ภาคที่สอง-หิมะใต้หล้า ตอนที่ 116 ศึกเข้าตาจนบนที่ราบภูเขาแดง

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 116 ศึกเข้าตาจนบนที่ราบภูเขาแดง

“หานเยวีย…ข้าแค่ต้องแค่ให้เจ้า ตายแล้วไปผุดไปเกิดไวๆ”

เมื่อสิ้นคำพูดนี้ หนิงอี้ทำปางมือเดียว ปราณกระบี่ในแขนเสื้อสั่นไหว

บุรุษผอมสูงที่ยืนคุมกระบี่รากมรณะบนที่ราบมีใบหน้าเฉยชา ข้างหลังมีเสียงสนั่นฟ้าจากไกลเข้ามาใกล้ข้างหลังเขา

ลำแสงแคบเล็กสายหนึ่งผ่าม่านสายฝน เหมือนฝ่าน้ำตก ฟันน้ำฝนเต็มฟ้าสาดกระจายขึ้น เศษหญ้าสองหย่อมหมุนม้วนน้ำ เหมือนมังกรน้ำที่มีพลังยิ่งใหญ่

ตอนที่เชือกเขาไท่ซานสว่างขึ้น คือใต้ฟ้าต้าสุย อากาศหนักหมื่นชั่งไม่อาจสั่นคลอน

ตอนที่เชือกขนห่านสว่างขึ้น คือปราณกระบี่ท่องหล้า เดินทางลำพังพันลี้ รวดเร็วยิ่งในโลก

เชือกสองเส้นพลันลุกไหม้ขึ้น วิชากระบี่ซ่อนของหนิงอี้เหนี่ยวนำกระบี่ตารางหนาที่ปักไว้บนพื้นก่อนแล้วนั้น ลากเป็นเส้นโค้งสวยงาม ผ่าฝนตกหนัก

สองคนหนึ่งเส้น

กระบี่ตารางหนาชนหลังหัวใจของหานเยวียอย่างแรง ไม่เกิดการปะทะที่เหนือความคาดหมาย แต่เป็นลากเลือดเนื้อกองใหญ่ออกไปอย่างสบาย ทะลวงอกหน้าและหลังเขา มังกรน้ำพลันเป็นสีแดงฉานน่ากลัว น่าเสียดายที่เพียงแค่โผล่มาเพียงปลายกระบี่สีแดง พลังของกระบี่ตารางหนาก็ลดลงอย่างมาก เข้าง่ายแต่ออกยาก เชือกที่ลุกไหม้ในเงามืดสองเส้นสาดคราบเลือด ทั้งตัวกระบี่สั่นไหว ส่งเสียงร้องแหลมเล็ก

หนิงอี้หน้าซีดขาว เขาสำแดงวิชาคุมกระบี่ดรรชนีสังหารอีกครั้ง ควบคุมให้กระบี่ตารางหนาพุ่งทะลวงในกายหานเยวีย ไอสังหารปราณกระบี่เต็มฟ้าพุ่งออกมาไม่หยุด บุรุษผอมสูงใบหน้าเฉยชาเพียงแค่ยื่นมือมาเบาๆ ตบตรงหน้าอก ฝ่ามือสว่างจ้าเหมือนโลหะ ส่งเสียงโลหะชนกันแสบหูยิ่ง กระบี่ตารางหนานั้นถูกกดลอยออกไป น้ำเลือดระเบิดกระจายข้างหลังหานเยวีย หลังจากนกยูงสีแดงใหญ่รำแพนหาง พายุเงามืดก็หมุนวนบนที่ราบ

บุรุษผอมสูงไม่ได้ทำอะไร พริบตาต่อมาก็มาอยู่ตรงหน้าหนิงอี้แล้ว

พลังบำเพ็ญระหว่างสองคนต่างกันราวฟ้าดิน หานเยวียก้าวสู่ขอบเขตที่สิบที่เลิศล้ำยิ่ง ส่วนหนิงอี้ไม่เคยก้าวสู่ขอบเขตที่เจ็ดด้วยซ้ำ ได้แค่อาศัยปราณกระบี่สู้ข้ามพลังบำเพ็ญ หากไม่ใช่เพราะเขามีความคิดจะเล่นกับเด็กหนุ่มเขาสู่ซานคนนี้สักหน่อย คงไม่เกิดเหตุการณ์มากขนาดนี้

บุรุษผอมสูงชกหมัดง่ายๆ ที่ท้องหนิงอี้ จนหนิงอี้ต้องงอตัวลง

ชกหมัดนี้ไปไม่มีช่องว่างให้หลบได้เลย หมัดนี้ชกโดนจริงแล้ว วิชาสัมผัสเขาสู่ซานของหนิงอี้เพิ่งจะเตือนภัยอันตราย แสงดาราคุ้มกันของเขาถูกหมัดชกแตก หลังชนกับหินใหญ่อย่างแรง เกิดเสียงดังสนั่น หินใหญ่ที่ทั้งก้อนฝังลงพื้นดินถูกหนิงอี้ชนแตก

หานเยวียคลายหมัดเล็กน้อย

หนิงอี้ตัวเบาขึ้น

มีเสียงดังหนักหน่วงมาจากตรงท้องเขา คนยักษ์ดาราร่างอิทธิฤทธิ์ที่รวมข้างหลัง ยังไม่ทันก่อร่างก็ถูกหมัดที่สองชกแตก หินใหญ่ระเบิดกระจาย เศษหินกับเศษหญ้าเต็มฟ้าห่อหุ้มหนิงอี้ ดวงตาเขามีความขุ่นมัวพริบตาหนึ่ง ที่ราบกระดูกในตันเถียนส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด

หนิงอี้ฝืนหยุดแรงถอยไปกลางอากาศ เขาใช้สองมือจับด้ามกระบี่พินิจเหมันต์แน่น กวัดแกว่งกระบี่ออกไป

เส้นสีดำสายหนึ่งกลางฟ้าดินถูกฟันขาด แรงปะทะมหาศาลกระแทกหนิงอี้พุ่งเข้าไปกลางที่ราบ ตีลังกาไปสามสี่รอบ ก่อนรีบลุกขึ้น เงยหน้าขึ้น

บุรุษผอมสูงที่พุ่งขึ้นฟ้าสูงยังคงอยู่ในท่าถือกระบี่รากหยินฟันลงมาง่ายๆ

หานเยวียมองหนิงอี้ด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก เอ่ยเสียงเบา “ได้ยินว่าบนถนนนิมิตชาด หนึ่งกระบี่ของเจ้ากระแทกคุณชายครามจวนขานฟ้าถอยไปได้สามสิบจั้ง…พลังบำเพ็ญเจ้าตอนนี้ ทำถึงระดับนั้นไม่ได้”

หนิงอี้เช็ดคราบเลือดตรงมุมปาก ก่อนพูดเสียงแหบแห้ง “เจ้าอยากลองรึ”

หานเยวียหัวเราะเบาๆ “แสดงให้ดูหน่อย”

หนิงอี้ชักกระบี่ขึ้น สายฝนทั่วฟ้าสั่นไหวตามการดึงกระบี่ ทุกเม็ดชัดเจน ลอยอยู่รอบตัวเขาราวสามฉื่อ ทั้งที่ราบถูกพายุฝนถาโถม

หนึ่งบนหนึ่งล่าง ยืนกรานกัน

ใบหน้าหนิงอี้ถูกประกายสายฟ้าย้อมจนซีดขาวแต่ก็หัวดื้อ

เขากดนิ้วบนด้ามกระบี่พินิจเหมันต์ คลายออกแล้วก็จับไว้แน่นอีก จิตในก้นบึ้งหัวใจร้องเรียกพลังจากที่ราบกระดูกครั้งแล้วครั้งเล่า

ผลึกความเป็นเทพของราชาหัวใจราชสีห์ถูกที่ราบกระดูกพุ่งชนอย่างบ้าคลั่ง บีบความเป็นเทพด้วยความกระหาย

ความเป็นเทพสองคำนี้ ไปกลับซ้ำไปมาในทะเลสาบจิตของหนิงอี้…เขาไม่ขาดกลอุบายต่อสู้ข้ามพลังบำเพ็ญ รูปปั้นหินเคียงกระบี่ที่นั่งบนฟ้าทะเลสาบจิตสั่นสะเทือนไม่หยุด พร้อมจะคืนชีพจากสภาวะเป็นหินได้ตลอดเวลา แต่ผู้อาวุโสเคียงกระบี่ขาดความเป็นเทพที่สำคัญที่สุดไป กระบี่บินสามเล่มนั้นถูกเขากดไว้ใต้ร่าง ต่อให้ตอนนี้ถูกหนิงอี้ฝืนเรียกออกมา ก็ไม่มีจุดจบที่ดีไปกว่ากระบี่ตารางหนา ‘ใต้ฟ้าต้าสุย’

กระบี่ตารางหนานั้นของหนิงอี้ถูกกระแทกปักลงกลางผนังหิน ลึกไม่เห็นด้าม เสียสัมผัสไปทั้งหมด…กลอุบายของหานเยวียลึกล้ำไม่อาจคาดเดา ยากจะจับต้องได้ ผู้ปกครองกลุ่มผู้บำเพ็ญภูตผีแดนทักษิณคนนี้ แค่โลหิตสกปรกในตัวก็ลบการเชื่อมต่อจิตใจระหว่างกระบี่กับเจ้าของได้ ตัดขาดสัมผัสระหว่างสองคนชั่วคราว

หากเป็นนักกระบี่ศาสตร์ ‘คุมกระบี่ดรรชนีสังหาร’ เจอหานเยวียจะแพ้ทางอย่างยิ่ง

กระแสความร้อนส่งมาจากตันเถียน

ผลึกราชาหัวใจราชสีห์ถูกฝืนผ่าเป็นก้อนเล็ก แทบจะมองด้วยตาเนื้อไม่เห็น…ทว่าเข้าตาจนแล้ว แม้จะมีเพียงเสี้ยวเดียวก็ดีกว่าไม่มี ความเป็นเทพเสี้ยวนี้ไม่นานก็ไหลไปทั่วแขนขาหนิงอี้ เหมือนสายฝนฤดูใบไม้ผลิอบอุ่น ทำให้สีหน้าเด็กหนุ่มดีขึ้นมา

หานเยวียสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของสีหน้าเด็กหนุ่ม

เขาอุทานเบาๆ หรี่ดวงตาแคบยาวลง ถือกระบี่รากมรณะ เพ่งพินิจเด็กหนุ่มที่อยู่ในสภาพสะบักสะบอมบนที่ราบ เส้นผมหนิงอี้แกว่งไกวกลางสายฝน ไม่เปียกน้ำฝนและลู่ลง ในตอนนี้เหมือนกับอาบสายลมใบไม้ผลิ ดวงตาจุดแสงสว่างอ่อนๆ ขึ้น

“นี่คือ…ความเป็นเทพรึ”

หกสัมผัสของหานเยวียพลันหุบเข้ามา เขารู้สึกได้ว่าพลังที่ดูถูกไม่ได้นี้รวมที่กระบี่ของหนิงอี้

“น่าสนใจ”

อันดับหนึ่งแดนบูรพาพูดเสียงเบามาก เขารู้ว่าอัจฉริยะบนโลกนี้ล้วนมีโชคลิขิต แต่กลอุบายก้นหีบของหนิงอี้ทำให้เขารู้สึกว่าต่างไปจากคนอื่นเล็กน้อย…ไม่อยากเชื่อว่าจะบีบความเป็นเทพในกายออกมา เปลี่ยนเป็นปราณกระบี่ได้

ความเป็นเทพเป็นสิ่งที่เลื่อนลอยที่สุดในโลก

และเป็นพลังงานที่มหาศาลที่สุดในโลก

เศษหญ้าที่หมุนวนบนที่ราบ ตอนนี้พุ่งไปทางหนิงอี้พร้อมกัน

น้ำฝนโดยรอบหนึ่งลี้ไหลหลากเข้ามา

เหมือนมังกรสัมผัสน้ำ ฟ้าดินพลิกกลับ

ปลายร่มพินิจเหมันต์กางออกดัง ‘พรึ่บ’ ด้ามอยู่ในมือหนิงอี้ หมุนวนอย่างบ้าคลั่ง เศษหญ้ากับน้ำฝนเต็มฟ้าถูกเหนี่ยวนำไปยังปลายกระบี่ แรงดันมหาศาลวนเวียนรอบใบร่ม ใบร่มค่อยๆ หุบลง สุดท้ายเล็งไปยังร่างเงาผอมสูงนั้นกลางอากาศ

เศษหญ้ากับน้ำฝนลอยบนที่ราบ ใช้ปลายกระบี่ของหนิงอี้เป็นต้นกำเนิดหมุนวนอย่างรวดเร็ว

หนิงอี้เข้าตาจนแล้ว

เขาอยากหนีรอด อยากมีชีวิตต่อไป…ก็ต้องทำทุกอย่างสุดความสามารถ ออกกระบี่ที่แกร่งที่สุด

นี่เป็นสิ่งที่หานเยวียอยากเห็น สำหรับเขา ฆ่าคนเหมือนทรมานคน โดยเฉพาะเหยื่ออย่างหนิงอี้ ฆ่าเขาทันที ไม่สู้ทรมานเขาช้าๆ ดีกว่า กินกำลังวังชาอีกฝ่ายจนหมด ทำลายจิตมรรคของอีกฝ่าย จากนั้นให้เหยื่อยอมเข้าหลอดแก้วแดนบูรพา ยอมเป็นใบไม้เขียว ผ่านพายุฝนแห่งกาลเวลา มาสำเร็จเส้นทางการบำเพ็ญของตน

กระบี่รากมรณะมีพลังชั่วร้ายบางๆ วนเวียน เตรียมจะฟันกระบี่ลงทุกเมื่อ

เสียงมังกรคำรามดังขึ้นบนที่ราบ

หนิงอี้ออกกระบี่นั้นด้วยความ ‘ลำบาก’ ฟันฝนและพายุคลั่ง

ตรงปลายกระบี่ เศษหญ้าและสายฝนลอยขึ้นพร้อมกัน หัวมังกรมหึมารวมขึ้น เงยหน้ากางกรงเล็บ พุ่งไปยังบุรุษผอมสูงที่ก้มตัวพุ่งลงมา

สองฝ่ายชนกัน ชั่วพริบตาเดียว กระบี่รากมรณะฉีกเส้นสายหนึ่งอย่างง่ายดาย

ไอชั่วร้ายเงามืดเต็มฟ้าถูกความเป็นเทพเลื่อนลอยชนแตก หานเยวียเพ่งสายตามองเล็กน้อย เขาใช้มือข้างหนึ่งสะบัดดอกกระบี่ออก หยุดการพุ่งลง ปราณกระบี่วนเวียนเต็มฟ้า เศษหญ้าและน้ำฝนมากมายถูกปราณกระบี่กระเทือนลอยออกไป

สิ่งที่รวมบนที่ราบไม่ใช่แค่ศีรษะมังกรแก่ สิ่งที่ตามมายังเป็นเศษหญ้าและน้ำที่ลอยบนฟ้ารวมกันอย่างรวดเร็ว รวมเป็นตัวมังกรที่มีคลื่นยักษ์ถาโถม

ตัวมังกรกินหานเยวียลงท้อง เดินหน้าไป ‘ช้าๆ’

น่าเสียดายที่แตกกระจายออกทีละส่วน

หนิงอี้หน้าซีดขาวขึ้นเรื่อยๆ

เขานึกโชคดีที่ไม่ได้ใช้ความเป็นเทพทั้งหมด แต่ใช้เพียงครึ่งเดียว เพื่อเลี่ยงไม่ให้ตนหมดแรงสิ้นสติไป

กระบี่นี้มีพลังยิ่งใหญ่

ร่างเงาสีดำไกลลิบถูกปราณกระบี่กลืนกิน

จากนั้นทะลวงออกมา

กระบี่รากมรณะฟันไปหนึ่งกระบี่ หนิงอี้หลบไม่ทัน หัวไหล่ฉีกเป็นรอยเลือด

มังกรน้ำแหลกเป็นเสี่ยงๆ ทั้งตัว พลันระเบิดกระจาย

เด็กหนุ่มกระเด็นถอยไป ถอยแล้วถอยอีก ก่อนชนกับผนังหินตรงริมภูเขาแดง

เขากุมหัวไหล่ เลือดตรงนั้นทะลักออกมา ไม่ใช่สีแดงฉาน แต่ปนสีดำจางๆ…กระบี่รากมรณะเป็นอาวุธร้ายกาจ ขอแค่เปื้อนเลือดก็จะทำให้คู่ต่อสู้พบกันหายนะ

หานเยวียที่ยืนบนพื้นอย่างสงบนิ่งมีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย

เขายืนห่างจากหนิงอี้ไม่ไกล น้ำเสียงมีความปลงอนิจจังเสี้ยวหนึ่ง “หนิงอี้…”

“อาจารย์เจ้าอยู่เขาสู่ซาน เรียนกับสวีจั้ง…ไม่ได้สอนเจ้าหรือว่าวิชากระบี่ที่แกร่งที่สุดไม่ได้เน้นเรื่องความสวยงาม แต่เน้นการปลิดชีพในการโจมตีเดียว”

หานเยวียมองอาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานที่นั่งจ้ำเบ้ากับพื้น อยากจะหาบางสิ่งจากในดวงตาอีกฝ่าย อย่างเช่นความเจ็บปวดหลังจากพ่ายแพ้ หรือความแค้นหลังจากคิดทบทวน กระทั่งการเฝ้ารอคอยที่หากได้ทำอีกครั้ง…

ไม่มีสิ่งพวกนี้เลย

ใบหน้าหนิงอี้ ในดวงตา มีเพียงความสงบนิ่ง

สงบนิ่งมาก

หานเยวียพูดพวกนี้ก็เหมือนพายุฝนพัดผ่านข้างหูบนที่ราบภูเขาแดง ผ่านแล้วก็ผ่านเลย

จิตมรรคเขายังคงมั่นคง ต่อให้ตัดสินแพ้ชนะแล้ว อีกทั้งบนที่ราบภูเขาแดงนี้ ตัดสินแพ้ชนะก็หมายถึงตัดสินความเป็นตาย

หานเยวียสงสัยนิดๆ…หรือว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะไม่ได้จนตรอกจริงๆ หรือเขายังมีอุบายอะไรอีก

ที่นี่คือภูเขาแดง

ที่นี่คือเขตต้องห้ามที่อันตรายที่สุดเปลี่ยวร้างที่สุดในแดนอุดร

ยังมีใครมาช่วยเขาในตอนนี้ได้อีก