด้วยคำถาม

หานเจวี๋ยหยิบศิลาสีม่วงเข้มออกมา เอ่ยถามว่า “ศิลาก้อนนี้ควรชื่อว่าอะไร”

อู้เต้าเจี้ยนเบ้ปาก ยังคงรู้สึกไม่พอใจกับคำพูดของหานเจวี๋ยเมื่อสักครู่

“ชื่อว่าศิลาแคล้วสวรรค์ก็แล้วกัน”

หานเจวี๋ยเอ่ยพึมพำ เผยรอยยิ้มออกมาอย่างพอใจ

ระดับการตั้งชื่อของตนนั้นสูงมาก!

เขาโยนศิลาแคล้วสวรรค์ไปยังมุมหนึ่ง จากนั้นจึงนำเกี้ยวดวงชะตามังกรจักพรรดิออกมา

เกี้ยวนี้มีขนาดเท่าฝ่ามือ เมื่อตกลงบนฝ่ามือของหานเจวี๋ย แสงสีทองก็สว่างพร่างพราย มังกรทองสี่ตัวแบกรับเกี้ยวทองหนึ่งหลัง โอ่อ่างดงามเป็นอย่างยิ่ง

หานเจวี๋ยเริ่มทำให้มันยอมรับเจ้าของ

สองชั่วยามต่อมา

เกี้ยวดวงชะตามังกรจักพรรดิยอมรับเจ้าของสำเร็จ หานเจวี๋ยเก็บมันเข้าไปในเข็มขัดเก็บสมบัติ

หลังจากนั้น หานเจวี๋ยเริ่มจำลองการทดสอบกับเซวียนฉิงจวิน

ครั้งนี้ เขาไม่ได้ปรับตบะของเซวียนฉิงจวิน แต่เผชิญหน้ากับระดับมหายานขั้นแปดทันที!

เมื่อดรรชนีกระบี่โลกาสวรรค์ทลายภพปรากฏออกมา!

สั่งหารในชั่ววินาที!

เจ๋ง!

ความมั่นใจของหานเจวี๋ยเพิ่มขึ้นในทันใด

คราวนี้ บนโลกมนุษย์คงมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถสังหารเขาได้

หานเจวี๋ยหยั่งรู้ดรรชนีกระบี่โลกาสวรรค์ทลายภพอีกครั้ง

หลังจากทะลวงสู่ระดับมหายานแล้ว เขาคงจะสามารถเพิ่มขีดจำกัดสูงสุดของพลังวิเศษนี้ให้สูงขึ้นอีกครั้ง

ไม่ใช่ความแข็งแกร่ง แต่เป็นแก่นแท้พลังวิเศษ!

หนึ่งเดือนต่อมา

หานเจวี๋ยกลับมาที่แม่น้ำมรรคกระบี่อีกครั้ง เขาเร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้า ไม่นานก็พบจั้งกูซิง

จั้งกูซิงหงุดหงิด ด่าขึ้นมาว่า “เหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่อีก พลังวิเศษเดิมๆ ยกระดับครั้งแล้วครั้งเล่า มีประโยชน์อย่างไรกัน เจ้าก็บำเพ็ญเงียบๆ เสริมตบะให้แข็งแกร่งขึ้นไม่ได้หรือ”

………………………………………………………………………………