ตอนที่ 148 โดนจับกุมทั้งหมด

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 148 โดนจับกุมทั้งหมด

เจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายรีบคว้ากุญแจมือ เตรียมตามหลินม่ายออกไปจับกุมเขาอย่างไม่รอช้า

หลินม่ายพูดอย่างลังเล “แต่ฉันไม่มีพยานบุคคลที่สามที่จะช่วยยืนยันให้ได้ว่าอันธพาลคนนั้นเข้ามาหาเรื่องฉันจริง ถ้าจู่ ๆ พวกคุณไปจับกุมเขาแบบนี้ เขาต้องไม่ยอมรับผิดแน่ค่ะ”

เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งพูดอย่างใจดี “คุณไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอก เราจะจับกุมผู้ชายคนนั้นมาแล้วทำการสอบปากคำเขาอย่างเข้มงวด ถึงอย่างไรเขาก็ต้องยอมพูดความจริงแน่”

ก็เพราะฉันกลัวว่าเขาจะพูดความจริงน่ะสิ!

ถ้าคนสารเลวนั่นพูดความจริงออกมาอย่างหมดเปลือก เธอจะไม่ติดร่างแหถูกตั้งข้อหาว่าใส่ร้ายป้ายสีเขาหรอกหรือ

หลินม่ายไม่อยากให้เรื่องโยงใยมาถึงตัวเอง

ดังนั้นจึงตัดสินใจเสนอแนะว่า “ความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องทำอะไรยุ่งยากแบบนั้นเลยค่ะ คุณตำรวจทั้งสองโปรดตามฉันไปที่นั่น แล้วเฝ้าสังเกตการณ์จากที่ไกล ๆ ดีกว่า ฉันจะย้อนกลับไปตั้งแผงขายผลไม้ที่เดิม อันธพาลคนนั้นต้องออกมาขู่กรรโชกทรัพย์ฉันอีกแน่ ๆ ถ้าเขาทำไม่สำเร็จก็จะขับไล่ฉันออกไป ถึงตอนนั้น ถ้าพวกคุณเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว ก็เท่ากับมีหลักฐานมัดตัวเขาจนดิ้นไม่หลุด ยอมให้พวกคุณจับกุมแต่โดยดีแน่”

เจ้าหน้าที่ตำรวจหันไปปรึกษากันสองสามคำ จากนั้นก็ตกลง ตามหลินม่ายกลับไปที่ชุมชนใกล้กับสำนักงานการไฟฟ้า

หลินม่ายจอดรถแทรกเตอร์ในตำแหน่งเดียวกันกับก่อนหน้านี้ ก่อนจะตะโกนเรียกลูกค้าเสียงดัง

หวังหรงเห็นแบบนั้นก็วิ่งแจ้นเข้าไปในห้องพักของหวังเฉียงอีกครั้ง “พี่! พี่นี่ชักจะกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ขึ้นทุกวันเลยนะ แค่ขับไล่คนออกไปจากที่นี่ยังทำไม่ได้ ตอนนี้นังนั่นมันกลับมาอีกแล้ว!”

หวังเฉียงที่กำลังฟังรายการตลกเอนตัวไปปิดวิทยุทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ก่อนจะวิ่งไปที่หน้าต่างเพื่อดู ปรากฏว่าจริงอย่างที่น้องสาวของเขาพูด

เขากัดฟันกรอดพลางพูดว่า “นังตัวดี ฉันจะลงไปไล่แกอีกครั้ง คราวนี้แหละฉันจะทำให้แกรู้ว่าฉันแข็งแกร่งแค่ไหน เอาให้มันไม่กล้ากลับมาตั้งร้านอีกเลย คอยดูเถอะ!”

พูดจบแล้วเขาก็รีบวิ่งออกจากห้องไป ไม่ลืมเรียกเพื่อนสองคนให้ออกไปด้วยกัน คราวนี้เขาเดินตรงไปหาหลินม่ายพร้อมด้วยท่อเหล็ก

ทันทีที่เข้าไปประชิดรถก็จัดการใช้ท่อเหล็กทุบรถแทรกเตอร์ของหลินม่ายทันที

“ออกไปซะ ฉันไม่อนุญาตให้เธอตั้งแผงขายของที่นี่ ยังมีหน้ากลับมาอีกหรือ!”

หลินม่ายรีบก้าวลงจากรถเพื่อหยุดการกระทำของเขา แสร้งทำเป็นอ้อนวอน “พี่ชาย ฉันอยากตั้งแผงขายของที่นี่จริง ๆ ทำยังไงคุณถึงจะยอมให้ฉันตั้งร้านที่นี่ล่ะ?”

เพื่อนคนหนึ่งของหวังเฉียงที่กำลังช่วยเขาทุบรถแทรกเตอร์โพล่งขึ้นมา “จ่ายเงินค่าคุ้มครองมาสามสิบหรือห้าสิบหยวนก่อนสิ ถ้าไม่มีจ่ายก็ไม่สามารถตั้งแผงลอยในชุมชนของเราได้!”

“ใช่แล้ว! จ่ายเงินมาสิ!” เพื่อนอีกคนหนึ่งของเขาพูดอย่างเห็นดีเห็นงามด้วย

หลินม่ายอดรู้สึกลิงโลดในใจไม่ได้ คนพวกนี้รนหาที่ตายใส่หัวตัวเองกันจริง ๆ เลย ในเมื่อพวกนายอยากนอนคุกมาก อย่างนั้นฉันจะสนองความต้องการให้พวกนายเอง

เธอจงใจถามหวังเฉียงด้วยเสียงที่ดังกว่าปกติ “คุณอยากได้เงินค่าคุ้มครองเหรอ?”

ตอนแรกหวังเฉียงไม่ได้มีความคิดที่จะรีดไถเงินค่าคุ้มครองอยู่ในสมอง แต่ในเมื่อเพื่อนทั้งสองคนของเขาอยากฉวยโอกาสนี้ขูดรีดเงินจากหลินม่าย เขาก็คงต้องตามน้ำไปก่อน

ต่อให้เธอยอมควักเงินจ่ายค่าคุ้มครองจริง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องหาทางขับไล่นังสารเลวคนนี้ออกไปให้ได้

เขาตอบกลับทันที “แหงล่ะสิ! คิดอยากตั้งแผงลอยขายของในชุมชนของเรา แต่กลับไม่ยอมจ่ายค่าคุ้มครองเนี่ยนะ เธอคิดว่าตัวเองใหญ่โตมาจากไหนกัน!”

หลินม่ายทำเสียงให้น่าสงสาร “แต่ฉันไม่มีเงิน…”

“ถ้าอย่างนั้นฉันจะทุบรถของเธอให้พังไปซะ!”

ทันทีที่หวังเฉียงพูดจบ เจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายก็รีบวิ่งออกมาจากมุมลับสายตาทันที

“พวกคุณสามคนกล้ารีดไถเงินจากคนอื่นอย่างนั้นรึ ตามเรากลับไปที่สถานีตำรวจเดี๋ยวนี้”

หวังเฉียงและเพื่อนอีกสองคนของเขาตกใจมากเมื่อหันขวับไปเห็นอีกฝ่าย

ตอนนี้ตำรวจได้จัดประเภทความผิดของเข้าให้เข้าข่ายขู่กรรโชกทรัพย์และทำลายทรัพย์สินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ภายใต้ขอบเขตกฎหมายกวาดล้างอาชญากรรม ความผิดข้อนี้หนีไม่พ้นโทษจำคุกอย่างเดียว

ทั้งสามตื่นตระหนกมากจนวิ่งกระจัดกระจายไปคนละทาง พยายามจะหลบหนี

แต่สิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทำเป็นประจำทุกวันคือการไล่จับคนร้าย ดังนั้นพวกเขาจะหนีรอดไปได้อย่างไร?

พวกเจ้ารีบวิ่งตามไปอย่างไม่รอช้า พอจับได้แล้วก็จัดการใส่กุญแจมือ ก่อนจะควบคุมตัวพวกเขาไปที่สถานีตำรวจ

หวังหรงซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าต่างห้องเพราะหวังได้รับชมอะไรดี ๆ ตอนนี้กลับรู้สึกหวาดกลัวจนไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ได้

หล่อนไม่คิดเลยว่าหลินม่ายกลับมาครั้งนี้จะพาเจ้าหน้าที่ตำรวจมาด้วย

ตอนนี้พี่ชายของหล่อนกับเพื่อนอีกสองคนของเขาถูกควบคุมตัวไปแล้ว คราวนี้จะทำอย่างไรดี?

หวังหรงรู้สึกกระวนกระวายใจราวกับมดที่ไต่อยู่บนกระทะร้อน หล่อนรีบวิ่งโร่ไปที่สำนักงานการไฟฟ้าทันทีเพื่อขอความช่วยเหลือจากแม่และพ่อเลี้ยง

หลินม่ายติดตามพวกเขากลับไปที่สถานีตำรวจด้วย หลังลงบันทึกประจำวันเสร็จสิ้นก็เป็นเวลาห้าโมงเย็นแล้ว

หลินม่ายขับรถแทรกเตอร์กลับไปที่ร้านเพื่อกินข้าวมื้อเย็น กะไว้ว่ากินเสร็จเมื่อไรก็จะออกไปขายผลไม้อีกครั้งหนึ่ง

วันต่อไปเธอคงไม่ออกไปขายผลไม้ช่วงบ่ายแก่ ๆ ที่อากาศร้อนอบอ้าวเกินไปอีกแล้ว ไม่ว่าจะขายอะไรก็ขายไม่ดีไปเสียหมด

เธอเพิ่งจะขับรถแทรกเตอร์เข้ามาจอดเทียบริมถนนลาดยางหน้าร้านของตัวเอง ก็ได้ยินเสียงฟางจั๋วหรานถามขึ้นมา “วันนี้ผลไม้ขายไม่ดีเหรอ?”

“ค่ะ” หลินม่ายกระโดดลงจากรถ “บ่ายวันนี้อากาศร้อนเกินไป ไม่มีใครยอมออกจากบ้านมาซื้อผลไม้เลย”

สายตาของฟางจั๋วหรานกลับตกอยู่ที่รถแทรกเตอร์ พอเห็นว่ารอบคันเต็มไปด้วยรอยบุบ จึงถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “รถคุณไปโดนอะไรมา?”

หลินม่ายตอบกลับเสียงเบา “ตอนบ่ายฉันออกไปขายผลไม้แถวชุมชนใกล้ ๆ กับสำนักงานการไฟฟ้ามาน่ะค่ะ โชคร้ายโดนพวกอันธพาลสองสามคนเดินเข้ามาทุบรถ แค่เพราะว่าพวกเขาไม่อยากให้ฉันตั้งแผงลอยในชุมชนของเขา”

ฟางจั๋วหรานแทบระเบิดอารมณ์โกรธออกมา

หญิงสาวตัวเล็ก ๆ คนนี้ถูกข่มเหงรังแกจากผู้ชายอกสามศอก แต่น้ำเสียงของเธอกลับยังสงบราบเรียบ เหมือนกับก่อนหน้านี้ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

“คนพวกนั้นหน้าตาเป็นยังไง? คุณลองอธิบายมาซิ ผมจะไปแจ้งตำรวจให้เข้าไปจับกุมพวกเขา!”

ช่วงปฏิรูปการปกครองแบบนี้ คนพวกนั้นกลับกล้าก่ออาชญากรรมอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย เขาต้องสั่งสอนพวกอันธพาลที่รังแกผู้หญิงพวกนั้นให้หลาบจำ!

หลินม่ายโบกมือ “ไม่ต้องเป็นธุระให้ฉันหรอกค่ะ เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวพวกเขาไปโรงพักทั้งหมดแล้ว”

สีหน้าของฟางจั๋วหรานอ่อนลงเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องถามว่าเธอเซ็นสัญญาซื้อขายบ้านกับคุณลุงเจ้าของแล้วหรือยัง

หลินม่ายพยักหน้า “เรียบร้อยแล้วค่ะ”

ทั้งสองเดินเคียงกันเข้าไปในร้าน โจวฉายอวิ๋นเข้าครัวเตรียมอาหารมื้อเย็นเอาไว้ให้พวกเขาแล้ว

พอเห็นว่าทั้งสองคนมาถึงที่ร้านพร้อม ๆ กัน หล่อนก็พูดติดตลกกลั้วหัวเราะ “พวกคุณสองคนนี้ถูกพรหมลิขิตกำหนดให้มาเจอกันที่ร้านอาหารจริง ๆ เลย”

หลินม่ายยิ้มรับ “โต้วโต้วเป็นยังไงบ้าง?”

“ดีขึ้นแล้ว ไม่รู้ว่าหล่อนเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน พอตื่นขึ้นมาแล้วก็เอาแต่กระโดดโลดเต้น ร้องเอะอะจะกินไอศกรีมท่าเดียว แต่ฉันยังไม่กล้าเอาให้หล่อนกิน”

ฟางจั๋วหรานหันไปหาหลินม่าย “โต้วโต้วเป็นอะไรหรือ?”

“ป่วยเป็นไข้หวัดนิดหน่อยค่ะ”

เธอกลัวว่าฟางจั๋วหรานจะเป็นห่วง จึงโบกมือน้อย ๆ ให้เขา “เมื่อเช้าฉันพาเธอไปให้คุณหมอฉีดยาแล้ว ไม่น่าเป็นอะไรแล้วค่ะ”

ฟางจั๋วหรานไม่พูดอะไรอีก พอเขาเห็นว่าโต้วโต้วยังคงร่าเริงเป็นปกติ แถมยังอยากอาหารมากกว่าเดิมเสียอีก เขาก็รู้สึกสบายใจขึ้น

หลังมื้ออาหารเย็น ฟางจั๋วหรานซื้อของว่างจำพวกเสียบไม้ย่างกับยำฝักอ่อนถั่วเหลืองห่อกลับไปด้วย

คืนนี้เข้าต้องเข้ากะกลางคืน จึงต้องเตรียมของว่างให้พร้อมสำหรับช่วงดึก

หลินม่ายอดมองค้อนเขาไม่ได้ “คืนนี้คุณเข้ากะกลางคืนแท้ ๆ ทำไมถึงไม่ยอมบอกฉันล่วงหน้าล่ะคะ ฉันจะได้เตรียมของว่างมื้อดึกไว้ให้คุณเยอะหน่อย ของพวกนี้พอบรรเทาความอยากอาหารได้ก็จริง แต่ไม่ได้มีคุณค่าทางโภชนาการอะไรเลย”

ถึงจะถูกตำหนิ แต่ฟางจั๋วหรานกลับรู้สึกอบอุ่นหัวใจ

เขาพยักหน้า “ไว้ครั้งหน้าผมจะบอกคุณล่วงหน้าก็แล้วกัน”

ท้ายที่สุด เขาก็หยิบของว่างที่บรรจุลงในกล่องอาหารกลางวันส่วนตัวของตนเองขึ้นมา ตั้งท่าจะเดินออกจากร้านไป

หลินม่ายเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังไม่ได้ร่างสัญญากู้ยืมเงินให้เขา จึงรีบร้องเรียกเขาไว้ “เดี๋ยวก่อนค่ะ”

เธอวิ่งขึ้นไปชั้นบน เขียนสัญญากู้ยืมเงินอย่างเร่งรีบ จากนั้นก็วิ่งกลับลงมาชั้นล่างพร้อมกับยื่นกระดาษในมือให้ฟางจั๋วหราน

ฟางจั๋วหรานนึกว่าเธออยากให้เขารอสักครู่เพื่อไปเอาบางอย่างมาให้ กลับกลายเป็นว่าของสิ่งนั้นก็คือสัญญากู้ยืมเงินจำนวนสามพันหยวนที่เธอเขียนขึ้นด้วยตัวเอง

หญิงสาวคนนี้เอาแต่เว้นระยะห่างออกไปจากเขาอยู่เรื่อย แล้วเมื่อไรเขาถึงจะพัฒนาความสัมพันธ์กับเธอได้เสียที?

หลังจากฟางจั๋วหรานเดินออกไปแล้ว หลินม่ายก็ขับรถแทรกเตอร์ไปจอดแถวชุมชนใกล้สำนักงานการไฟฟ้าอีกครั้งเพื่อขายผลไม้

หลังมื้ออาหารเย็น ในชุมชนก็เต็มไปด้วยผู้คนที่สัญจรผ่านไปมา

ทันทีที่หลินม่ายตะโกนเรียกลูกค้า ไม่นานนักก็มีคนเดินออกมาซื้อผลไม้

ชุมชนใกล้สำนักงานการไฟฟ้ามีผู้อยู่อาศัยหลายครัวเรือน กำลังซื้อก็มากตามไปด้วย

ยังไม่ทันถึงสองทุ่ม หลินม่ายสามารถขายผลไม้ได้ประมาณห้าร้อยชั่ง

เธอยังอยากตั้งแผงขายต่อไป แต่ฝนกลับตกปรอย ๆ ลงมาเสียก่อน ทำให้เธอจำใจต้องปิดแผง

กลางฤดูร้อนแบบนี้ ถ้าฝนตกทั้งทีก็มักจะตกหนัก เธอกลัวว่าตัวเองอาจล้มป่วยจากการตากฝน จึงรีบเก็บข้าวของปิดแผงเตรียมขับรถกลับบ้าน

หวังหรงและพ่อแม่ของหล่อนต้องวิ่งไปที่นั่นทีที่นี่ทีอยู่หลายชั่วโมง เพื่อวิ่งเรื่องให้หวังเฉียงและเพื่อน ๆ ของเขาได้รับการปล่อยตัวออกจากสถานีตำรวจ

ทว่าคำพูดย่อมง่ายกว่าการกระทำ ไม่ว่าสามพ่อแม่ลูกจะพยายามร้องขอความช่วยเหลือจากใคร ทุกคนต่างก็พร้อมใจกันหลีกเลี่ยง

ตอนนี้บ้านเมืองยังอยู่ในช่วงการปฏิรูปประเทศ ใครบ้างจะกล้ายื่นมือเข้าไปพัวพันกับคดีกวาดล้างอาชญากรรม!

สมาชิกในครอบครัวทั้งสามคนของหวังหรงจึงจำใจกลับมาที่บ้านด้วยความห่อเหี่ยว

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ยัยน้องสาวหาเรื่องคุกเรื่องตะรางให้พี่ชายแล้วไง มาเจอคนจริงที่มันไม่ยอมคนอย่างม่ายจื่อก็งี้แหละ

ไหหม่า(海馬)