บทที่ 46: ประโยชน์ของการนั่งขัดสมาธิ!

หวังเต็งรู้แจ้ง

ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าของบ้านรายนี้จะไม่สนใจเรื่องเงิน ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะไม่สนใจว่าเขาจะได้รับค่าเช่าน้อยกว่าหรือมาก

นี่มันเป็นเพราะเขามีบ้านตั้ง 18 หลัง!

นี่เป็นสิ่งที่ทำให้เขาเย่อหยิ่งและมันก็น่าทึ่งมาก!

ต้องยอมรับว่าเขามีสิทธิ์ที่จะทำเช่นนั้น!

แม้ว่าเขาจะกลัวภรรยาของเขามากไปเล็กน้อย แต่เขาก็ยังคงแสดงท่าทีเข้มแข็งออกมา ถึงกระนั้นแล้วหวังเต็งก็สามารถเห็นวิญญาณที่อ่อนแอและไร้สีสันที่ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างมากได้

อาเมน มายืนไว้อาลัยเงียบๆให้เขาสามวินาทีกันเถอะ!

“ พี่ชาย คุณไม่จำเป็นต้องพูดอะไร ฉันเข้าใจ ฉันนับถือลูกผู้ชายแบบคุณ เอาล่ะไปเถอะ… เอ่อ ฉันหมายถึงปซื้อซีอิ๊วน่ะ ภรรยาของคุณยังงรอคุณอยู่”

หวังเต็งตบไหล่ของเขาและพูดอย่างจริงจัง

ชายที่ดูหยาบกระด้างเปิดปากอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้แม้แต่คำเดียว และในท้ายที่สุด เขาก็โบกมือและเดินไปที่ร้านสะดวกซื้อข้างทางอย่างหดหู่ เพื่อซื้อซอสถั่วเหลือง

นี่เป็นสิ่งที่ลูกผู้ชายตัวจริงควรทำตัว เขาต้องกล้าเผชิญหน้ากับเสือตัวเมียที่บ้าน

หวังเต็งเข้าไปในรถของเขาและเหลือบไปดูแผ่นหลังอันอ้างว้างของหายคนนั้นอีกครั้ง เขาถอนหายใจก่อนจะจากไปและความเวทนาหายไปกับสายลม

หวังเต็งกลับไปที่โรงเรียน มันเหลือเวลาอีกแค่สิบนาทีเท่านั้นก่อนที่คาบเรียนตะเริ่ม อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้วางแผนที่จะกลับไปที่ห้องเรียนของเขา

เขารู้สึกว่ามันเป็นการเสียเวลาสำหรับเขาที่จะอยู่ในห้องเรียนอย่างเชื่อฟัง

เขาไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับ ‘การสอบศิลปะการต่อสู้ห้าปี เอกสารจำลองสามปี’ เขาสามารถใช้เวลาในทุกๆวันไปกับการเก็บฟองสบู่ค่าคุณสมบัติได้ และมันก็ใช้เวลาไม่นานมากก่อนที่ค่าคุณสมบัตินั้นจะเต็ม

“ หัวหน้าห้อง ช่วยบอกอาจารย์ให้ฉันหน่อยนะ”

หวังเต็งพูดกับหลินซัวหาน ภายใต้การจ้องมองอย่างหมดหนทางของหญิงสาว เขาก็ได้เดินออกจากห้องเรียนไปอย่างสบายใจ

“ ผู้ชายคนนี้มันน่าโมโหจริงๆ เขาควรจะละอายแก่ใจได้แล้วที่มัวแต่ให้ฉันคอยโกหกอาจารย์ให้” หลินซัวหานกระทืบเท้าของเธออย่างโมโห

อันที่จริง อาจารย์ทุกคนต่างก็รู้ว่าหวังเต็งนั้นโดดเรียน พูดกันตามตรง ต้องถามว่าทำไมพวกเขาถึงจะไม่รู้ต่างหาก

ในสายตาของอาจารย์ หวังเต็งก็เป็นบุคคลที่พวกเขาหมดความคาดหวังไปนานแล้ว ซึ่งการที่ความเละเทะของเขามันไม่ไประรานคนอื่นแค่นี้มันก็ทำให้พวกเขาพอใจแล้ว

เสียงกริ่งโรงเรียนดังขึ้น

เสียงพูดคุยภายในโรงเรียนค่อยๆเงียบลง หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็ได้ยินเพียงเสียงของอาจารย์ที่สอนเท่านั้น

หวังเต็งเดินไปตามทางเดินในโรงเรียน เขาตัดสินใจที่จะหาสถานที่เพื่อฝึกฝน

ตั้งแต่เขากลายเป็นนักสู้ เขาก็ยังไม่เคยได้ฝึกฝนอย่างจริงจังเลย

และเนื่องจากตอนนี้เขามีเวลาว่างแล้ว ดังนั้นเขาจึงใช้มันเพื่อฝึกฝนคัมภีร์ทักษะพลังฟอร์สและดูผลของมัน

มันมีป่าเล็กๆอยู่ด้านหลังสนามกีฬา โดยปกติแล้วนอกเหนือจากนักเรียนแย่ๆ สองสามคนที่ไปสูบบุหรี่ที่นั่น มันก็มีนักเรียนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ไปที่นั่น

ซึ่งตอนนี้ก็เป็นเวลาเรียน ดังนั้นมันจึงไม่น่าจะมีใครอยู่ที่นั่น

หวังเต็งคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปที่ป่าเล็กๆ

เสียงร้องของนกและแมลงเป็นเสียงเดียวที่สามารถได้ยินได้ในป่าอันเงียบงันนี้

หวังเต็งเดินต่อไปและเห็นหินก้อนใหญ่ มันมีพื้นที่เพียงพอสำหรับคนที่จะนั่งบนพื้นผิวของมัน

เขากระโดดเบาๆและขึ้นไปนั่งไขว่ห้างอยู่บนก้อนหิน

ร่มเงาของต้นไม้ด้านบนบังแดดที่ส่องเขาโดยบังเอิญ อย่างไรก็ตาม อุณหภูมิรอบข้างหวังเต็งก็ยังคงสูงอู่ ด้วยเหตุนั้นเอง หวังเต็งจึงใช้พลังฟอร์สธาตุน้ำแข็งของเขากางออกเป็นอาณาเขต

อุณหภูมิลดต่ำลงราวกับสายลมเย็นในฤดูใบไม้ผลิ

สบาย!

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่รอบตัวเขา หวังเต็งก็หลับตาลงและเริ่มฝึกฝนคัมภีร์ทักษะพลังฟอร์ส เขาเริ่มต้นด้วย ‘คัมภีร์เพลิงแดง’

ตามคำอธิบายในคัมภีร์ เขาก็จะต้องดึงพลังฟอร์สธาตุไฟออกมาจากนิวเคลียสฟอร์สของเขา จากนั้นก็หมุนเวียนพวกมันไปทั่วแขนขาและกระดูกของเขา

หวังเต็งค่อยๆเข้าสู่สภาวะการเพาะปลูก

พลังฟอร์สธาตุไฟทั้งหมดที่อยู่รอบตัวเขาพุ่งเข้าหาเขา…

เมื่อพลังฟอร์สวนรอบร่างกายหนึ่งครั้ง มันก็จะวนกลับไปที่นิวเคลียสฟอร์ส และถือว่าเป็นวัฏจักร

ในขณะนี้ พลังฟอร์สธาตุไฟก็ได้วนรอบร่างกายเสร็จสิ้นไปแล้วรอบหนึ่ง อย่างไรก็ตามหวังเต็งก็ยังไม่หยุด เขายังคงทำการฝึกฝนต่อไป

หนึ่งรอบ สองรอบ สามรอบ…

หนึ่งชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

หวังเต็งเพ่งสมาธิทั้งหมดไปที่การฝึก

หนึ่งชั่วโมงต่อมา เขาค่อยๆลืมตาขึ้น เขารู้สึกว่าพลังฟอร์สธาตุไฟในร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นมาก เขามีความรอบรู้มากขึ้นกับ ‘คัมภีร์เพลิงแดง’

สายตาของเขาจับจ้องไปที่หน้าต่างค่าคุณสมบัติของเขา

ความรู้แจ้ง: 83.1

ค่าพลังวิญญาณ: 20.2

พรสวรรค์: พรสวรรค์ไฟขั้นเริ่มต้น (11/300) พรสวรรค์น้ำแข็งขั้นเริ่มต้น (13/300), พรสวรรค์ดินขั้นเริ่มต้น (12/300), สายตาแห่งจิตวิญญาณ (ระดับเริ่มต้น 1.1/10)

พลังฟอร์ส: ไฟ 63/100 (นักสู้ระดับทหารหนึ่งดาว)

น้ำแข็ง 5/100 (นักสู้ระดับทหารหนึ่งดาว)

ดิน 4/100 (นักสู้ระดับทหารหนึ่งดาว)

คัมภีร์: คัมภีร์เพลิงแดง (รากฐาน 5/100), คัมภีร์เหมันต์เร้นลับ (รากฐาน 2/100), ทักษะปฐพีเหลือง ‘โล่ปฐพี’ (รากฐาน 2/100)

เทคนิคการต่อสู้: เทคนิคการต่อสู้ขั้นพื้นฐาน (ทักษะหมัดขั้นผู้เชี่ยวชาญ ทักษะดาบขั้นผู้เชี่ยวชาญ ทักษะมีดขั้นผู้เชี่ยวชาญ ฟุตเวิร์คขั้นผู้เชี่ยวชาญ) ทักษะกระบองขั้นพื้นฐาน (พื้นฐาน) ทักษะปืน (ผู้สัมฤทธิ์) ทักษะดาบเพลิงคิริน (พื้นฐาน 40/100) หมัดปีศาจเหมันต์ (พื้นฐาน 9/ 100)

ความรู้: วิชาพื้นฐาน (คะแนนเต็ม)

พลังการต่อสู้โดยรวม: 195

ค่าสถานะเปล่า: 0

พลังฟอร์สธาตุไฟของฉันเพิ่มขึ้นเพียงคะแนนเดียวเท่านั้น! ดวงตาของหวังเต็งเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ

เขาฝึกฝนมาตลอดทั้งชั่วโมง แต่พลังฟอร์สธาตุไฟของเขาก็กลับเพิ่มขึ้นเพียงคะแนนเดียวเท่านั้น เขารู้สึกงุนงงกับความเร็วในการพัฒนาที่เหมือนเต่า

โดยปกติแล้ว เขาจะอาศัยการรวบรวมค่าคุณสมบัติเพื่อเพิ่มคะแนน ดังนั้นความสามารถของเขาจึงได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทวีคูณ ซึ่งมันก็คงจะไม่มีอะไรเร็วไปกว่านี้อีกแล้ว

ตามที่คาดไว้ ความแตกต่างระหว่างการฝึกเองกับการเก็บค่าคุณสมบัตินั้นแตกต่างกันมากจริงๆ

มันจะเกิดอะไรขึ้นกันหากเขาต้องสูญเสียระบบไป

เมื่อหวังเต็งคิดถึงความเป็นไปได้นี้ หัวใจของเขาก็บีบรัด เขารีบส่ายหัวเพื่อปัดเป่าความคิดนี้ออกไป “ ไม่มีทาง ไม่ได้การแล้ว ฉันไม่สามารถพึ่งพาระบบมากจนเกินไปได้ ฉันจะต้องพึ่งพาตัวเองให้ได้!”

เขาสูดหายใจเข้าลึกๆและบีบหัวใจของเขา สายตาของหวังเต็งกลายเป็นแน่วแน่

จากนั้น เขาก็จ้องมองไปที่หน้าต่างค่าคุณสมบัติ

คัมภีร์เพลิงแดง (พื้นฐาน 5/100) ความชำนาญของเขาเพิ่มขึ้นสามคะแนน

หวังเต็งพยักหน้าเงียบๆ ถ้าเขายังคงฝึกฝนหนักเช่นนี้ เขาก็จะสามารถประสบความสำเร็จได้ในอีกไม่นาน

เมื่อเขาไปถึงระดับถัดไป ความเร็วในการฝึกฝนของเขาก็จะต้องเร็วขึ้นอย่างแน่นอน

เขาเริ่มฝึกฝนอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขาก็เปลี่ยนไปฝึกคัมภีร์เหมันต์เร้นลับกับทักษะปฐพีเหลืองแทน

เมื่อเทียบกับพลังฟอร์สธาตุไฟ พลังฟอร์สน้ำแข็งและพลังฟอร์สธาตุดินของเขานั้นก็อ่อนแอเกินไปอย่างปฏิเสธไม่ได้

ย้อนกลับไปเมื่อคืนวานนี้ ในตอนที่เขาต่อสู้กับคู่ต่อสู้ พลังฟอร์สธาตุน้ำแข็งก็ได้แสดงบทบาทชี้ขาดเป็นการเคลื่อนไหวสุดท้ายที่คาดไม่ถึง

ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องอัพเกรดพลังฟอร์สทั้งสองธาตุนี้ เพราะในอนาคต พวกมันก็อาจจะกลายเป็นไพ่ตายของเขาก็ได้

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ…

ตลอดช่วงบ่าย หวังเต็งนั่งอยู่บนก้อนหินและฝึกฝนคัมภีร์ทักษะพลังฟอร์สของเขาโดยไม่ขยับแม้แต่นิ้วเดียว เมื่อเสียงกริ่งสิ้นสุดคาบเรียนคาบสุดท้ายดังขึ้น เขาก็หยุดการฝึกของเขา

เขาเหลือบมองไปที่หน้าต่างค่าคุณสมบัติเป็นครั้งสุดท้าย

พลังฟอร์สธาตุน้ำแข็งและพลังฟอร์สธาตุดินของเขาเพิ่มขึ้น 1.5 คะแนน

ในเวลาเดียวกัน ‘คัมภีร์เหมันต์เร้นลับ’ ของเขาก็ได้รับคะแนนเพิ่มขึ้นมา 4 คะแนนและ ‘ทักษะปฐพีเหลือง’ ของเขาก็ได้ 3 คะแนน

ไม่เลว!

คราวนี้หวังเต็งไม่ได้รู้สึกผิดหวังในผลลัพธ์

ใช่ ความคิดของเขาเริ่มเข้าที่แล้ว!

เขาต้องการลงจากหิน อย่างไรก็ตาม ในขณะนั้นขาทั้งสองของเขาก็แข็งทื่อไปปเนื่องจากตะคริวกิน และมันก็ทำให้เขาเกือบจะล้มลงกับพื้น

โอ้พระเจ้าช่างน่ากลัวเหลือเกิน!

เขาคว้าก้อนหินอย่างว่องไวและหอบ

ในฐานะนักสู้ หากมีคนเห็นว่าเขาตกลงจากหินที่สูงเพียงแค่ข้อเข่ามันก็จะกลายเป็นรื่องให้คนอื่นหัวเราะเยาะเขา

“ ให้ตายเถอะ นิยายมันหลอกฉัน ใครกันที่บอกว่าผลการฝึกฝนจะดีขึ้นเมื่อคุณนั่งขัดสมาธิฝึก? ไอ้สารเลว อย่างงี้แล้วใครจะรับผิดชอบตะคริวที่ขาฉัน!”

เขาขยับขาไม่ได้เลย หวังเต็งไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้มือแงะขาของเขาออกและปล่อยให้พวกมันได้พักสักครู่