บทที่ 146 องค์ชายสามต้องกลับไปอยู่ในที่ของตนเอง

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

“ผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ คือคุณชายสองคนนั้นหรือ” เฮ่อเหลียนเหมยหยุดพัดให้ตัวเองชั่วขณะ “เจ้าบอกว่าพวกเขาไม่รู้อะไรเลยไม่ใช่หรือ”

เด็กสาวมองหน้ากันอย่างเขินอาย “แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้เอะไรเลย แต่พวกเขาก็ยังแข็งแกร่งกว่าพวกเราที่เหลืออยู่ดี”

หลังจากนั้น เฮ่อเหลียนเหมยก็ร้อง ‘อ้อ’ และไม่ได้ถามอะไรอีก ดูเหมือนว่าพี่รองจะพูดถูก เหตุผลที่นังคนชั้นต่ำ เฮ่อเหลียนเวยเวยถูกเลือก ก็เพราะศิษย์ในหอสามัญนั้นไร้ความสามารถเกินกว่าที่จะกล่าวถึง

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ นางเคยได้ยินเรื่องบางอย่างมา ตอนที่พวกเขาเพิ่งเข้ามาในสำนักไท่ไป๋ กลุ่มคนจากหอชั้นเลิศนั้นไม่สามารถทนชายสองคนนั้นจากหอสามัญได้ นางเองก็ไม่รู้ว่าระหว่างการแข่งขัน พวกเขาจะถูกจัดการเช่นไร…

บรรดาผู้อาวุโสที่ไปถวายเครื่องบูชาที่ศาลเจ้า ต่างทะเลาะกันจนหน้าดำหน้าแดงเพราะคำทำนายนั้น

หนานกงเลี่ยที่นั่งอยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้น เอามือเท้าคางอย่างเกียจคร้าน

“คุณชายเลี่ย” เด็กรับใช้วิ่งไปด้านข้างและโน้มตัวลงข้างหูของเขา “มีข่าวจากองค์ชายมาแจ้งขอรับ องค์ชายตรัสว่าให้ท่านไปที่สำนักไท่ไป๋ในอีกสองสามวัน และเข้าร่วมการทดสอบของสำนักไท่ไป๋ขอรับ”

หนานกงเลี่ยดวงตาเป็นประกาย “การทดสอบเช่นนั้นหรือ”

“องค์ชายตรัสว่าพวกท่านยังไม่ได้ชำระค่าเล่าเรียนเต็มจำนวนขอรับ” หลังจากเด็กรับใช้พูดประโยคนี้จบ หน้าผากของเขาก็มีรอยย่นปรากฏขึ้นสองสามเส้น เขาไม่เข้าใจว่าทั้งสองท่านนี้กำลังเล่นอะไรกันอยู่

หนานกงเลี่ยหัวเราะอย่างชั่วร้าย “อาเจวี๋ยเสพติดการเล่นละครเกินไปแล้ว”

“องค์ชายยังตรัสอีกด้วยว่าเมื่อไม่นานมานี้ กลุ่มคนจากหอชั้นเลิศต้องการพูดคุยกับพวกท่านสองคนเป็นการส่วนตัวขอรับ” เด็กรับใช้คนนั้นพูดมาถึงตอนท้ายของข้อความแล้ว

หนานกงเลี่ยยืนขึ้นทันที ริมฝีปากบางของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มมีเสน่ห์ “ไปเตรียมตัวขึ้นเขาเดี๋ยวนี้” อันที่จริง เขาแทบจะรอเห็นพวกคนปัญญาอ่อนเหล่านั้นวิ่งเข้าไปถ้ำเสือไม่ไหวแล้ว

เขาไม่เคยเห็นอาเจวี๋ยรังแกคนอื่นเพียงฝ่ายเดียวมานานแล้ว

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ตั้งแต่เกิดเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ เขาก็ทำตัวดีขึ้นอย่างมาก

จนผู้คนต่างลืมไปว่าหากฝ่าบาทคนนี้ขยับมือของตนเอง เขาก็สามารถเลาะกระดูกของคนๆ หนึ่งออกได้เลย

ยามเย็น ณ มุมหนึ่งของย่านการค้า

เด็กน้อยเห็นเงาร่างของคนๆ หนึ่งที่อยู่ตรงหน้าของเขาก้าวเดินอยู่ เขาจึงเดินเข้าไปหาอย่างซวนเซ

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหยุดเดิน แล้วหันกลับมามองเขา น้ำเสียงของชายหนุ่มไม่ได้เย็นชาหรืออ่อนโยน มันฟังดูเรียบเฉย “กลับไป”

“พี่สาม เมื่อไหร่ท่านจะกอบกู้ชื่อเสียงของท่านหรือ”​ ใบหน้าอวบอ้วนที่น่ารักของเด็กตัวน้อยคนนั้นดูนุ่มนิ่มและกลมมากกว่าที่เคย เขามองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอย่างคาดหวัง “ข้าเบื่อมากที่จะต้องอยู่ในหอชั้นเลิศเพียงคนเดียว”

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจัดแขนเสื้อของตนเอง ใบหน้าด้านข้างอันหล่อเหลาของเขากระทบกับแสงแดด ราวกับว่าแสงสว่างนั้นเคลือบเขาเอาไว้เป็นชั้นๆ ท่าทีของชายหนุ่มนั้นดูไม่แยแส ทำให้ผู้คนเข้าถึงได้ยาก “ก่อนหน้านี้ พวกเราเคยพูดถึงเรื่องนี้กันแล้ว และตอนนี้ ข้าจะยังไม่ไปที่นั่น”

“แล้วถ้าหากข้าย้ายไปอยู่ที่หอสามัญกับพวกท่านด้วยเล่า” หากเขาไม่กลัวว่าคนอื่นๆ จะเห็นพวกเขายืนอยู่ที่นี่ เขาก็คงกอดขาของพี่สามแล้วกลิ้งตัวไปมาบนพื้นตั้งนานแล้ว เพราะพี่สามของเขากลัวความสกปรก และจะต้องยอมจำนนต่อเขาอย่างง่ายดายแน่นอน

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองเขาและเอื้อมมือไปลูบศีรษะของน้องชาย ก่อนจะพูดเพียงสองคำด้วยน้ำเสียงที่ไร้ความรู้สึกใดๆ เหมือนกับก่อนหน้านี้ “ไม่ได้”

องค์ชายเจ็ดเม้มปาก มือเล็กๆ ของเขาห้อยลงอย่างพ่ายแพ้ในทันที

ไม่ว่าอย่างไร ก็ไม่มีใครจำได้ว่านี่คือ ‘เด็กชายหัวโล้น’ ที่เคยคุมสำนักไท่ไป๋

อย่าดูถูกว่าเขาอายุยังน้อย เขาเข้ามาในสำนักไท่ไป๋ได้เร็วกว่าคนอื่นๆ โดยปกติแล้ว ไม่มีใครกล้ายั่วยุ ‘เจ้าแห่งนรก’ ตัวน้อยคนนี้

ทุกคนจะคิดว่าเขาเป็นเพียงแค่เด็กน้อยคนหนึ่งได้อย่างไร เพราะนอกจากสถานะของเขาแล้ว เขาก็เป็นราวกับเสือตัวน้อยที่ทั้งกล้าหาญและเฉลียวฉลาด หากใครปฏิบัติต่อเขาเหมือนเด็กน้อย ก็จะถูกเขากัดจนกว่าจะเหลือแค่โครงกระดูก

ผู้คนต่างรู้สึกสงสัยว่าอดีตฮ่องเต้สอนอะไรให้องค์ชายเจ็ดในวัยเด็ก จึงทำให้เขากลายเป็นคนเช่นนี้ แม้ว่าองค์ชายสามจะทำให้ผู้คนรู้สึกสั่นสะท้านไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ แต่อย่างน้อย พระองค์ก็ไม่ได้กระหายเลือดแบบนี้

แต่พวกเขาล้วนคิดผิด ไม่มีใครรู้ว่าคนที่ดูแลเด็กชายหัวโล้นตั้งแต่ยังเด็กนั้นไม่ใช่อดีตฮ่องเต้ แต่เป็นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยต่างหาก

อาจกล่าวได้ว่าการที่องค์ชายเจ็ดเป็นคนแบบนี้ ก็เพราะตอนที่เขายังเด็ก พี่ชายของเขาเคยพูดกับเขาประโยคหนึ่งว่า “จงสู้ หากเจ้าสู้ไม่ไหว ข้าจะไปช่วยเจ้าสู้เอง”

นอกจากกินแล้ว เด็กชายหัวโล้นก็จำได้เพียงเรื่องเดียวเท่านั้นว่า ‘เขามีพี่ชายที่คอยหนุนหลังอยู่เสมอ’ ดังนั้น องค์ชายเจ็ดจึงถูกเลี้ยงดูมาเช่นนี้ จนกลายเป็นเจ้าเสือน้อยตามที่ทุกคนรู้จักกัน

“ก็ได้” เด็กชายหัวโล้นรู้สึกเจ็บใจ เขาหยิบเอาซาลาเปาออกมาเพื่อปลอบใจตัวเอง “ข้าจะรอพี่สามที่หอชั้นเลิศก็ได้”

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลูบศีรษะของเด็กน้อยอีกครั้ง ก่อนจะสั่งอย่างแผ่วเบา “เงาทมิฬ”

“กระหม่อมอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น ตอนที่เขาปรากฏตัวนั้น ไม่มีเสียงใดๆ จากการเคลื่อนไหวของเขาเลยแม้แต่น้อย

ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสว่างวาบ “ต่อไป เจ้าจงติดตามองค์ชายเจ็ด ไม่ว่าเขาต้องการจะกินอะไร ก็ไปหามาให้เขา”

“ดูเหมือนว่า ตอนนี้ องค์ชายจะถูกสั่งห้ามไม่ให้กินเนื้อสัตว์พ่ะย่ะค่ะ” เงาทมิฬเปลี่ยนวิธีการพูดเพื่อเตือนเจ้านายของตนเอง เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับกฎระเบียบของสำนักไท่ไป๋

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลิกคิ้ว “แล้วอย่างไรเล่า”

แล้วอย่างไร…​ เงาทมิฬคิดในใจ แล้วอย่างไรเช่นนั้นหรือ นายท่าน ท่านไม่วิตกกังวลให้มากกว่านี้หน่อยหรือ

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังคงพูดต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เขาไม่ได้มาบวช ให้เขากินไป”

เงาทมิฬก้มหน้าลง “พ่ะย่ะค่ะ” เฮ้อ ในมุมมองของฝ่าบาท ไม่ว่าจะเป็นกฎระเบียบของสำนักศึกษาหรือไม่ มันก็เป็นเพียงแค่ในนามเท่านั้น…

องค์ชายเจ็ดมีความสุขอย่างมาก พร้อมกับลากตัวเงาทมิฬแล้วรีบวิ่งไปทางร้านค้าในย่านการค้า

ภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ มีเพียงไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่ยังอยู่ตรงนั้นตามลำพัง เขาเดินไปข้างหน้าอย่างผ่อนคลาย ผมสีดำราวกับหมึกของเขาปลิวตามลมอย่างอิสระ เสื้อคลุมตัวนอกของเขาไม่ได้คาดเอวเอาไว้ และมันก็ทิ้งตัวอยู่ข้างลำตัวของเขา เปลือกตาของเขาเปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง ภายในแววตานั้นสะท้อนให้เห็นความสามารถและความเย้ายวนอย่างมาก รูปลักษณ์ของเขาดูสันโดษ บริสุทธิ์และสูงส่งอย่างเห็นได้ชัด ความหล่อเหลาทั้งสองแบบนั้นเผยออกมาจากร่างกายของชายหนุ่ม เมื่อเขาเดินข้ามถนนไปที่ย่านการค้า เหล่าเด็กสาวต่างก็มองมาทางเขาอย่างอดไม่ได้

อิงจากคำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวย หากสำนักไท่ไป๋มีการจัดอันดับผู้ชายหล่อ เพื่อนร่วมโต๊ะของนางคนนี้ก็จะต้องได้รับรางวัลที่หนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย สำนักไท่ไป๋นั้น ไม่มีใครเทียบเขาได้

“นายน้อย ดูสิขอรับ” คนรับใช้ตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างกับหยวนหลิงเซวียนมองไปทางถนนที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยปรากฏตัวขึ้น

หยวนหลิงเซวียนไม่สนใจและพ่นลมหายใจอย่างเฉยเมย ขณะที่ชายหนุ่มคนอื่นๆ ยกริมฝีปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่าเขาอยู่ในรายชื่อของหอสามัญในการแข่งขันปีนี้ด้วย”

“เขาก็เป็นแค่ตัวตลกจากหอสามัญเท่านั้น แม้ว่าเขาจะหล่อเหลาแค่ไหน แต่เขาก็ไม่สามารถเทียบเท่ากับพี่หยวนได้หรอก”

“แน่นอน จะเอาเขามาเปรียบเทียบกับพี่หยวนได้อย่างไรกันเล่า แต่เด็กคนนั้นหยิ่งผยองเกินไป เขาไม่รู้หรือว่าที่นี่คือถิ่นของพวกเรา”

“พี่หยวน พวกเราไปสั่งสอนเด็กคนนั้นกันดีกว่า” คนๆ นั้นหันไปมองทางหยวนหลิงเซวียน

หยวนหลิงเซวียนเลิกคิ้วและไม่พูดอะไร แต่เขาดูหงุดหงิดเล็กน้อย

อีกคนดึงตัวคนที่กำลังพูดอยู่กลับมา “เจ้าโง่หรืออย่างไรกัน พี่หยวนจำเป็นต้องไปจัดการกับคนแบบนี้ด้วยตัวเองเช่นนั้นหรือ อีกสักครู่ พวกเราจะหาที่รกร้างสักแห่ง แล้วสั่งสอนให้เด็กคนนั้นรู้สถานะของตัวเองบ้าง”

“ใช่ๆๆ ดูข้าสิ ข้าช่างโง่เขลาจริงๆ” ชายคนนั้นตบหน้าผากของตัวเองด้วยดวงตาเป็นประกาย “พวกเราไปกันตอนนี้เลยดีหรือไม่”