ตอนที่ 142 พรหล่นจากฟ้า
พระสนมที่สี่ได้ให้กำเนิดโอรสถึงสองพระองค์ แม้ว่าองค์ชายเจ็ดจะเสด็จออกจากวังหลวงทันทีที่ประสูติ แต่เสียนเฟยก็นับว่าเป็นสนมที่สามารถเชิดหน้าชูตาได้มากที่สุดในวังหลัง ต้องไม่ลืมว่าฮองเฮายังไม่มีโอรสเลยสักคน มีเพียงธิดาพระองค์เดียวเท่านั้นคือ องค์หญิงฝูชิง
แน่นอนว่าคนที่จะมาถึงจุดนี้ได้ต้องเป็นคนที่วางแผนการมาอย่างดี หรือจะพูดอีกอย่างคือคนประเภทนี้มักจะคิดอะไรให้ยุ่งยากซับซ้อนไว้ก่อน
ยามนี้เสียนเฟยจึงเริ่มสงสัยว่า หากองค์ชายเจ็ดก่อเรื่องเพื่อจะได้พบหน้าฮ่องเต้ก็หมายความว่าเจตนาจะก่อเรื่องเสียตั้งแต่แรก หากเป็นเช่นนั้นก็แสดงว่าลูกชายที่โตมากับดินกับทรายที่นางไม่เคยชายตามองเลยตลอดสิบแปดปีที่ผ่านมากำลังมีแผนการบางอย่าง
การมีแผนการยามอยู่ในราชสำนักนับว่าเป็นเรื่องดี แต่ที่สำคัญคือต้องดูท่าทีของเขาด้วย
หากองค์ชายเจ็ดยังเห็นแก่เสด็จแม่และพระเชษฐาก็นับว่าเป็นเรื่องดียิ่งนัก แต่หากมีความคิดเป็นอื่น นางคงต้องคอยจับตาดูให้ดี เพราะอย่างไรแล้วก็ต้องไม่ปล่อยให้องค์ชายสี่ต้องลำบากไปด้วย
เมื่อมีความคิดมากมายเวียนวนเข้ามาในหัวของเสียนเฟย นางจึงอยากไปพบหน้าอวี้จิ่น
นางต้องการเห็นด้วยตาตนเองเสียก่อนจึงจะวางใจได้
ฝ่ายเสียนเฟยกำลังมีความคิดจะไปพบหน้าลูกชาย แต่ครั้นตัดภาพมาที่หนิงเฟยก็ได้ล้มโต๊ะอาหารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หนิงเฟยเป็นพระมารดาขององค์ชายห้าซึ่งเกิดในตระกูลแม่ทัพ สิริโฉมงดงามแต่เจ้าอารมณ์ หลายปีมานี้เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้มาโดยตลอด แม้อยู่ต่อหน้าจิ่งหมิงตี้นางก็เคยล้มโต๊ะมาแล้ว นับประสาอะไรกับยามนี้ที่ไม่มีคนนอกอยู่ด้วย
“น่าโมโหเสียจริง นึกไม่ถึงว่าเด็กป่าเถื่อนนั่นจะบังอาจทำร้ายลูกชายข้า!”
หนิงเฟยโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ นางในแต่ละคนก้มหน้าก้มตาอย่างระมัดระวัง ไม่มีใครกล้าเอ่ยสิ่งใดออกมา เพียงแต่รับฟังเสียงถ้วยชามกลิ้งหล่นลงพื้นไปอย่างนั้น
“เหตุไฉนฮ่องเต้ยังไม่เสด็จมาอีก” หนิงเฟยเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเวลาล่วงเลยไป
เมื่อได้ยินว่าลูกชายถูกทำร้าย หนิงเฟยก็รีบส่งคนไปเชิญจิ่งหมิงตี้ให้เสด็จมาทันที ซึ่งปกติยามนี้ก็น่าจะมาถึงแล้ว แต่ครานี้กลับไม่มีวี่แววใดๆ
ขันทีเอ่ยเสียงสั่นว่า “ขณะนี้ฮ่องเต้กำลังตรวจอ่านฎีกาอยู่พ่ะย่ะค่ะ ตรัสว่าหากเสร็จภารกิจแล้วก็จะเสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ”
“ว่าอย่างไรนะ” หนิงเฟยพรวดพราดลุกขึ้นและซอยเท้าเดินออกไปทันที
ตรวจอ่านฎีกาอะไรกัน นั่นมันข้ออ้างชัดๆ คงกลัวว่านางจะไปคิดบัญชีกับเสียนเฟยและเด็กป่าเถื่อนนั่นล่ะสิ
นางไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ไปเฉยๆ ได้เพราะมิฉะนั้นอีกหน่อยใครๆ ก็คงกล้าเหยียบย่ำลูกชายนางอย่างแน่นอน
ฮ่องเต้ไม่เสด็จมา นางก็จะไปเอง!
ในห้องทรงพระอักษร จิ่งหมิงตี้กำลังพลิกดูตำราด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เรื่องเหล่าโอรสก็ยังน่าเป็นห่วง เหล่าสนมเองก็คงไม่ลดลาวาศอกไปง่ายๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นมีขันทีมากราบทูลให้เสด็จไปถึงสามสี่คนแล้ว
ในยามนี้เขาจึงแอบมาอ่านตำราคลายเครียดอยู่ในห้องทรงพระอักษร เนื่องจากยังไม่พร้อมเผชิญหน้ากับความงอแงของบรรดานางสนม
พานไห่ย่องเท้าเดินเข้ามา แม้จะเห็นว่าฮ่องเต้กำลังคร่ำเคร่งกับการอ่านหนังสืออยู่ แต่ก็จำต้องเอ่ยขัดจังหวะว่า “ฮ่องเต้ หนิงเฟยเหนียงเหนียงเสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ”
มือของจิ่งหมิงตี้ที่ถือหนังสืออยู่สั่นเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วพลางเอ่ย “ไปบอกว่าข้ากำลังยุ่ง…”
พูดยังไม่ทันจบประโยค สาวงามในอาภรณ์สีชาดของสตรีในวังก็พรวดพราดเข้ามา
จิ่งหมิงตี้รีบพับหนังสือลงพลางยัดเข้าไปในกองฎีกาจากเหล่าขุนนางก่อนจะยิ้มแห้งพลางเอ่ยว่า “อ้ายเฟย[1]มาได้อย่างไร”
“ฮ่องเต้ จิ่งเอ๋อร์ถูกตีหัวอย่างนั้น หม่อมฉันก็ต้องมาไหมเพคะ!”
“ยังดีที่ไม่เป็นอะไรมาก”
หนิงเฟยทำหน้าหม่น “ไม่เป็นอะไรมาก? ฮ่องเต้ นั่นศีรษะเชียวนะเพคะ มิใช่ส่วนอื่น ถึงจะดูเหมือนว่าไม่เป็นอะไรมาก แต่หากเป็นต้นเหตุให้เกิดโรคร้ายแรงล่ะเพคะ อีกอย่างดูแล้วหม่อมฉันว่าอาการหนักนะเพคะ หม่อมฉันได้ยินมาว่าโลหิตไหลท่วมใบหน้าของจิ่งเอ๋อร์เชียวนะเพคะ!”
“เอ่อ คนที่เลือดเต็มหน้าคือองค์ชายหก จมูกของเจ้าหกโดนเจ้าห้าต่อยจนเลือดออก” จิ่งหมิงตี้อาศัยจังหวะรีบอธิบายอย่างละเอียด
เสียงของหนิงเฟยชะงักไปก่อนจะเอ่ยต่อว่า “แต่อย่างไรเสียฮ่องเต้ก็ต้องลงโทษตัวก่อเรื่องให้สาสมนะเพคะ! เพราะที่องค์ชายห้า องค์ชายหกหรือองค์ชายองค์อื่นๆ ต้องบาดเจ็บก็เป็นเพราะมีคนนั้นเริ่มก่อนนะเพคะ เหตุใดฮ่องเต้จึงมิไตร่ตรองดูล่ะเพคะว่าแต่ไหนแต่ไรเหล่าองค์ชายมิเคยเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน…”
หนิงเฟยเอ่ยอย่างฉะฉาน เมื่อเห็นว่าจิ่งหมิงตี้ไม่มีท่าทีตอบสนองจึงยื่นมือออกไปจับที่แขนเสื้อของเขา “ฮ่องเต้ พระองค์ช่วยตรัสอะไรหน่อยสิเพคะ!”
“เอ่อ เอ่อ ที่อ้ายเฟยพูดก็ถูกของเจ้า ต้องโดนลงโทษ!”
หนิงเฟยกระตุกมุมปากพลางเอ่ย “ฮ่องเต้จะทรงลงโทษอย่างไรหรือเพคะ”
จิ่งหมิงตี้ยิ้มก่อนจะตอบ “อ้ายเฟยวางใจได้ เราสั่งลงโทษสถานหนักไปแล้ว”
“แต่เหตุใดหม่อมฉันถึงไม่ได้ข่าวอะไรเลยล่ะเพคะ” หนิงเฟยฉงนหนัก
หรือว่าข่าวลือจะเพี้ยน
“เราสั่งให้ชายเจ็ดไปหันหน้าเข้ากำแพงสำนึกผิดที่ฝ่ายข้าราชการพลเรือนแล้ว”
“อะไรนะเพคะ” ดวงตาของหนิงเฟยพลันเบิกกว้าง เมื่อเห็นใบหน้าจริงจังของจิ่งหมิงตี้ ความโกรธที่พลุ่งพล่านทำให้ปากกระจับของนางพลอยซีดลงไปด้วย นางเอ่ยโพล่งออกมาว่า “นี่เรียกว่าเป็นการลงโทษหรือเพคะ หม่อมฉันได้ยินมาว่าเหล่าองค์ชายหรือแม้แต่ไท่จื่อก็ถูกสั่งให้หันหน้าเข้ากำแพงสำนึกผิดเช่นกัน แต่ท่านให้ชายเจ็ดได้รับโทษทัดเทียมคนอื่นๆ นี่ไม่เรียกว่าเป็นการลงโทษนะเพคะ นี่เป็นการให้ยกย่องเสียด้วยซ้ำไป เขาคู่ควรที่ไหนกัน!”
ทันทีที่หนิงเฟยพูดจบ บรรยากาศในห้องก็หยุดนิ่ง นางหันไปมองจิ่งหมิงตี้ ใบหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา คิ้วทั้งสองข้างขมวดจนเป็นร่องลึก
หลายปีมานี้นางไม่ได้เห็นสีหน้าเช่นนี้มานานแล้ว
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง จิ่งหมิงตี้ก็เอ่ยขึ้นว่า “เหตุใดอ้ายเฟยจึงคิดว่าการลงโทษนี้เป็นการยกย่องชายเจ็ด”
หนิงเฟยเป็นที่โปรดปรานมาโดยตลอดจึงรู้ว่าจิ่งหมิงตี้เป็นคนใจดี เมื่อถูกถามเช่นนั้นจึงบุ้ยปากอย่างง้องอนพลางตอบ “มิต้องเอ่ยถึงไท่จื่อเลยเพคะ คนอื่นๆ มีสถานะเป็นถึงองค์ชาย ในวังหลวงแห่งนี้นอกจากผู้ที่มียศสูงศักดิ์เพียงไม่กี่พระองค์ รองลองมาก็เป็นเหล่าองค์ชายเพคะ แต่กับชายเจ็ดที่เติบโตขึ้นในชนบทจะต่างอะไรกับคนบ้านนอก ฮ่องเต้ลงทัณฑ์เขาด้วยโทษสถานเดียวกันกับองค์ชายองค์อื่นๆ จะไม่นับว่าเป็นการยกย่องให้เกียรติได้อย่างไรเพคะ!”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง” จิ่งหมิงตี้ผงกหัวรับ
หนิงเฟยเม้มปาก “ฮ่องเต้ ชายเจ็ดทำร้ายเหล่าองค์ชายจนบาดเจ็บ ก่อเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ ฝ่าบาทมิควรปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปโดยไม่จัดการอะไรนะเพคะ ต้องลงโทษสถานหนัก คราวหน้าคราวหลังจะได้ไม่กล้าก่อเรื่องเช่นนี้อีก”
“พานไห่…” จิ่งหมิงตี้ตะโกนเรียก
พานไห่รีบโผล่หน้ามาทันที “กระหม่อมอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
ดูจากรูปการณ์แล้วองค์ชายเจ็ดคงถึงคราวเคราะห์แล้วกระมัง ฮ่องเต้ดีเลิศทุกประการ เสียอย่างเดียวคือมิอาจทนแรงต้านจากลมข้างหมอนได้เลย อีกอย่างเสียนเฟยก็คงไม่มีทางมาอ้อนวอนเพื่อองค์ชายเจ็ดอย่างแน่นอน
พานไห่มาจากครอบครัวยากจน เขามีพี่น้องหลายคน และที่สำคัญก็คือเขาเองก็เป็นลูกที่พ่อแม่ใส่ใจน้อยที่สุด ครั้นนึกถึงองค์ชายเจ็ดที่ถูกเลี้ยงดูที่นอกวังและเพราะว่าก่อเรื่องถึงได้มีโอกาสพบหน้าบิดาจึงอดสงสารไม่ได้
“จงไปประกาศตามเจตจำนงของข้าให้แต่งตั้งองค์ชายเจ็ดขึ้นเป็นเยี่ยนอ๋อง ไปสั่งให้ฝ่ายข้าราชการพลเรือนและสำนักดูดาวหลวงหารือเรื่องฤกษ์ยามในการแต่งตั้งให้ได้โดยเร็วที่สุด…”
ทันทีที่จิ่งหมิงตี้เอ่ยจบ ทั้งหนิงเฟยและพานไห่ก็ชะงักค้างไปราวกับท่อนไม้
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตอบสนอง จิ่งหมิงตี้จึงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “พานไห่ เจ้าหูหนวกหรือไง”
พายไห่ที่เพิ่งได้สติรีบตอบว่า “กระหม่อมน้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
สวรรค์ นี่มันเรื่องอะไรกัน ชะตาขององค์ชายเจ็ดน่าเหลือเชื่อเพียงนี้เชียวรึ หรือจริงๆ แล้วนี่คือบุตรโดยชอบธรรมของสวรรค์
พานไห่เดินออกไปด้วยความงงงวย พลางยกมือขึ้นลูบใบหน้าตัวเอง
ฮ่องเต้เล่นลงไพ่โดยไม่สนใจกฎเกณฑ์ใดๆ เช่นนี้ย่อมเป็นการท้าทายความสามารถในการตอบสนองของขันทีอยู่พอตัว
พานไห่ยังเดินออกไปได้ไม่ไกลก็มีเสียงแหลมดังสนั่นออกมาจากห้องทรงพระอักษร “ฮ่องเต้ นี่พระองค์ทรงหมายความว่าอย่างไรเพคะ”
จิ่งหมิงตี้เอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดีว่า “อ้ายเฟยอย่าเพิ่งร้อนใจไป ก็เมื่อครู่เจ้าบอกว่าองค์ชายเจ็ดไม่คู่ควรกับการลงโทษมิใช่หรือ ข้าจึงแต่งตั้งให้เขามีตำแหน่งเทียบเท่ากับองค์ชายองค์อื่นๆ เสียก่อนแล้วค่อยลงโทษอย่างไรล่ะ”
หนิงเฟยที่โกรธจนตัวสั่นถึงกับพูดไม่ออก
ที่พูดมาก็มีเหตุผล แล้วจะค้านอะไรได้ อีกอย่างไม่ใช่ว่าไปๆ มาๆ จะแต่งตั้งไอเด็กป่าเถื่อนนั่นเป็นไท่จื่อหรอกนะ
ครั้นเสียนเฟยได้ยินว่าหนิงเฟยกำลังไปร้องเรียนฮ่องเต้ในห้องทรงพระอักษร แม้ว่านางจะไม่ได้สนใจว่าอวี้จิ่นจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร แต่ก็เกรงว่าเรื่องนี้จะมากระทบกับองค์ชายสี่ นางจึงรีบตามมาที่ห้องทรงพระอักษร และระหว่างทางก็บังเอิญพบกับพานไห่ที่เดินสวนออกไป
ครั้นพายไห่เห็นเสียนเฟยจึงกล่าวแสดงความยินดีว่า “น้อมแสดงความยินดี เสียนเฟยเหนียงเหนียง”
——————————
[1] อ้ายเฟย ภาษาจีน 爱妃 แปลว่าสนมผู้เป็นที่รัก