ตอนที่ 85-1 ทราบเรื่อง รีบเร่งมาถึง
ยามบ่าย จีหมิงซิวหิ้วไข่เยี่ยวม้าโถหนึ่งกลับมาถึงจวน

จีเหล่าฮูหยินกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงเตาหลับตาทำสมาธิ ท่านแม่เฒ่ามีนิสัยชอบนอนกลางวัน ปกติช่วงเวลานี้จะนอนอยู่บนเตียงแล้ว หากวันไหนนอนไม่หลับก็จะเรียกสาวใช้สองสามคนมาเล่นไพ่แก้เบื่อ แต่วันนี้เพียงแค่นั่งเฉยๆ…

“ท่านย่า” จีหมิงซิวเลิกม่านแล้วเดินเข้าไป เขาวางไข่เยี่ยวม้าบนโต๊ะกลมตัวเล็ก “ทานอาหารเที่ยงแล้วหรือ”

“ทานไปนิดหน่อยแล้ว” จีเหล่าฮูหยินเอ่ยอย่างเกียจคร้าน แล้วลืมตาขึ้นมองของที่เขานำมาให้ ดวงตาเปล่งประกายปิดไม่มิด “ไข่เยี่ยวม้าหรือ”

จีหมิงซิวเอ่ยตอบ “สหายเพิ่งนำมาให้”

จีเหล่าฮูหยินรั้งแขนเสื้อขึ้น “ไม่เสียทีเป็นอัครมหาเสนาบดี ของหาซื้อยากเช่นนี้ยังมีคนเดินทางเอามาให้อีก สหายคนไหนเล่า ข้ารู้จักหรือไม่”

“ไม่รู้จัก อยากพบหรือไม่” จีหมิงซิวถาม

จีเหล่าฮูหยินโบกมือ “พวกคนหนุ่มสาว จะพบข้าคนชราโดดเดี่ยวผู้นี้ไปทำอันใด ไม่กวนให้พวกเจ้าหมดสนุกหรอก!”

จีหมิงซิวมองนาง “ท่านย่าดูเหมือนจะอารมณ์ไม่ดีนัก”

“ข้าก็อารมณ์ไม่ดีอยู่ทุกวัน” จีเหล่าฮูหยินเหล่มองเขา “เมื่อไรเจ้าแต่งซีเอ๋อร์เข้าบ้านมีเหลนตัวน้อยๆ สองสามคนให้ข้าอุ้ม ข้าจึงจะอารมณ์ดี”

“หากท่านย่าชอบคุณหนูเฉียวจริงๆ น้องรองก็ยังไม่แต่งงานเหมือนกัน” น้ำเสียงของจีหมิงซิวราบเรียบ

คิ้วขาวโพลนของจีเหล่าฮูหยินขมวดมุ่น “เจ้าพูดเหลวไหลอะไร คนที่นางหมั้นหมายด้วยคือเจ้า มิใช่น้องรองของเจ้า!”

หรงมามายกน้ำชาถ้วยหนึ่งส่งให้ จีหมิงซิวยื่นมือรับ “คนที่หมั้นหมายกับข้าคือคุณหนูใหญ่เฉียว”

จีเหล่าฮูหยินโมโหหันไปมองหรงมามา หรงมามาลอบส่ายศีรษะ จีเหล่าฮูหยินจึงถอนหายใจ “ผู้หญิงคนนั้นยังจะแต่งเข้าตระกูลจีได้อย่างไร ยามนี้เป็นหรือตายก็ยังไม่รู้ ตอนนั้นอดีตฮองเฮากำหนดหมั้นหมายให้เจ้า เลือกตระกูลก่อนค่อยเลือกคน พูดไม่น่าฟังหน่อยก็คือเจ้าน่ะยังไงก็ถูกผูกกับจวนเอินปั๋วแล้ว ต่อให้ไม่แต่งกับบ้านรองก็ต้องแต่งกับบ้านสาม บ้านสี่ หากเจ้าไม่อยากแต่งกับซีเอ๋อร์จริงๆ ก็ได้ จะแม่นางบ้านสามหรือบ้านสี่ ย่าก็ไม่ขัดขวาง!

เจ้าเป็นหลานคนโตของตระกูลจี บางเรื่องก็ทำตามใจเจ้าไม่ได้ แต่หากเจ้ามีแม่นางในใจแล้วจริง ย่าก็ไม่ขัดขวาง แต่ต้องแต่งงานให้เรียบร้อยก่อน แล้วถึงจะหาบแม่นางคนอื่นเข้าประตูมาได้”

จีหมิงซิวเอ่ยอย่างไม่อินังขังขอบ “จะให้มีแม่นางมากมายปานนั้น ท่านย่าอยากให้ข้า…หมดแรงตายหรือไร”

จีเหล่าฮูหยินสำลัก “เจ้าเด็กหยาบคาย!”

สาวใช้ทั้งหลายในห้องเม้มปากแอบยิ้ม

จีหมิงซิวจิบชาคำหนึ่ง “ข้ายังไม่คิดแต่งงาน”

จีเหล่าฮูหยินถลึงตาใส่เขา “เจ้าอายุตั้งเท่าไรแล้วยังไม่คิดอีก”

“อายุเท่าไรก็จะไม่คิด” จีหมิงซิวเอ่ยอย่างเรียบเฉย

“เจ้า…”

หรงมามาเห็นย่าหลานสองคนตั้งท่าจะทะเลาะกันแล้วจึงรีบออกมาไกล่เกลี่ย “เอาล่ะเจ้าค่ะ ลดราวาศอกกันสักหน่อย เรื่องใหญ่อย่างแต่งงานจะทำลวกๆ มิได้ คุณชายจะรอบคอบก็ถูกต้องแล้ว” ไม่รอให้เหล่าฮูหยินโต้แย้ง นางก็รีบมองไปทางจีหมิงซิวแล้วเอ่ยว่า “เหล่าฮูหยินอายุมากแล้ว อยากรีบอุ้มเหลนตัวน้อย คุณชายก็ต้องเข้าใจสักหน่อยสิเจ้าคะ ท่านเป็นหลานคนโต ถัดจากท่านยังมีน้องชายอีกหลายคน ท่านไม่แต่งงาน ผู้ใดจะกล้าข้ามหน้าท่าน ท่านไม่คิดทำเพื่อตนเอง ก็คิดเพื่อหนุ่มน้อยลำดับถัดไปพวกนั้นหน่อยเถิด”

เหล่าฮูหยินตบโต๊ะ “ใช่เหตุผลก็เป็นแบบนี้! ข้าอายุปูนนี้แล้ว ใช้ชีวิตผ่านไปหนึ่งวันก็ลดลงหนึ่งวัน ไม่รู้ว่าจะได้อุ้มเหลนหรือไม่! รอข้าลงไปอยู่ในหลุม สามีเฒ่าถามข้าว่าเหลนน่ารักหรือไม่ เป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ข้าคงตอบไม่ได้!”

นี่ กล่าวเช่นนี้ออกจะเกินไปหน่อยแล้ว หรงมามากระแอมเบาๆ แล้วเบี่ยงประเด็น “เหล่าฮูหยิน ข้าวของเก็บเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ พวกเราจะออกเดินทางเมื่อใด”

มือที่กุมถ้วยชาของจีหมิงซิวชะงัก “ท่านย่าจะไปที่ใดหรือ”

จีเหล่าฮูหยินถอนหายใจตอบว่า “อีกสามวันจะเป็นวันครบรอบวันตายของปู่เจ้า เจ้าลืมสนิทแล้วใช่หรือไม่ ยังไม่รีบประคองข้าขึ้นรถอีก ข้าวของเจ้า ข้าให้คนเก็บเรียบร้อยแล้ว ไปตอนนี้เลย”

จีหมิงซิวมองหรงมามา หรงมามาก้มหน้าลงหิ้วสัมภาระบนเตียงเหมือนไม่มีเรื่องอันใด

จีเหล่าฮูหยินสั่งจีหมิงซิวอีก “ครั้งนี้เดินทางไปสุสานหนทางยาวไกล ระหว่างทางอาจต้องเสียเวลาสองสามวัน รีบออกเดินทางหน่อยดีกว่า ข้าไม่ได้ไปมาหลายปีแล้ว ไม่รู้ว่าสุสานหญ้าขึ้นท่วมหัวหรือยัง ต้องไปทำความสะอาดสักหน่อยแล้ว!”

แววตาของจีหมิงซิวไม่แสดงท่าทีอันใดระหว่างกวาดตามองสีหน้าของทุกคน คนทั้งหลายก้มหน้าก้มตาวุ่นวายแต่กับหน้าที่ของตนเอง ท่าทางนอบน้อมกว่าเวลาปกติเพิ่มขึ้นสามส่วน

จีหมิงซิวออกจากจวนอัครมหาเสนาบดีมาก็ประคองหญิงชราขึ้นรถม้า “ข้าจะไปปลดเบาสักหน่อย”

จีเหล่าฮูหยินเอ่ยว่า “รีบไปรีบมา!”

จีหมิงซิวเข้าไปในจวน หมิงอันวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา เมื่อครู่เขาไปจอดรถม้าที่คอกม้า พอออกมาก็เห็นนายท่านของตนประคองเหล่าไท่ไท่หอบหิ้วสัมภาระถุงน้อยถุงใหญ่คล้ายกำลังจะออกเดินทางไกล “นายท่าน นี่มันอะไรกันขอรับ พวกท่านจะไปที่ใดหรือ”

“ไปกวาดสุสานให้ท่านปู่” จีหมิงซิวตอบเสียงราบเรียบ

“หือ” เหตุใดกะทันหันเช่นนี้ ไม่เห็นได้ข่าวมาก่อนเลย! หากทราบก่อนเขาจะได้ซื้อเครื่องเซ่นไหว้สักสองสามหีบให้แก่เหล่าไท่เหยีย!

จีหมิงซิวก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา ท่านย่าเป็นคนชอบวางแผนยิ่งนัก เดินก้าวหนึ่งมักจะคิดล่วงหน้าสิบก้าวเสมอ เรื่องที่ต้องทำวันนี้ไม่มีทางตัดสินใจวันนี้ ต้องตระเตรียมไว้ตั้งแต่เดือนก่อนหรือกระทั่งหลายเดือนก่อน

การไปกวาดสุสานครั้งนี้ประหลาดอยู่บ้างจริงๆ เหมือนกับว่าจงใจดึงเขาออกไป

จีหมิงซิวสั่งหมิงอัน “เจ้าไปสืบดูหน่อย วันนี้ท่านแม่เฒ่าพบกับผู้ใดบ้าง แล้วมีสิ่งไหนผิดแปลกหรือไม่”

หมิงอันอ้าปาก “ท่านสงสัยว่าจะมีเบื้องหลังหรือ”

จีหมิงซิวเอ่ยเสียงเย็นชา “ให้เจ้าไปเจ้าก็ไป!”

หมิงอันหดคอขานรับ “ขอรับ!”

คุกใหญ่ในจวนเจ้าเมือง มืดสลัวน่ากลัว กลิ่นไม่น่าพิสมัยแผ่กำจาย

เฉียวเวยกับเด็กน้อยทั้งสองถูกขังอยู่ในห้องขังเดี่ยวห้องหนึ่ง บนพื้นสองฝั่งล้วนขังนักโทษคดีอื่นไว้ มีบุรุษ มีสตรี มีผู้เฒ่า มีเด็กน้อย แล้วก็มีคนอย่างนางที่พาเด็กน้อยมาด้วย คนพวกนี้ส่วนมากเป็นตระกูลต้องความผิดจึงพัวพันเข้าคุกมาด้วย

จุดหนึ่งของยุคโบราณที่เฉียวเวยไม่ชอบอย่างมากก็คือกฎหมายอันทารุณ แม้แต่เด็กน้อยก็ยังจับ หากตัดสินว่าประหารทั้งตระกูล แม้แต่ไก่กาหมาหมูก็มิอาจหนีพ้น

ในห้องขังไม่มีเตียงนอน มีเพียงฟางแห้งกองระเกะระกะกองหนึ่ง เฉียวเวยกอดเด็กน้อยนั่งบนกองฟาง จิ่งอวิ๋นไม่พูดไม่จานั่งอยู่ในอ้อมแขนของมารดาอย่างเงียบสงบพลางกุมนิ้วมือของน้องสาวที่นั่งอิงแอบอยู่ในอ้อมแขนของมารดาเหมือนกันเอาไว้

ความจริงแล้ววั่งซูหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย สภาพแวดล้อมไม่คุ้นเคย แสงมืดสลัว เสียงหัวเราะร่ำไห้ดั่งคนเสียสติล้วนทำให้ผู้คนขนหัวลุก แต่มีมารดากับพี่ชายอยู่ นางจึงเหมือนจะไม่หวาดกลัวขนาดนั้น

เฉียวเวยลูบใบหน้าน้อยของเด็กทั้งสองแล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ไม่ต้องกลัวนะ แม่จะพาพวกเจ้าออกไปแน่”

ทั้งสองคนพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

“นอนเถอะ” เฉียวเวยปิดตาของเด็กน้อยทั้งสอง ตนเองก็หลับตาลงด้วย นางครุ่นคิดว่าจะออกไปจากคุกได้อย่างไร นางไม่คุ้นเคยกับกฎหมายในยุคโบราณ ไม่ทราบว่ามีการประกันตัวหรือไม่

“อาหารมาแล้วๆ!” ผู้คุมเรือนจำหิ้วถังไม้เดินเข้ามา

ทั้งห้องขังวุ่นวายในพริบตา คนไม่น้อยเข้าไปเกาะที่บานลูกกรง แล้วยื่นมือผ่านซี่ลูกกรงออกไป

ผู้คุมเรือนจำไม่สนใจคนกลุ่มนี้สักนิด เขาล้วงหมั่นโถวในถังไม้แล้วโยนเข้าไปในห้องขังแต่ละห้องสองสามลูก นักโทษที่หิวโหยไม่สนใจความสกปรก พวกเขาโถมเข้าไปแย่งชิงหมั่นโถวมาไว้ในมือ ห้องขังที่ขังแต่คนในครอบครัวเดียวกันยังมิเท่าไร หากเป็นคนแปลกหน้า ถ้าเช่นนั้นพวกเขาต้องต่อสู้กันเพื่อหมั่นโถว

ไม่นาน เฉียวเวยก็ได้ยินเสียงกรีดร้อง

ผู้คุมเรือนจำหัวเราะหยัน ไม่คิดจะกลับไปตรวจดูหรือห้ามปรามแม้แต่น้อย เอาแต่แจกจ่ายหมั่นโถวในมือต่อ เมื่อมาถึงฝั่งของเฉียวเวย เขาก็โยนหมั่นโถวมาแทบเท้าเฉียวเวยอย่างส่งๆ

เฉียวเวยหยิบหมั่นโถวที่ทั้งเย็นและขึ้นรา โยนไปที่ประตูห้องขัง “หมั่นโถวเสียแล้วจะกินอย่างไร”

ผู้คุ้มเรือนจำตวาดด่า “เจ้ายังจะเลือกอีก มีให้กินก็ไม่เลวแล้ว! ไม่อยากกินใช่หรือไม่”

ผู้คุมเรือนจำเหยียดยิ้มชั่วร้ายโยนถังไม้ทิ้ง แล้วปลดสายคาดกางเกง

เฉียวเวยปิดตาลูกไว้ แล้วเอ่ยเสียงดังบึงน้ำเย็น “หากข้าเป็นเจ้าจะมัดกางเกงกลับเดี๋ยวนี้ ตอนนี้ยังทัน ไม่อย่างนั้น…”

“ไม่อย่างนั้นจะทำไม เจ้าจะมาปรนนิบัตินายท่านผู้นี้เองหรือ” ผู้คุมเรือนจำย่อมไม่กลัวนักโทษหญิงเหล่านี้

เฉียวเวยดีดปลายเท้า หมั่นโถวแข็งโป๊กลูกหนึ่งลอยผ่านประตูคุกก่อนจะกระแทกบนหน้าผากของผู้คุมเรือนจำอย่างแรง ผู้คุมเรือนจำล้มหงายหลังล้มไปทั้งคนทั้งถังไม้ เจ็บจนดวงตาแทบปริแยก ภายในห้องขังเสียงหัวเราะดังกระหึ่มขึ้นทันใด

ผู้คุมเรือนจำอับอายจนโกรธเกรี้ยว เขาล้วงกุญแจที่เอวออกมาคิดจะเปิดประตูห้องขังสั่งสอนสตรีคนนั้นนิดหน่อย แต่ทันใดนั้นก็ถูกคนถีบลงไปกองกับพื้น!

“ไอ้ตัวสารเลว! ทำงานอยู่ยังจะก่อเรื่อง ยังไม่รีบไสหัวไปรับโทษอีก”

เจ้าเมืองนั่นเอง

ผู้คุมเรือนจำโขกศีรษะตัวสั่นเทาแล้วล้มลุกคลุกคลานวิ่งออกไป

เจ้าเมืองออกคำสั่งให้คนเปิดประตูห้องขัง จากนั้นก็ถือกล่องอาหารอันประณีตกล่องหนึ่งเดินเข้ามา ใบหน้าประดับรอยยิ้มประจบ “ฮูหยิน”

เด็กน้อยทั้งสองขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของเฉียวเวย

เฉียวเวยกอดหัวไหล่น้อยของทั้งสองคนไว้ พลางมองเจ้าเมืองที่เปลี่ยนท่าทีได้ไวดั่งพลิกหน้าหนังสือด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก แล้วถามขึ้นว่า “ใต้เท้ามีธุระประการใดหรือ”

เจ้าเมืองเปิดกล่องอาหารออก กลิ่นเนื้อหอมฉุยลอยโชยออกมา “ข้ามาส่งอาหารให้ฮูหยิน”

เฉียวเวยมองสำรวจเขาอย่างสงสัย “อาหารก่อนประหารหรือไร”

“ใช่แล้ว…เอ้ย ไม่ใช่ๆ!” ก่อนหน้าเจ้าเมืองไม่ทันฟังว่านางถามอันใด พอได้สติจึงตกใจลนลานโบกไม้โบกมือ “เพียงอาหารธรรมดามื้อหนึ่งเท่านั้น ข้าไม่มีทางตัดศีรษะของฮูหยินหรอก ฮูหยินโปรดวางใจเถิด”

อาหารสี่อย่างน้ำแกงหนึ่งอย่าง มีเนื้อมีผัก แล้วยังร้อนควันฉุย

เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองคนกลืนน้ำหลาย ท้องอันหิวโหยร้องโครกคราก

เฉียวเวยไม่ได้ให้พวกเขาลงมือกินทันที แต่ถามเจ้าเมืองอย่างระแวง “คนที่จับข้าขังคุกคือท่าน คนที่มาส่งข้าวให้ข้าก็คือท่านอีก ท่านคงไม่ได้วางยาพิษไว้ในอาหาร อยากสังหารพวกเราสามแม่ลูกกระมัง”

เจ้าเมืองยิ้มอย่างจนปัญญา “ผู้น้อยถูกใส่ร้ายแล้ว ผู้น้อยทำหน้าที่มาหลายปีปานนี้ มิกล้าพูดว่าไม่เคยลำเอียงมาก่อน แต่ไม่มีวันทำร้ายชีวิตคนตามใจแน่นอน!”

เฉียวเวยยิ้มเฉยชา “คำพูดนี้ท่านเก็บไว้บอกผู้บังคับบัญชาของท่านเถิด มาพูดกับข้าก็ไร้ประโยชน์ ข้าเลื่อนขั้นตกรางวัลให้ท่านมิได้เสียหน่อย”

เจ้าเมืองทราบว่านางโกรธตนอยู่ ยังไม่ทันสอบสวนก็จับคนเข้าคุก ไม่ยุติธรรมกับนางเกินไปหน่อยจริงๆ “เรื่องวันนี้ล่วงเกินยิ่งนัก แต่ผู้น้อยก็ไร้ทางเลือกเช่นกัน ขอฮูหยินอภัยด้วย”

เฉียวเวยดูสีหน้าเขาไม่เหมือนกำลังโกหก สีหน้าจึงอ่อนลงส่วนหนึ่ง “ท่านมีอันใดเลือกไม่ได้ ข้าไม่มีความผิด มีคนเป็นพยานเท็จ ท่านไปจับนางมา พวกเราประจันหน้ากันในศาลก็รู้ความจริงกระจ่างแล้ว ท่านจับคนที่เป็นพยานเท็จคนนั้นมาก็มอบคำอธิบายให้แก่จวนแม่ทัพได้เหมือนกัน”

เจ้าเมืองถอนหายใจ เรื่องไม่ง่ายดายเช่นนั้นน่ะสิ

“ไม่ได้หรือ” เฉียวเวยเอ่ยถาม

เจ้าเมืองส่ายหน้า

เฉียวเวยครุ่นคิดครู่หนึ่ง ดวงตาก็ทอประกายออกมา “มีคนจะเล่นงานข้าหรือ”

เจ้าเมืองเอ่ยอย่างลำบากใจ “มีบางเรื่องขุนนางผู้น้อยเปิดเผยมิได้ คนที่ฮูหยินล่วงเกินยิ่งใหญ่เกินไป แต่ที่พึ่งของฮูหยินก็ใหญ่เช่นกัน ผู้น้อยต่างล่วงเกินมิได้ทั้งสองฝั่ง จึงต้องลำบากฮูหยินอยู่ที่นี่สักช่วงหนึ่ง มิเช่นนั้นศาลาว่าการของเมืองหลวงมิได้มีแต่จวนเจ้าเมืองของข้าที่เดียว ต่อให้วันนี้ผู้น้อยปล่อยฮูหยินไป ไม่แน่วันพรุ่งนี้ฮูหยินก็ถูกคนจับไปเข้าคุกอีกแห่งหนึ่ง ฮูหยินอดทนรอจังหวะเถิด ผู้น้อยจะพยายามให้ฮูหยินสบายที่สุด หวังว่าฮูหยินจะเข้าใจความลำบากของผู้น้อยด้วย”

ราชาภูเขาสู้กัน ผู้ที่โชคร้ายคือปีศาจตัวกระจ้อย เหตุผลประการนี้เฉียวเวยเข้าใจดี มิว่านางหรือเจ้าเมืองก็ล้วนเป็นหมากในมืออีกฝ่าย นางจะออกจากคุกได้หรือไม่ มิใช่อยู่ที่นางสู้คดีแก้คำใส่ร้ายได้หรือไม่ แต่อยู่ที่หมิงซิวจะสู้คนที่คิดจัดการนางผู้นั้นได้หรือไม่

เฉียวเวยพยักหน้านิดๆ “ถ้าเช่นนั้นใต้เท้าช่วยเตรียมผ้าห่มหนาหน่อยให้ข้าสักสองสามผืนได้หรือไม่ ลูกของข้ายังเล็กเกินไป นอนบนพื้นทั้งคืนเกรงว่าคงทนมิได้”

เจ้าเมืองมองวั่งซูกับจิ่งอวิ๋นในอ้อมแขนของนาง “ลูกของ…”

เฉียวเวยจ้องเขม็ง “ของผู้ใด ใต้เท้ามิจำเป็นต้องถาม”

เจ้าเมืองนั่งอยู่ในตำแหน่งวันนี้ได้ หากไม่มีความสามารถในการสังเกตคำพูดหรือสีหน้าคนเลยคงเป็นไปไม่ได้ คำใดควรพูด คำใดไม่ควรพูด เขาเข้าใจชัดเจน จึงไม่พูดพร่ำอีกต่อไป แล้วให้คนเก็บกวาดห้องขังรอบหนึ่งแล้วจึงส่งผ้าห่มกับฟูกนอนสะอาดกับน้ำร้อนมาให้

เฉียวเวยขอบคุณเขาแล้วนั่งลงพร้อมเด็กๆ แบ่งปันอาหารร้อนๆ กัน ต่อจากนั้นจึงปูฟูกหนาสองอันลงด้านล่าง นี่จะเป็น ‘เตียง’ ของพวกเขา

ตกกลางคืนเด็กน้อยทั้งสองเงียบงันยิ่งนัก พวกเขานอนนิ่งอยู่บน ‘เตียง’ เฉียวเวยกอดพวกเขาไว้แล้วเล่านิทานให้พวกเขาฟังสองสามเรื่อง ทั้งสองคนฟังแล้วหัวเราะออกมา จากนั้นจึงเข้าสู่ห้วงฝันอย่างรวดเร็ว

เล่าถึงฝั่งเฉียวอวี้ซี เมื่อนางกลับมาถึงจวน สิ่งแรกที่ทำก็คือบอกเรื่องเฉียวเวยถูกจับเข้าคุกกับมารดาของตนเอง แน่นอนว่าในเวลานี้นางยังมิทราบว่าเฉียวเวยคือพี่สาวบ้านใหญ่ของตนเอง สวีซื่อก็คิดไม่ถึงว่าจะเกี่ยวพันกับคุณหนูใหญ่ตระกูลเฉียว

สวีซื่อให้คนนำยาจินฉวงมาทาแก้มบวมปูดของบุตรสาว “คนต่ำช้าคนนั้นลงมือโหดเหี้ยมเช่นนี้เชียว นางไม่รู้หรือว่าเจ้าเป็นผู้ใด แม้แต่เจ้าก็ยังกล้าตบ”

เฉียวอวี้ซีแค่นเสียงเหอะ “นางคิดว่ามีใต้เท้าหนุนหลังนางจึงไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย”

สวีซื่อหน้าบึ้งตึง “อนุภรรยาเดี๋ยวนี้ช่างไม่รู้จักกฎเกณฑ์ขึ้นทุกทีจริงๆ!”

เฉียวอวี้ซีแค่นเสียงขึ้นจมูก “นางนับว่าเป็นอนุภรรยาบ้านไหนกันเล่า เหล่าฮูหยินพูดแล้วว่าจะไม่ให้ใต้เท้ารับนางเข้าบ้าน!”

“ใต้เท้าทราบเรื่องนี้หรือไม่” สวีซื่อถามอย่างกังวล

เฉียวอวี้ซีเอ่ยอย่างลำพอง “ไม่ทราบแน่นอน! เหล่าฮูหยินหลอกใต้เท้าไปกวาดสุสานของเหล่าไท่เหยียแล้ว ไม่กลับมาอีกสิบวันครึ่งเดือน ให้นางอยู่ในคุกสักสิบวันครึ่งเดือน ข้าจะดูซิว่าหลังจากนี้นางยังจะกล้ามาโอหังต่อหน้าข้าหรือไม่!”

สวีซื่อไม่สนใจนักเอ่ยว่า “พอแล้ว ก็แค่ดอกไม้ริมทางดอกหนึ่งเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ บุรุษล้วนเป็นแมวที่ชื่นชอบขโมยกินของเหม็นคาว สิ่งใดกินไม่ได้ก็ยิ่งอยากจะกินสิ่งนั้น วันนี้เจ้ากีดกันคนนี้สำเร็จ วันหน้าก็ยังมีคนนั้น เจ้ากีดกันได้หมดหรือไร”

เฉียวอวี้ซีร้อนใจ “ถ้าเช่นนั้น…ถ้าเช่นนั้นท่านเห็นว่าควรทำเช่นไร หรือข้าต้องปล่อยให้สตรีมาล่อลวงใต้เท้าหรือ หากนางให้กำเนิดบุตรแก่ใต้เท้า อนาคตเป็นภัยต่อตำแหน่งของลูกข้าจะทำเช่นไร”

สวีซื่อหัวเราะหยัน “ไหนเลยจะง่ายดายเช่นนั้น รอเจ้าแต่งเข้าบ้านแล้วก็รับนางเข้ามาในจวน หลังจากปรนนิบัติในห้องนอนก็มอบน้ำแกงห้ามครรภ์ให้นางสักถ้วย ดูซิว่านางจะตั้งท้องได้หรือไม่!”

เฉียวอวี้ซีไม่พอใจแล้ว “อะไรนะ จะให้ข้ารับนางเข้ามาในจวน ข้าไม่ทำ! ให้ตายข้าก็ไม่ทำ! ข้าเกลียดนาง! ชีวิตนี้ไม่อยากเห็นนางอีก!”

สวีซื่อเอ่ยเนิบช้า “ปล่อยนางไว้ข้างนอก ถ้าเช่นนั้นนางอยากให้กำเนิดกี่คนก็ให้กำเนิดได้เท่านั้นคน”