บทที่ 115 ไม่รู้จะทำอย่างไรไปชั่วขณะ

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

เหยาซูแสดงสีหน้างุนงง “ว่าอย่างไรนะ?”

“เจ๋งเป้ง” เป็นคำติดปากที่นางมักจะพูดออกมาโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าอาจื้อไปเลียนแบบตามตั้งแต่เมื่อใด

เด็กชายปิดปากทันใด จากนั้นก็โน้มตัวลงมากระซิบข้างหูของเหยาซูว่า “ท่านอาอวี๋ทำให้เอ้อเป่ามีความสุขได้ ข้าเล่นพันเชือกกับน้องสาวตลอดทั้งบ่าย ไม่เห็นนางจะดีใจเช่นนี้เลย … ท่านอาอวี๋เพิ่งเล่นกับนางไม่นานเองนะ!”

เหยาซูเพิ่งเปลี่ยนผ้าอ้อมให้กับซานเป่าไป เมื่อได้ยินคำพูดของอาจื้อ จึงเบนความสนใจบางส่วนไปทางอวี๋จือที่อยู่ฝั่งนั้น

และเห็นภาพผู้ใหญ่คนหนึ่งกับเด็กคนหนึ่งกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน…

ทุกครั้งที่อาซือกลับเชือกออกมาเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง อวี๋จือมักจะชื่นชมเอาอกเอาใจมากเป็นพิเศษเสมอ บ้างก็เฉลียวฉลาด บ้างก็เก่ง บ้างก็ว่าเป็นเด็กผู้หญิงที่ทั้งสวยและน่ารักมาก แม้แต่เชือกที่ถูกกลับออกมาก็ล้วนงดงามไปเสียหมด…

เขาไม่เคยชื่นชมเหมือนกันสักครั้ง ทำให้อาซือยิ้มดีใจไม่หุบเลยทีเดียว ยิ่งหมกมุ่นอยู่กับการเล่นพันเชือกนี้มากขึ้นเท่าไรก็ยิ่งคิดรูปแบบที่งดงามได้มากขึ้นเท่านั้น มากมายจนกลับเชือกออกมาในรูปแบบที่นางไม่เคยทำได้มาก่อน

ดังนั้นอวี๋จือจึงยิ่งชื่นชมนางมากขึ้นไปอีก…

เหยาซูมองดูอยู่ครู่หนึ่ง กระทั่งรู้สึกลึก ๆ อยู่ในใจว่าผู้ชายของตนคงไม่มีทางทำให้ลูกสาวมีความสุขเช่นนี้ได้

ไม่ต้องพูดถึงหลินเหรา ขนาดอาจื้อเองที่มักจะหยอกล้อน้องสาวอยู่เป็นประจำก็ยังเทียบเท่าหนึ่งในสิบของการหยอกล้อจากเหยาซูไม่ได้

นางพูดชี้แนะอย่างจริงจังกับลูกชายว่า “ต้าเป่า วันข้างหน้านอกจากจะเรียนรู้กับลุงรองของเจ้าแล้ว ยังต้องเรียนรู้จากท่านอาอวี๋อีกด้วย เพราะมันจะเป็นประโยชน์ในการหาสะใภ้ของเจ้า”

อาจื้อตะลึงงันไป “หา?”

กำลังพูดเรื่องทำให้น้องมีความสุขอยู่ไม่ใช่เหรอ? เหตุใดจู่ ๆ มาหยุดที่การหาสะใภ้เสียได้เล่า?

พูดตามจริงคือ บางครั้งความแก่แดดในสมัยโบราณก็ทำให้เหยาซูรู้สึกเร่งรีบไม่น้อย รู้สึกราวกับว่างานชี้แนะสั่งสอนสภาพจิตใจของวัยรุ่นให้แข็งแกร่งขึ้น ต้องเริ่มตั้งแต่ก่อนที่อาจื้อจะเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น….

ทว่าความจริงแล้วนางไม่สามารถพูดเรื่องเหล่านั้นกับเด็กคนหนึ่งได้

เมื่อคิดว่าอาจื้อจะต้องแต่งสะใภ้เมื่ออายุครบสิบสามปี ทั้งร่างกายของเหยาซูก็รู้สึกไม่สู้ดีในทันใด

สีหน้าของหญิงสาวเคร่งขรึมลง กลัวเพียงอย่างเดียวว่าการชี้แนะสั่งสอนวัยรุ่นของตัวเองจะไม่ได้ผล จึงพูดกับอาจื้อว่า “ไว้เจ้ามีอายุเพิ่มกว่านี้สักสองสามปี แม่จะพาผู้หญิงมาให้เจ้าดูตัว ตระกูลของเราจะไม่จัดงานแต่งงานแบบคนตาบอด จะต้องให้เจ้าและผู้หญิงคนนั้นถูกตาต้องใจต่อกัน ถึงจะจัดงานแต่งงานได้ หากเจ้าชอบเด็กผู้หญิงคนนั้น แต่นางไม่ชอบเจ้า จะทำอย่างไรเล่า?”

ความจริงแล้วอาจื้อไม่เข้าใจคำว่า ‘ชอบ’ ที่เหยาซูเอ่ยออกมา

ในใจของเขา คำว่าชอบนั้นง่ายจะตายไป วันนี้ชอบหนังยางก็ถือว่าชอบแล้ว พรุ่งนี้ชอบให้อาหารม้าก็ถือว่าชอบแล้ว ขนาดอาซือที่บอกว่าชอบน้ำเชื่อมดอกกุ้ยฮวาก็ยังถือว่าชอบเลย

เด็กชายพูดขึ้นอย่างสงสัยว่า “นางไม่ชอบข้า ข้าเปลี่ยนคนชอบก็จบแล้วนี่ขอรับ?”

เหยาซูไม่สามารถอธิบายเกี่ยวกับความปรารถนาและแรงกระตุ้นที่ใคร ๆ ก็มีไม่ได้ให้ลูกน้อยเข้าใจอย่างชัดเจน แต่เมื่อทางนี้ไม่ได้ผล นางจึงต้องอ้อมไปอีกทางหนึ่ง

“แน่นอน เจ้าสามารถเปลี่ยนคนชอบได้ …แต่หากเจ้าทำให้นางมีความสุข เหมือนอย่างที่ท่านอาอวี๋ทำให้เอ้อเป่ามีความสุขได้ ผู้หญิงคนนั้นจะชอบเจ้า ไม่น่าดีใจกว่าหรือ?”

อาจื้อเฉลียวฉลาดมาก นอกจากความสามารถในการช่างสังเกตที่ไวเหมือนกับพ่อของเขาแล้ว ความฉลาดของเขาในตอนนี้ก็ยังแสดงออกมาได้อย่างเป็นรูปธรรมมากอีกด้วย

เด็กชายครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะถามเหยาซูว่า “ที่ท่านแม่พูด หมายถึงลุงรองและป้าสะใภ้รองใช่หรือไม่ขอรับ? แม้ว่าป้าสะใภ้รองจะบ่นลุงรองว่านั่นก็ไม่ดีนี่ก็ไม่ดีอยู่บ่อยครั้ง แต่เพียงลุงรองเอ่ยปากคำเดียว…”

มันคือเรื่องจริง

เหยาเฉามักจะไม่อยู่บ้านในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา สะใภ้รองมักจะแสดงความคิดเห็นมากมายเกี่ยวกับเขา แต่ความขัดแย้งระหว่างสามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันมักจะเกิดขึ้นแค่เพียงช่วงแรกเริ่มเท่านั้น เพียงสะใภ้รองเหยาพูดไม่กี่ประโยค ไฟโทสะที่สุมอยู่ในทรวงก็ถูกเหยาเฉาผู้เชี่ยวชาญในการเกลี่ยกล่อมขั้นสูงดับจนมอดลง

เหยาซูแย้มยิ้ม “ถูกต้อง ต้าเป่าช่างฉลาดยิ่งนัก!”

อาจื้อชื่นชมความสามารถในการดับเพลิงโทสะที่ลุงรองใช้กับผู้อื่นเสมอมา ในใจเขายังคิดว่า หากต่อไปตัวเองเหมือนกับลุงรอง ไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรก็คงจะสะดวกมากยิ่งขึ้น

เด็กผู้ชายพยักหน้าพลางครุ่นคิดบางอย่าง จากนั้นก็พูดกับเหยาซูว่า “ท่านแม่ ข้ารู้แล้วขอรับ”

เมื่อเห็นลูกชายเข้าใจได้อย่างรวดเร็วเพียงนี้ เหยาซูก็เกิดลังเลเล็กน้อยราวกับไม่ค่อยอยากจะเชื่อนัก คำว่า ‘รู้’จากปากของอาจื้อมันเหมือนกับที่นางคิดไว้หรือไม่

เด็กชายไม่ให้เวลาเหยาซูได้สติกลับมา ก็ย้อนกลับมาทางเดิมอีกครั้ง ปีนขึ้นมาข้างกายของน้องสาวและอวี๋จือโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง สังเกตการพฤติกรรมของพวกเขาสองคน

“เอ้อเป่าทำรูปที่ซับซ้อนเช่นนี้ได้ด้วย? งดงามยิ่งนัก! ว่าแต่นี่คืออะไรงั้นหรือ?”

เมื่อเขาได้ยินน้ำเสียงจริงใจของอวี๋จือ จึงอดชำเลืองตามองไปยังรูปแบบของเชือกในมือของผู้เป็นน้องสาวไม่ได้ นี่มัน ‘เรือเล็ก’ ที่พวกเขามักเจออยู่บ่อยครั้งนี่น่า? ทว่าแค่ทับกันเพียงหนึ่งชั้นเอง ไฉนจะซับซ้อน…?

แต่เมื่อเห็นดวงตาที่ลุกวาวของอวี๋จือ สีหน้าท่าทางที่ดูจริงใจยากที่จะเชื่อได้ว่าการแสดงออกเช่นนี้ของเขาจะเป็นการเสแสร้ง

“เอ๊ะ? นี่มันอะไร? เหตุใดมีหลายมุม…?”

“นี่มันดาวห้าแฉกยังไงเล่า! ท่านดูสิ เหมือนดาวห้าแฉกมาก ใช่หรือไม่เจ้าคะ? ท่านแม่สอนข้ากับมือเชียวนะ!”

“ดาวห้าแฉก…ดาวที่มีห้าแฉก ฟังดูดีมากเชียวละ! เอ้อเป่าคว้าดาวมาอยู่ในกำมือได้ด้วย!”

บทสนทนาของผู้ใหญ่และเด็กทำให้อาจื้อยิ่งเงียบลง เขามองไปยังใบหน้าของอวี๋จือ มองแล้วมองอีก กระทั่งถูกอวี๋จือที่ดูหัวขี้เลื่อยสังเกตเห็น

อาซือกำลังจดจ่ออยู่กับเชือกในมือ อวี๋จือไม่อยากรบกวนความตั้งใจของเด็กน้อย

“ทำไมหรือ?” เขาถามขึ้นโดยไม่ออกเสียง

อาจื้อส่ายหน้าโดยไร้ความรู้สึก จากนั้นก็เบนสายตาไปทางอื่น

เขาพยายามหาข้อสรุปความคล้ายคลึงในการเกลี้ยกล่อมผู้อื่นของอวี๋จือและเหยาเฉา กลับพบว่าคนหนึ่งต้องอาศัยศักยภาพที่ทำให้ผู้อื่นชื่นชอบตน อีกคนหนึ่งต้องอาศัยความเฉลียวฉลาดของตัวเอง

ส่วนศักยภาพของอวี๋จือ…ไม่ใกล้เคียงกับความเฉลียวฉลาดเลย

ในที่สุดเหยาซูก็จัดการเรื่องของซานเป่าเรียบร้อย เด็กน้อยอ้าปากพ่นฟองออกมาอย่างว่าง่าย ดวงตาสีดำขลับคู่นั้นมองมาทางพี่ชาย เหยาซูจึงมองตามสายตาเด็กน้อยไป กระทั่งเห็นสีหน้าที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดของอาจื้อ

นางยิ้มพลางถามว่า “คิดอะไรอยู่ ทำไมจริงจังเช่นนี้เล่า? ท่องหนังสือ ‘บันทึกประวัติศาสตร์’ ไม่ได้หรือ? ถามท่านอาอวี๋ของเจ้าสิ ปีนี้เขาต้องสอบจอหงวนด้วยนะ”

อาจื้อแสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ ดวงตาเบิกกว้าง “ท่านอาอวี๋…จะสอบจอหงวนหรือขอรับ?”

ล้อเล่นหรือเปล่า? ผู้ชายที่เล่นพันเชือกกับอาซืออย่างกระตือรือร้นคนนี้น่ะหรือจะสอบจอหงวน?

แม้ว่าเหยาซูจะไม่รู้ความสามารถของอวี๋จือมากนัก ทว่านางกลับหลับหูหลับตาเชื่อในการแสวงหาความรู้ของเขา จากนั้นก็พูดกับอาจื้ออย่างมั่นใจว่า “ท่านอาอวี๋มีวิชาความรู้มากมาย เหตุใดจะสอบจอหงวนไม่ได้ล่ะ?”

ในขณะที่กำลังถกเถียงถึงประเด็นสำคัญ ทั้งสองคนก็กำลังติดอยู่วังวนการละเล่นของเด็กผู้หญิง โดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองนั้นกลายเป็นหัวข้อสนทนาของผู้ใหญ่และเด็กน้อยไปแล้ว

อาจื้อเงียบไปชั่วขณะ จากนั้นก็พยักหน้า “ท่านแม่ ท่านพูดถูกขอรับ คนเราไม่อาจตัดสินกันด้วยหน้าตาได้ ข้าไม่อาจมองคนแค่ภายนอกแล้วตัดสินว่าเขาเป็นคนอย่างไรได้”

“อื้อ…” เหยาซูอยากจะถามกลับว่านางเคยพูดเช่นนี้กับเขาตั้งแต่เมื่อไร?

นางเห็นอวี๋จือที่มีท่าทางคล้ายกับบัณฑิต กลิ่นอายก็ดูมีความรู้ความสามารถมาก…

คงไม่ถึงขั้นโง่เขลาเบาปัญญา แต่อาจจะเด๋อด๋าไปบ้าง ดังนั้นจึงตัดสินได้ว่าองค์ความรู้ของอวี๋จือนั้นไม่เลวเลย!

คิดไม่ถึงว่าอาจื้อที่อายุยังน้อยจะจริงจังเช่นนี้

แต่หากจะให้พูด ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ได้รับการพิสูจน์ เหยาซูไม่มีทางทำลายกำแพงตัวเองอย่างแน่นอน

นางเพียงแค่พยักหน้า “การที่ต้าเป่าตามลุงรองไปเรียนหนังสือด้วย มีความก้าวหน้าอย่างที่คาดคิดไว้จริง ๆ จะพูดหรือจะทำอะไรก็มีระบบระเบียบมากขึ้น”

สุดท้ายอาจื้อก็เป็นแค่เด็ก ชอบฟังคำชื่นชมของผู้อื่น นับประสาอะไรกับการให้กำลังใจที่มาจากผู้เป็นแม่ที่ใกล้ชิดที่สุด เขายิ่งรู้สึกว่าการเรียนที่ยากลำบากในช่วงหลายวันที่ผ่านมาของตัวเองเกิดผลลัพธ์แล้ว

“ท่านแม่ ท่านวางใจเถอะขอรับ! ต่อไปข้าจะตั้งใจเรียนหนังสือกลับมาสอบจอหงวน ให้ท่านเป็นแม่ของบัณฑิตจอหงวนให้จงได้!”

เหยาซูยิ้มพลางลูบศีรษะของลูกชาย ก่อนจะพูดกับเขาอย่างสบาย ๆ ว่า “ได้ยินว่าคนที่หน้าผากใหญ่จะเฉลียวฉลาด ให้แม่ดูหน่อยสิ ดวงหน้าของเจ้าเอิบอิ่มหรือไม่?”

ในตอนที่อาจื้อยังเด็ก น้อยนักที่จะได้รับการสัมผัสที่สนิมสนมเช่นนี้ของเหยาซู ความรักของผู้เป็นแม่ เขาโหยหามาตั้งแต่เด็ก

“ท่านแม่ อย่ามาจับผมของข้า…”

เด็กชายตัวน้อยปฏิเสธอย่างเขินอาย ทว่าร่างกายกลับไม่ขยับออกแม้แต่น้อย ยังคงคล้อยไปตามสัมผัสของเหยาซู

การต้านทานที่น่ารักของเด็กน้อยกระตุ้นความคิดชั่วร้ายที่หาได้ยากยิ่งของเหยาซู เมื่อหญิงสาวเห็นอาจื้อเขินอาย ก็ยิ่งลูบแรงขึ้น

“เหตุใดถึงให้แม่ลูบหัวไม่ได้? เจ้าเพิ่งจะกี่ขวบเอง แม่แตะแค่นี่จะเป็นไรไป? หื้อ?”

ในขณะที่พูด นิ้วมือที่อ่อนนุ่มของเหยาซูก็แตะไปบนหน้าผากของเด็กผู้ชายตัวน้อย ไล่ลงมาตามศีรษะ มาจนถึงดวงตาที่ราวกับปัดขนตา คิ้ว จมูก ปาก สุดท้ายก็จับคางของอาจื้อ จากนั้นก็เขี่ยกรามของเขา

“ท่านแม่! มันจั๊กจี้…”

อาจื้อหลุดหัวเราะออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ ด้านหนึ่งก็พยายามกลั้นอาการจั๊กจี้ อีกด้านหนึ่งก็มีความสุขกับความสนิทสนมที่ไม่ค่อยมีบ่อยนักของมารดาอยู่ในใจ

ทุกช่วงเวลาอาจื้อต่างสัมผัสได้ ตัวเองนั้นกำลังได้รับความรักอย่างลึกซึ้ง

เหยาซูรู้ว่าอาจื้อเป็นเด็กที่ขี้อายมาก ปกติแล้วก็ไม่ชอบให้เขาโวยวาย ทว่าบางครั้งกลับทำให้เธอสัมผัสได้ถึงความคิดที่เด็กน้อยซุกซ่อนไว้ในใจ

“ต้าเป่าอุ้มน้องชายแทนแม่หน่อยได้หรือไม่?”

เสียงของนางแฝงไปด้วยอารมณ์ขบขัน อ่อนโยน และอบอุ่น

อาจื้อไม่เข้าใจ แต่กลับยังอุ้มซานเป่าอย่างเชื่อฟัง เด็กทารกตัวน้อยถูกเขาอุ้มจนชินแล้ว จึงหาตำแหน่งในอ้อมแขนที่สบายที่สุดของพี่ชาย ก่อนจะพูด ‘แอะ อ่า แอะ อ่า’ ตามประสาเด็กทารก

นัยน์ตาของอาจื้อฉายแววสงสัยระคนประหลาดใจ เหยาซูโน้มตัวลงมา จากนั้นก็หอมแก้มของอาจื้อและซานเป่าตามลำดับอย่างแผ่วเบา

เหยาซูยิ้มพลางพูดว่า “ไอหยา ที่แท้ใบหน้าของต้าเป่า ก็นุ่มนิ่มเหมือนซานเป่านี่เอง”

ปกติแล้วเหยาซูจะจูบศีรษะของเขาอย่างแผ่วเบา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางหอมอย่างเอาจริงเอาจังเช่นนี้

อาจื้อเบิกตากว้าง เดิมทีคิดจะเบี่ยงตัว แต่กลับเป็นเพราะเขาอุ้มน้องชายอยู่ จึงไม่รู้จะทำอย่างไรไปชั่วขณะหนึ่ง

…………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

แกล้งเด็กมันสนุกใช่ไหมล่ะอาซู เด็กๆ ก็น่ารักน่าเอ็นดูอย่างนี้แหละค่ะ

ไหหม่า(海馬)