ตอนที่ 110 โม่หรูเยียน

แม้ว่าสำนักคนคุ้มกัน โม่หยวน จะไม่ใช่สำนักคนคุ้มกันที่มีฝีมือดีที่สุดในมณฑลและเมืองใหญ่ที่อยู่ในใกล้ๆนี้ แต่ก็พูดได้เลยว่าสำนักคนคุ้มกันของพวกเขานั้นมีฝีมือยอดเยี่ยมและมีชื่อเสียงที่โด่งดัง พวกเขาล้วนเป็นตัวเลือกแรกๆที่คนใหญ่คนโตหรือทางราชสำนักจะเลือกใช้งานก่อน

นอกจากนี้สำนักคนคุ้มกันของโม่หยวนยังมีชื่อเสียงในด้านที่ดีอีกด้วย พวกเขาไม่เคยปล่อยให้ทรัพย์สินที่ได้รับจ้างวานให้คุ้มกันถูกขโมยหรือปล้นชิงทรัพย์ออกไปได้เลย แม้ว่าโลกใบนี้จะวุ่นวายมากเพียงใดก็ตาม

ทุกๆคนที่รู้จักสำนักคนคุ้มกันโม่หยวนย่อมรู้ดีว่าหัวหน้าของสำนักคนคุ้มกันกลุ่มนี้ก็คือ โม่หยวน แต่ผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังยิ่งกว่านั่นคือลูกสาวของเขา โม่หรูเยียน!

แม้ว่านางจะเป็นผู้หญิงแต่โม่หรูเยียนก็ไม่ได้ทำให้ชื่อเสียงของบิดาของนางต้องเสื่อมเสียเลย ตั้งแต่เมื่อ 2 ปีก่อนนางก็เริ่มทำงานในฐานะสำนักคนคุ้มกันแล้ว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ไม่เคยมีปัญหาใดๆเกิดขึ้นเลย ทุกๆภารกิจที่พวกเขาได้รับต่างก็ประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดีแต่ การที่ผู้ว่าจ้างจะจ้างวานโม่หรูเยียนนั้นย่อมต้องมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นจากคนอื่นๆด้วยเช่นกัน

มณฑลหลินอานนั้นอยู่ห่างจากชิงเจียงเพียงแค่ประมาณ 200 ลี้เท่านั้นแต่กว่ามู่อี้และต้าหนิวจะมาถึงที่นี่ก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว เมื่อมาถึงที่นี่พวกเขาก็รีบเข้าไปติดต่อจ้างวานทันทีไม่อย่างนั้นแล้วจะต้องเสียเวลารอคอยถึงวันพรุ่งนี้

แน่นอนว่าวิธีเดินทางที่เร็วที่สุดที่เขามีในตอนนี้ก็คือการขี่ม้าไป

เพียงแต่ว่ามู่อี้ขี่ม้าไม่เป็นและอย่างที่สองก็คือไม่มีม้าตัวไหนรับน้ำหนักของต้าหนิวได้ ดังนั้นพวกเขาจึงจำเป็นต้องเดินทางด้วยรถม้าต่อไปเท่านั้น

ถ้าหากเดินทางแบบนี้ไปยังเมืองลั่วหยางต่อไปเรื่อยๆความเร็วของพวกเขาก็จะเชื่องช้าลงไปอีก

มู่อี้ไม่อยากจะเสียเวลาอีกต่อไปดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะจ้างวานกลุ่มผู้คุ้มกัน

ในที่สุดรถม้าก็มาหยุดลงที่หน้าประตูของสำนักคนคุ้มกันโม่หยวน มู่อี้เดินออกมาจากรถม้าและมองไปที่อาคารที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้

ด้านหน้าของอาคารนั้นมีจัตุรัสแห่งหนึ่งตั้งอยู่ แม้ว่าจะไม่มีใครมาฝึกฝนวิทยายุทธที่จัตุรัสอีกแล้วในตอนนี้แต่ภายในจัตุรัสก็มีรถม้าจอดอยู่เต็มไปหมดและก็มีกลุ่มคนที่แต่งกายเหมือนกับคนคุ้มกันยืนอยู่ภายในจัตุรัสเป็นจำนวนมาก บางคนกำลังลับอาวุธของตนเอง บางคนกำลังหลับ และทั่วทั้งจัตุรัสก็เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยกัน

ฝั่งจัตุรัสที่อยู่ใกล้กับประตูของอาคารนั้นมีธงขนาดใหญ่อันหนึ่งตั้งอยู่ มีตัวอักษรสีทองที่เขียนอยู่บนพื้นธงสีดำ 4 ตัวซึ่งอ่านว่าสำนักคนคุ้มกันโม่หยวน รูปแบบตัวอักษรนั้นให้ความรู้สึกถึงความแข็งแกร่งและมีชีวิตชีวา

ทั้งสองฝั่งของประตูทางเข้าอาคารนั้นมีสิงโตหินขนาดใหญ่ 2 ตัวประดับอยู่ มันดูสวยงามและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน

เมื่อรถม้าของมู่อี้จอดลงที่นี่ ก็มีคนออกมาต้อนรับเขาทันที

สำนักคนคุ้มกันนั้นถือว่าเป็นธุรกิจอย่างหนึ่งย่อมมีฝ่ายต้อนรับลูกค้าอยู่แล้ว แม้ว่ารถม้าของมู่อี้จะมีขนาดใหญ่เกินไปหน่อยแต่ไม่ว่าการตกแต่งหรือฝีมือในการสร้างรถม้าคันนี้ ก็เห็นได้ชัดว่ามันเป็นรถม้าของพวกเศรษฐีอย่างแน่นอน นี่คือกลุ่มลูกค้าที่พวกเขาชื่นชอบมากที่สุด

ดังนั้นเมื่อเห็นว่ามู่อี้เดินออกมาจากรถม้า ชายคนหนึ่งที่มีอายุประมาณ 40 ปีรีบมาต้อนรับทันที

“ท่านนักพรต ต้องการสิ่งใดจากสำนักคนคุ้มกัน โม่หยวน ของเราหรือขอรับ?” ชายวัยกลางคนรีบพูดขึ้นมาทันที น้ำเสียงของเขาดูสุภาพไม่มีความหยิ่งยโสหรือไม่พอใจอยู่เลย เพราะสำนักคนคุ้มกัน โม่หยวน นั้นถือว่ามีชื่อเสียงโด่งดังในด้านที่ดีพวกเขาย่อมมีการต้อนรับลูกค้าที่สุภาพอยู่แล้ว

การแต่งตัวและช่วงอายุของมู่อี้ทำให้ชายวัยกลางคนดูประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่เมื่อเห็นต้าหนิวที่ลงมาจากรถม้าด้วยเช่นกันสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที แต่สีหน้าของเขานั้นไม่ได้ดูหวาดกลัวแค่รู้สึกสงสัยเท่านั้น

“สวัสดีขอรับ” มู่อี้พยักหน้า

“ท่านนักพรตเต๋า โปรดตามข้าเข้ามาข้างในเถอะ ถ้าหากว่าเรายังคงยืนอยู่กันตรงนี้คงตกลงธุรกิจกันไม่ได้แน่นอน” ชายวัยกลางคนพูดกับมู่อี้และเดินนำเข้าไปข้างในอาคารทันที

เมื่อเดินผ่านจัตุรัสเข้าไปนั้นสายตาของทุกๆคนที่อยู่ภายในจัตุรัสก็จ้องมองมาที่ร่างกายอันใหญ่โตของต้าหนิว บางคนที่ยืนอยู่ภายในจัตุรัสก่อนหน้านี้ก็เริ่มฝึกฝนวิทยายุทธของตนเองขึ้นมาทันที

การที่พวกเขาแสดงวิทยายุทธของตนเองออกมาอย่างน้อยลูกค้าที่ผ่านเข้ามาก็จะได้เห็น และมันจะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้าด้วยเช่นกัน

แม้ว่ามู่อี้จะยังอายุน้อยแต่เขาก็เคยเดินทางไปยังที่ต่างๆมากมาย วิธีการเช่นนี้หลอกลวงเขาไม่ได้แน่นอน แม้ว่าจะทราบเหตุผลในเรื่องนี้ดีแต่มู่อี้ก็ไม่ได้สนใจมากนักเพราะการกระทำของพวกเขาก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด มันถือว่าเป็นกลยุทธ์ในการโฆษณาอย่างนึง

ดังนั้นในตอนที่เขาเดินผ่านเข้าไปนั้นมู่อี้ก็เห็นว่าชายวัยกลางคนที่เดินนำหน้าเขาอยู่ส่งสัญญาณมือออกไปหลายครั้งแต่เขาก็แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น

ต้าหนิวเดินตามหลังเขามาติดๆและแม้ว่าจะมีคนมากมายจ้องมองมาที่มันแต่ต้าหนิวก็เพียงแค่เดินตามหลังเขามาเท่านั้นไม่ได้สนใจอย่างอื่นเลย

เมื่อเข้ามาในห้องโถงแห่งหนึ่ง มู่อี้ก็นั่งลงและก็มีคนนำน้ำชามาต้อนรับเขา จากนั้นชายวัยกลางคนที่เดินนำเข้ามาก่อนหน้านี้ก็ถามขึ้นมาว่า “ไม่ทราบว่าท่านนักพรตเต๋าต้องการให้พวกเราคุ้มกันคนหรือสิ่งของขอรับ?”

“คน ข้ากับเขา จากชิงเจียงแห่งนี้ไปยังเมืองลั่วหยางขอรับ” มู่อี้พูดอธิบายทันทีและชี้นิ้วมาที่ตัวเขากับต้าหนิว

“ท่านนักพรตเต๋าต้องการไปที่เมืองลั่วหยางอย่างนั้นหรือ?” ชายวัยกลางคนถามกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ดูแปลกประหลาดเล็กน้อย

“ทำไมหรือขอรับ? สำนักคนคุ้มกันโม่หยวนของท่านกลัวว่างานครั้งนี้จะล้มเหลวหรือขอรับ?” มู่อี้ถามกลับไปตรงๆอย่างสุภาพ บรรยากาศภายในห้องโถงแห่งนี้ก็รู้สึกกดดันขึ้นมาทันที

“ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับ เพียงแต่ว่ามันบังเอิญจริงๆ” ชายวัยกลางคนรีบตอบกลับมาทันที

“บังเอิญหรือขอรับ?” มู่อี้ถามกลับไป

“ท่านนักพรตเต๋าเห็นสิ่งของที่กำลังขนขึ้นไปบนรถม้าข้างนอกไหมขอรับ? สิ่งของพวกนั้นก็จะเดินทางไปที่เมืองลั่วหยางด้วยเช่นกัน” ชายวัยกลางคนอธิบายส่วนมู่อี้ก็เข้าใจแล้วว่าความบังเอิญที่อีกฝ่ายพูดถึงนั้นหมายความว่าอย่างไร

ดูเหมือนว่าพวกเขาก็กำลังจะไปที่เมืองลั่วหยางอยู่แล้ว เช่นนั้นก็ถือว่าบังเอิญจริงๆด้วย

แต่มู่อี้ก็ไม่ได้คิดว่าชายคนนี้จะโกหกเขาเพราะไม่มีใครรู้ว่าเขาจะมาที่นี่ในวันนี้และชายคนนี้ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องโกหกเขาเลย

“ความต้องการของข้ามีเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น นั่นก็คือไปถึงเมืองลั่วหยางให้เร็วที่สุดและปลอดภัยมากที่สุดขอรับ” มู่อี้พูดออกไปตรงๆ

“พวกเราสามารถยืนยันได้เลยว่าการเดินทางของท่านจะต้องปลอดภัย พวกเราเองก็เคยเดินทางไปที่เมืองลั่วหยางมาหลายต่อหลายครั้งแล้วย่อมคุ้นเคยกับเส้นทางนี้เป็นอย่างดี แต่ในตอนนี้คนของพวกเราหลายคนต่างก็อยู่ในระหว่างการเดินทาง ถ้าหากท่านนักพรตเต๋าไม่คิดมากที่จะเดินทางไปกับพวกเราในครั้งนี้ด้วย พวกเรายอมลดราคาให้กับท่านได้มากที่สุดขอรับ” ชายวัยกลางคนตอบกลับมาทันที

ความจริงแล้วงานคุ้มกันคนนั้นย่อมมีกำไรน้อยกว่างานคุ้มกันสินค้ามากแต่สำนักคนคุ้มกันของพวกเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะรับงานอยู่แล้ว ถ้าหากมู่อี้เต็มใจที่จะเดินทางไปพร้อมกับพวกเขาด้วยย่อมเป็นทางออกที่ดีที่สุดและพวกเขาก็ไม่ต้องเสียอะไรเลยเพียงแค่มีรถม้าเพิ่มขึ้นมาอีก 1 คันเท่านั้น

“ข้าได้ยินมาว่าพวกท่านมียอดฝีมือที่ชื่อว่าโม่หรูเยียนอยู่ที่นี่ด้วยใช่ไหมขอรับ?” มู่อี้ถามอย่างตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม

“นี่ …” หลังจากได้ยินคำพูดของมู่อี้ ชายวัยกลางคนก็รู้สึกพูดไม่ออกทันที

“ท่านคิดว่าข้าจะจ่ายค่าตอบแทนให้พวกท่านไม่ได้งั้นหรือขอรับ?” มู่อี้ยิ้มออกมาและจ้องมองตรงไปที่ชายวัยกลางคน แม้ว่าท่าทีของมู่อี้จะยังคงดูสบายๆไม่ได้เคร่งเครียดแต่ชายวัยกลางคนก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่เพิ่มมากขึ้นในตอนนี้จนทำให้เขารู้สึกพูดไม่ออก

“หากท่านนักพรตเต๋าพูดเช่นนี้ก็แสดงว่าต้องการให้ข้าไปเป็นคนคุ้มกันใช่ไหม?” ทันใดนั้นก็มีเสียงเล็กแหลมดังขึ้นมาทันทีและจากนั้นก็มีร่างหนึ่งที่เดินผ่านประตูเข้ามา

ผู้ที่เดินเข้ามานั้นมีรูปร่างผอมเพียวและแต่งกายด้วยชุดสีดำ เส้นผมที่ยาวตรงของนางนั้นมัดรวบเอาไว้อย่างลวกๆ แม้ว่าใบหน้าของนางนั้นจะปราศจากเครื่องประดับและเครื่องประทินโฉมใดๆ แต่นางก็ถือว่างดงามอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับหญิงสาวคนอื่นๆ ถ้าหากแต่งองค์ทรงเครื่องดีๆหน่อยลูกหลานตระกูลใหญ่มากมายคงต้องตามจีบนางอย่างแน่นอน

แม้ว่าจะไม่มีใครพูดอะไรแต่มู่อี้ก็ทราบดีอยู่แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใคร นี่คือลูกสาวที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของโม่หยวน โม่หรูเยียน

แม้ว่าเขาจะได้ยินชื่อเสียงของอีกฝ่ายมานานแล้ว แต่เมื่อมู่อี้ได้เห็นด้วยตาของตนเองเขาก็ยังคงรู้สึกประหลาดใจจริงๆ

ใบหน้าของหญิงสาวคนนี้งดงามจนชวนให้มองอยู่หลายครั้ง

ความงามของนางนั้นแตกต่างจากซูหยิงหยิงหรือพี่สาวของเผิงมี่ หญิงสาวทั้งสองคนนั้นมีความงดงามที่ดูสูงศักดิ์ ส่วนชิวเยวี่ยถงนั้นเป็นความงดงามที่แฝงเอาไว้ด้วยความเย็นชา