บทที่ 13 ยั่วโมโหแม่สามีตัวร้าย

สะกิดหัวใจนายขี้เก๊ก

สี่สิบนาทีหลังจากนั้น ธราเทพก็จอดรถอยู่ด้านนอกคฤหาสน์ตระกูลทวีศักดิ์ทินโชติ และเดินไปถึงหน้าประตูคฤหาสน์พร้อมกันกับณัฐณิชา พลางกดกริ่งประตู

ผู้ที่มาเปิดประตูก็คือลุงหัสดินที่เป็นพ่อบ้าน เขายิ้มเริงร่า เชิญเทพและณัฐณิชาให้เข้าไป

“นายท่านผู้เฒ่ากำลังฝึกคัดอักษรอยู่ในห้องหนังสือ คุณพ่อของคุณอยู่ที่สวนหลังบ้าน พวกคุณสามารถไปสวนหลังบ้านก่อนแล้วค่อยไปที่ชั้นสองได้ครับ” ลุงหัสดินเอ่ยเตือน พลางเดินนำทั้งสองคนเข้าไปในบ้าน พร้อมกับวางรองเท้าแตะสองคู่ให้อย่างเรียบร้อย

ธราเทพเปลี่ยนรองเท้า เดินไปยังห้องครัว รินน้ำมาดื่มแก้วหนึ่ง

ณัฐณิชาเคลื่อนไหวช้ากว่าเล็กน้อย เมื่อเปลี่ยนรองเท้าเสร็จแล้วเงยหน้าขึ้น ก็เห็นหญิงวัยกลางคนที่สวมชุดกี่เพ้าผ้าไหมสีฟ้าอ่อนเดินมาถึงด้านหน้าตัวเอง

เธอดัดผมหยิกเป็นลอนม้วนขึ้นสูง นัยน์ตาหงส์ชี้ขึ้นเจือไปด้วยความอำมหิต

ณัฐณิชาคิดในใจ คาดว่าคนคนนี้น่าจะเป็นพนันท์ แม่เลี้ยงของธราเทพ

“สวัสดีค่ะคุณป้า” เธอทักทายอย่างไม่ลืมมารยาท

นพนันท์กลับพิจารณามองณัฐณิชาด้วยสีหน้ารังเกียจ เธอไม่ได้เอ่ยตอบ แต่หันไปเอ่ยกับลุงหัสดินว่า “หยิบถุงพลาสติกมาให้คุณณัฐณิชาใส่รองเท้าด้วย ฉันทนดมกลิ่นของหนังชั้นแย่ไม่ไหว”

ลุงหัสดินมองณัฐณิชาอย่างกระอักกระอ่วนครู่หนึ่ง และรู้สึกลำบากใจขึ้นมาชั่วขณะ

ณัฐณิชากลับหิ้วรองเท้าขึ้นมาด้วยท่าทางไม่ใส่ใจแล้วยื่นให้ลุงหัสดินอย่างว่านอนสอนง่าย พลางเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรบกวนคุณแล้วค่ะ ฉันก็ไม่อยากให้รองเท้าของฉันเปื้อนถูกกลิ่นเหม็นฉุนของที่นี่เช่นกัน”

ณัฐณิชาเป็นเช่นนี้มาตลอด ผู้อื่นดีต่อเธอ เธอจะตอบแทนคืนเป็นสิบเท่า

แต่ถ้าหากผู้อื่นปฏิบัติต่อเธอไม่ดี เธอจะต้องตาต่อตา ฟันต่อฟัน ไม่ฝืนอดทนกล้ำกลืนอย่างเด็ดขาด

“เธอ!” นพนันท์โมโหเป็นอย่างมาก แต่ก็จำเป็นต้องข่มโทสะของตนเองเอาไว้ แค่นเสียงเย็นเอ่ยว่า “เด็กสาวยากจนที่มาจากบ้านนอก ใช้แผนการชั้นต่ำยั่วยวนจับเทพของพวกเรา ฝีปากเก่งกาจเสียจริง”

ในฐานะที่นพนันท์แต่งงานใหม่เข้ามาในตระกูลทวีศักดิ์ทินโชติแล้ว ก็วางแผนให้ลูกชายของตัวเองเป็นผู้สืบทอดกิจการของตระกูลมาโดยตลอด แต่ถึงอย่างไรเขาก็เพิ่งจะมีอายุเพียงแค่สิบขวบเท่านั้น

ส่วนนายท่านผู้เฒ่าก็ไม่ยอมรับลูกนอกสมรสคนนี้ นอกจากจะทำให้นายท่านผู้เฒ่าตรากตรำจนตาย เธอถึงจะสามารถแย่งชิงผลประโยชน์มาให้ลูกชายตัวเองได้บ้าง

ดังนั้นเธอจึงคิดจะให้ลูกสาวที่ตัวเองพามาด้วยแต่งงานกับธราเทพ หลังจากนั้นก็ให้ลูกสาวคลอดลูกแผ่กิ่งก้านสาขาให้กับตระกูลทวีศักดิ์ทินโชติ มีเพียงเช่นนี้ สถานะของลูกชายและลูกสาวเธอจึงจะสามารถอยู่ในตระกูลทวีศักดิ์ทินโชติได้อย่างมั่นคง

แต่ธราเทพนั้นไม่ยอมรับนภสรณ์มาโดยตลอด คุณพ่อของธราเทพก็พูดเช่นกันว่า แม้ว่าธราเทพกับน้ำจะไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นพี่น้องกัน ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถแต่งงานกันได้

นพนันท์กำลังครุ่นคิดว่า จะทำให้ระหว่างพวกเขาดำเนินไปถึงจุดที่สายเกินแก้ได้อย่างไร แต่ก็ดันมีณัฐณิชาโผล่ออกมากะทันหัน

เธอจะไม่โมโหได้อย่างไรกัน

ณัฐณิชากลับเอ่ยยิ้มๆว่า “ฉันเกาะเขารวย เช่นนั้นคุณคืออะไรคะ? บุกรุกครอบครองบ้านของผู้อื่นโดยพลการหรือ”

นพนันท์โมโหจนหายใจไม่ออก แทบจะเป็นลมไป

นภสรณ์ผู้เป็นลูกสาวรีบก้าวเข้ามาประคองคุณแม่ของตัวเองเอาไว้ มองไปทางธราเทพที่ยืนมองอยู่อีกด้านราวกับไม่ใช่เรื่องของตัวเองอย่างไม่พอใจ “พี่เทพ พี่ให้เธอรังแกผู้อื่นขนาดนี้ได้อย่างไรกันคะ!”

ในใจณัฐณิชารู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา ลอบมองธราเทพเงียบๆครู่หนึ่ง

ก่อนมา เขาเคยเตือนเธอแล้วว่าอย่าก่อเรื่อง แต่ว่าเธอก็อดไม่ได้

ณัฐณิชากำลังกลัวว่าธราเทพจะโกรธ แต่กลับเห็นเขาหยิบขนมโก๋ที่ทำจากถั่วเขียวยื่นมาตรงหน้าแล้วยัดเข้าปากเธอ “กินข้าวให้เยอะ พูดให้น้อย ถ้าหากว่าทำให้แม่เลี้ยงกับน้องสาวโกรธอีก คืนนี้ผมจะจัดการคุณ”

เอ่ยจบแล้ว ธราเทพก็วางมือบนไหล่เธอแล้วเดินไปทางสวนหลังบ้าน

ณัฐณิชากินขนมโก๋ที่ทำจากถั่วเขียวด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ นี่มันเป็นการสั่งสอนแบบไหนกัน นี่มันคือการแสดงความรักต่างหาก!

ดูท่าธราเทพก็ไม่ใช่พวกใจร้าย…

ทางด้านนภสรณ์ที่เห็นภาพเมื่อครู่นี้ก็หน่วยตาแดงระเรื่อ เอ่ยกับคุณแม่ของตัวเองว่า “คุณแม่ หนูไม่มีโอกาสอีกแล้วใช่ไหมคะ”

นพนันท์มองลูกสาวของตัวเองด้วยความสงสารครู่หนึ่ง พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงโหดเหี้ยมว่า “อาศัยแม่หนูนั่น คิดอยากจะแย่งผู้ชายกับลูกสาวแม่ แม่จะให้เธอตายโดยไม่รู้ว่าตายได้อย่างไร”

“คุณแม่คะ ไม่อย่างนั้นพวกเราจ้างคนมาทำลายใบหน้านั้นของเธอ! ดูสิว่าเทพยังจะชอบเธออยู่อีกไหม”