บทที่ 131 วันส่งท้ายปีเก่าในบ้านหลังเก่า

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 131 วันส่งท้ายปีเก่าในบ้านหลังเก่า

บทที่ 131 วันส่งท้ายปีเก่าในบ้านหลังเก่า

ตามธรรมเนียมการอวยพรปีใหม่แก่อาวุโส กู้ฉวนฟู่จะอวยพรแก่กู้ฉวนลู่ และกู้ฉวนโซ่วอวยพรแก่กู้ฉวนฟู่ เฉาซื่อไม่ต้องการมา ด้วยรู้ว่ากู้ฉวนโซ่วจะไม่นำสิ่งดี ๆ มาด้วยเมื่อมาเพื่ออวยพรปีใหม่ นางจึงแนะนำว่าไม่ต้องไปอวยพรปีใหม่ ทันทีที่เอ่ยแบบนี้ คำพูดนั้นก็เข้าไปอยู่ในความปรารถนาในใจของซุนซื่อ และติดกับคำพูดที่ว่าไม่ต้องอวยพรปีใหม่ กฎนี้จึงมีขึ้นมา หลังจากนั้นกู้ฉวนฟู่ก็ไม่ได้ไปหาพวกเขาและพวกเขาก็ไม่ได้มา หลังจากที่กู้ฉวนฟู่เสียชีวิต เขาก็ไม่มีการอวยพรปีใหม่อีกต่อไป

หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานรับรู้เรื่องนี้ หัวใจของเด็กหญิงก็แอบมีความสุขอยู่เล็กน้อย ก่อนจะกลับเป็นปกติ

ตอนเช้าวันนี้นางอุ่นผักกาดที่เหลือจากเมื่อวานและหุงข้าวที่แช่น้ำไว้ เด็กทั้งสี่คนกินมันด้วยความเอร็ดอร่อย เพราะไม่จำเป็นต้องไปหาญาติ และทั้งสี่คนก็อยู่ในห้อง ต่างยุ่งอยู่กับเรื่องของตัวเอง

กู้เสี่ยวหวานไม่ได้เกียจคร้าน ในชั่วพริบตาเทศกาลปีใหม่ก็จะสิ้นสุดลง เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง ชาวนาจะเริ่มหว่านเมล็ดข้าว เหล่าแม่บ้านก็จะเริ่มปลูกผักและเลี้ยงไก่ ตะกร้าในบ้านของหลาย ๆ คนก็ถึงเวลาที่จะเปลี่ยนได้แล้ว หลังจากฉลองปีใหม่แล้ว หลายครอบครัวใหญ่ในเมืองจะเปลี่ยนตะกร้าใหม่ หากมีตะกร้าเล็กที่ถูกทำขึ้นอย่างประณีต ไม่แน่ว่าอาจจะนำไปขายในร้านค้าได้เช่นกัน

กู้เสี่ยวหวานวาดรูปตะกร้าสองสามรูปตามความทรงจำในชาติก่อนของนาง แน่นอนว่ารูปแบบทั้งหมดนั้นเรียบง่าย เพราะนางไม่รู้ว่าฝีมือของท่านลุงจางเป็นอย่างไร นางจึงต้องดูว่าเขาจะสานมันได้หรือไม่ หลังจากวาดภาพเสร็จแล้ว กู้เสี่ยวหวานก็เก็บมันไว้และวางแผนที่จะนำติดตัวไปด้วยเมื่อนางไปบ้านของท่านป้าจางในครั้งต่อไป

กู้ฉวนลู่และกู้ฉวนโซ่วใช้เวลาร่วมกันเหมือนอย่างปีก่อน ๆ อย่างไรก็ตามปีที่แล้วมีซุนซื่อและเฉาซื่อที่ผลัดกันทำอาหารในวันส่งท้ายปีเก่า ปีนี้เฉาซื่อถูกทุบตีและลุกจากเตียงไม่ได้ ทั้งหมดนี้จึงตกเป็นหน้าที่ของซุนซื่อ

ซุนซื่อไม่ยอมเสียเปรียบ เมื่อนางทำอาหารเอง บ้านเฉาซื่อก็ควรมีแรงงานช่วยเหลืองาน ดังนั้นนางจึงสั่งให้กู้ถิงถิงนั่งอยู่หน้าเตาและก่อไฟ กู้ซินเถาก็ได้รับบาดเจ็บจึงไม่สามารถทำงานได้เช่นกัน

เฉาซื่อนอนอยู่บนเตียงโดยไม่ทราบว่าซุนซื่อสั่งให้ลูกสาวของตนเติมฟืนและตักน้ำ

แต่ต่อให้นางจะรู้เรื่องนี้ เฉาซื่อก็ควบคุมมันไม่ได้เลย นางนอนอยู่บนเตียงและขยับกายไม่ได้ นางจะควบคุมคนอื่นได้อย่างไร

และในช่วงเวลานี้ เฉาซื่อไม่สนใจเกี่ยวกับสองพี่น้องกู้ถิงถิงและกู้ซุ่นสีแล้ว สำหรับกู้ฉวนโซ่วยิ่งไม่สนใจใหญ่ เมื่อก่อนที่เฉาซื่อยังมีร่างกายแข็งแรงก็ไม่เคยสนใจกู้ฉวนโซ่วมาก่อน เมื่อมองย้อนกลับไปที่ตัวของกู้ฉวนโซ่ว เขากลายเป็นแบบนี้ เป็นเหมือนโถที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ [1] และเขาไม่สนใจเรื่องภายในครอบครัวเลย

ในวันที่สามสิบ นอกจากเฉาซื่อจะนอนอยู่บนเตียงแล้ว ซุนซื่อและกู้ถิงถิงกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ในครัว กู้ฉวนโซ่วก็หนีไปแต่เช้าตรู่ กู้จือเหวินกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้อง โดยมีกู้ฉวนลู่อยู่เคียงข้างเขาเสมอ

กู้ซินเถายังคงนอนอยู่บนเตียงเพราะอาการบาดเจ็บที่ใบหน้า นางไม่ยอมลุกจากเตียง บ้านหลังใหญ่ คนในครอบครัวกระจัดกระจายจนไม่รู้สึกเหมือนวันส่งท้ายปีเก่าเลย

ไม่ใช่เพียงหนึ่งครอบครัวหรือสองครอบครัว คนพลัดพรากจากกันจะรู้สึกอบอุ่นได้อย่างไร? ซุนซื่อไม่ต้องการรับประทานอาหารเย็นวันส่งท้ายปีเก่ากับครอบครัวของกู้ฉวนโซ่ว แต่มันเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่สองสามปีก่อน ปีนี้เฉาซื่อกำลังนอนอยู่บนเตียง ไม่มีใครทำอาหาร นางปล่อยให้ทั้งครอบครัวอดอาหารไม่ได้ ซุนซื่อจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำงานในครัว

นางยังคงปลอบโยนตัวเอง หากว่าเขาซื้อบ้านในเมืองในปีนี้ นางจะไม่ต้องกลับไปที่บ้านหลังเก่า และไม่ต้องทานอาหารวันส่งท้ายปีเก่ากับเฉาซื่อเลย ในเวลานั้นครอบครัวของพวกเขาจะมีบ้านเป็นของตัวเองที่ตั้งอยู่ในเมือง พอออกไปก็มีร้านค้า ร้านอาหาร เครื่องดื่ม สามารถกิน ดื่ม เล่น และสนุกสนานได้ดีกว่าหมู่บ้านอู๋ซี

เมื่อคิดว่านี่เป็นอาหารค่ำวันส่งท้ายปีเก่า ซุนซื่อก็รู้สึกดีขึ้นมาก อาหารวันส่งท้ายปีเก่าของครอบครัวก็คล้ายกับที่คนในหมู่บ้านทั่วไปกินกัน ผักกวางตุ้งหนึ่งชาม ซาลาเปาหนึ่งจาน เนื้อหมูหนึ่งจาน และบะหมี่ชามใหญ่ในวันส่งท้ายปีเก่า

เมื่อกู้ฉวนโซ่วกลับมา ซุนซื่อเพิ่งทำอาหารเสร็จ ในครัวเมื่อสักครู่ ซุนซื่อแอบใช้เนื้อชิ้นใหญ่ทำบะหมี่สองชาม โดยใช้ประโยชน์จากเวลาที่กู้ถิงถิงไปเอาฟืน นางส่งบะหมี่เนื้อไปที่เรือนฝั่งตะวันตกก่อนเวลาหนึ่งชามสำหรับกู้จือเหวินและอีกหนึ่งชามสำหรับกู้ซินเถา บะหมี่ในหม้อต้ม เป็นบะหมี่น้ำใส และไม่มีอะไรในนั้นนอกจากกะหล่ำปลีสองสามใบที่ลอยอยู่บนผิว

หลังจากวางจานและทุกคนนั่งลง พวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก กู้ฉวนลู่ที่อยากจะพูดบางอย่างสองสามคำในตอนแรก เมื่อเห็นท่าทางที่ไม่มีความสุขของกู้ฉวนโซ่ว เขาก็หมดอารมณ์ที่จะพูดในทันที และยกตะเกียบขึ้นพลางกระตุ้นให้ทุกคนกินอย่างรวดเร็ว

เฉาซื่อไม่สามารถลุกขึ้นได้ กู้ถิงถิงจึงนำข้าวไปป้อนให้ผู้เป็นมารดา หลังจากที่ป้อนอาหารเฉาซื่อแล้ว กู้ถิงถิงก็กลับไปกินข้าวหลังจากที่ทุกคนกินเสร็จแล้วซึ่งมีแต่ของเหลือบนโต๊ะเท่านั้น ซุนซื่อเป็นคนสุดท้ายที่ออกจากโต๊ะ โดยมีเนื้อฉีกอยู่ในปากของนางพลางเดินพลางเคี้ยว “ถิงถิง ป้าใหญ่ของเจ้าเหนื่อยจากการทำงานตลอดช่วงบ่าย หลังจากที่เจ้ากินเสร็จก็ล้างจานและตะเกียบด้วยตัวเองนะ”

ก่อนที่กู้ถิงถิงจะพูดอะไร ซุนซื่อก็กลับอยู่ในห้องฝั่งตะวันตก เมื่อมองดูของเหลือบนโต๊ะ กู้ถิงถิงก็รู้สึกน้อยใจและรู้สึกเศร้าขึ้นมา เสียงประทัดในบ้านของคนอื่นทำให้คนหูหนวก แต่ในบ้านของตนเองกลับแสนเย็นชาและน่าเบื่อ

หลังจากกลับถึงบ้าน ซุนซื่อถามกู้ฉวนลู่ที่อ่านหนังสืออยู่กับลูกชาย และเรียกไปอีกห้องหนึ่งว่า “สามี เจ้าคิดว่าเจ้าสามกับภรรยาเขาตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”

“เกิดอะไรขึ้น? เจ้าถามข้า แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไร” กู้ฉวนลู่พูดอย่างโกรธเคือง “เรื่องที่เกิดขึ้นครั้งที่แล้วไม่ใช่ว่าเจ้าไม่เห็นเสียหน่อย”

ซุนซื่อไม่สนใจสิ่งที่กู้ฉวนลู่พูดเลย และเมื่อนางได้ยินสามีพูดถึงเรื่องในวันนั้น นางก็ยิ่งสงสัยว่า “สามี ข้าหมายถึงวันนั้น เจ้าคิดว่าเจ้าสามทำร้ายภรรยาของเขาอย่างไร นางถึงอยู่ในสภาพเช่นนี้?”

“เจ้าไม่เคยได้ยินหรือว่าเฉาซื่อกอดกับบุรุษคนอื่น ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่ได้ยินหรือไม่เห็น!”

“ไม่ใช่ เจ้าสามทุบตีเฉาซื่อก่อนที่เขาจะรู้เรื่องนี้” ซุนซื่ออธิบาย “ก่อนหน้านั้น ลองฟังคำพูดของเจ้าสาม ดูเหมือนว่าเฉาซื่อจะทะเลาะกับข้า นั่นเป็นเหตุผลที่เขาทุบตีเฉาซื่อจนเกือบตาย”

………………………………………………………………………………………………………………………….

[1] 破罐子破摔 โถที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ เมื่อมีข้อบกพร่อง ความผิดพลาด หรือความพ่ายแพ้ ปล่อยให้ไหลไปโดยไม่มีการแก้ไข หรือจงใจทำให้แย่ลง

สารจากผู้แปล

ถิงถิงกลายเป็นคนรับกรรมของบ้านใหญ่ไปเสียแล้ว เฮ้อ น้องก็ตัวแค่นั้น

ไหหม่า(海馬)