ตอนที่ 171 ตามหา ฐานะเดิมไม่ธรรมดา (3)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 171 ตามหา ฐานะเดิมไม่ธรรมดา (3)

เสี่ยวเหลยเห็นว่ามีลูกค้าเข้ามา ก็รีบเข้าไปต้อนรับทันที ทว่าคุณชายชุดดำคนนั้นกลับยืนโดดเด่นอยู่กลางร้าน กวาดสายตาไปทั่วห้องโถงแล้วถอยกลับออกไปไม่ได้สนใจคำทักทายของเสี่ยวเหลยแม้แต่น้อย

เสี่ยวเหลยเห็นคนไปแล้ว รู้สึกเบื่อหน่ายเดินกลับเข้าไปในห้องอย่างมึนงง เขาจึงเข้าไปทักทายองครักษ์สองคนนั้นอีกครั้ง

พอองครักษ์สองคนนั้นเห็นคุณชายชุดดำจากไป ก็ไม่ได้สนใจความใส่ใจของเสี่ยเหลย ทันทีที่วางเงินไว้แล้วก็รีบออกจากร้านไปเลย

คุณชายชุดดำเดินไปข้างหน้า และสองคนนั้นก็ตามไปติดๆ สถานที่เปลี่ยว ทั้งสองคุกเข่าลงข้างหนึ่ง “คำนับคุณชาย”

“คุณหนูเล่า” เขากล่าวเสียงต่ำ ทว่ากลับทำให้คนมิอาจขัดอำนาจในน้ำเสียงของเขาได้

องครักษ์คนหนึ่งตอบคำถามอย่างระมัดระวัง “คุณหนูไปเก็บเห็ดในป่าแล้วขอรับ”

พูดจบก็ชี้ไปทางฝั่งที่มั่วเชียนเสวี่ยเดินไปเก็บเห็ด

พอเฟิงอวี้เฉินได้ยินว่ามั่วเชียนเสวี่ยอยู่ข้างหน้านี้ก็แทบอยากจะเหาะเหินเข้าไปหาทันที

สองข้างทางล้วนเป็นต้นอู๋ถง ลำต้นของมันทั้งสูงทั้งใหญ่ ดอกสีขาวปลิวไปตามลม ที่พื้นถูกปกคลุมไปด้วยสีขาวหนาเป็นชั้นๆ ทอดยาวไป

มั่วเชียนเสวี่ยสวมชุดสีฟ้า ยืนอยู่ใต้ต้นอู๋ถง เพราะร่มไม้มันทึบ แสงสว่างคลุมเครือ ทำให้เงาร่างของนางดูผอมผิดปกติ

ใช่นางหรือ ใช่นางจริงๆ ใช่ไหม

เฟิงอวี้เฉินเห็นร่างของมั่วเชียนเสวี่ย ดวงตาก็เป็นประกาย และแลดูสดใสขึ้นในทันที

ดังนั้นจึงอยากเดินเข้าไปใกล้ๆ ในขณะจะก้าวเท้าก็ลังเลขึ้นมา เพียงรู้สึกว่าหัวใจเต้นดังเหมือนกลอง ทั้งขมขื่นและมีความสุข หนึ่งปีที่ผ่านมาถวิลหาทุกค่ำเช้า ตอนนี้ได้เข้าใกล้แล้วทว่าเขากลับเป็นกังวล

ทั้งยังเป็นคนแรกที่เจอข่าวของนางเขาจึงรีบควบม้ามาในยามค่ำคืน ระหว่างทาง ก็ได้ทราบข่าวว่า นางได้แต่งงานแล้ว เขาทั้งสับสนและเสียใจ ทว่าก็มิอาจหยุดฝีเท้ามิให้ตามหานางได้

หลังจากนั้น ก็ได้รับข่าวว่านางถูกฉุดให้ไปเข้าหอกับชายที่ป่วยหนักเพื่อสะเดาะเคราะห์ เขาจึงตัดสินแล้วว่าจะพานางกลับ เขาไม่แง่งอนนางเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ได้ เขาเพียงอยากให้นางปลอดภัย

สุดท้าย ก็ยังได้ยินข่าวมาอีกว่านางความจำเสื่อม เขาแทบคลั่ง ทำอะไรไม่ถูก หากนางลืมเขาไปแล้วจริงๆ เขาจะทำเช่นไร…

ในขณะที่ฟุ้งซ่านทำอะไรไม่ถูก เขาก็คิดว่าอาจโชคดี ไม่แน่ว่าพอนางเห็นเขา ก็จะจำขึ้นมาได้เอง ถึงอย่างไร ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะต้องพานางกลับไปให้ได้

ดังนั้น เขาจึงควบม้ามาอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

มั่วเชียนเสวี่ยหันไปข้างหลังก็เห็นบุรุษในชุดดำผู้หนึ่งยืนอยู่ด้านหลังของนางท่ามกลางความมืดสลัวโดยรอบ เขายืนสูงตระหง่านราวต้นสน ท่าทางอาจหาญแข็งแรงดั่งตะวันฉายฉาน ใต้คิ้วโก่งหนานั้นมีดวงตาคู่หนึ่งที่สว่างไสวราวกับดวงดาวในค่ำคืนอันหนาวเหน็บ…กำลังมองมาที่นาง

เขาดูเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการเดินทาง แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความมีสง่าราศีของเขาแม้แต่น้อย เพียงแค่ยืนอยู่เฉยๆ ตรงนั้นก็ดูสูงส่งสง่างามแล้ว

คนผู้นี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาๆ อย่างแน่นอน!

เพียงแต่ สายตาที่เขามองมาที่ตนเองนั้นทั้งเศร้าและดีใจ ดวงตาสีดำเข้มคู่นั้นเต็มไปด้วยความเศร้าและความสุขบางเบา

เมื่อเห็นว่าตนเองหันกลับไปมองที่เขา ความสว่างสดใสในดวงตาที่มีอยู่ในดวงตาเมื่อครู่นี้ก็ได้มอดดับลงไป เหลือเพียงความร้อนรนและปวดร้าวที่ปรากฏในดวงตา

และที่ยิ่งทำไม่เข้าใจก็คือ ความปวดร้าวนี้ส่งผลต่อความเจ็บปวดในใจตนเองด้วย มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกกระวนกระวายใจอย่างอธิบายไม่ถูก และหันหลังกลับไป

นางรู้สึกว่าคนผู้นี้อันตราย จู่ๆ ใจนางก็รู้สึกกลัวขึ้นมา…

ดังนั้น ดวงตาของมั่วเชียนเสวี่ยจึงแฝงไปด้วยความแปลกใจปนหวาดกลัว มั่วเชียนเสวี่ยกวาดตามองแล้วหันกลับ นางรู้สึกเจ็บปวดเพราะสายตาของเฟิงอวี้เฉิน ทั้งยังทำให้ใจของเขาเจ็บปวดอีกด้วย

เฟิงอวี้เฉินไม่เชื่อว่าคนที่เขาคิดถึงรำพึงหาทุกคืนวัน คนที่เขาพยายามตามหา คนที่เขายอมละทิ้งทุกสิ่งอย่างเพื่อพานางกลับคืนมา…จะจำเขาไม่ได้จริงๆ

เขาไม่เชื่อว่า ภายในเวลาไม่ถึงปีพวกเขาจะกลายเป็นคนแปลกหน้ากันไปเสียแล้ว ราวกับคำสาบานรักที่เคยให้ไว้ต่อกันมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

เขายอมให้นางเกลียดเขา แต่ไม่ยอมให้นางลืมเลือนเขา!

ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในใจทำให้มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกสับสนมาก หลังจากเบือนหน้าหนี นางก็ชะงักไปชั่วขณะหนึ่งจากนั้นก็รีบวิ่งจากไป

หมิงเย่ว์และไฉ่สยาที่กำลังเก็บเห็ดอยู่ทางด้านหลังไม่ไกลนัก พอเห็นเจ้านายที่จู่ๆ วิ่งจากไป ก็รีบหยิบตะกร้า ปากก็เรียกฮูหยินรอบ่าวด้วยไปพลางรีบสับเท้าตามไปพลาง

เฟิงอวี้เฉินยืนอยู่ใต้ต้นอู่ถงอย่างหมดอาลัยตายอยาก

นางลืมแล้ว นางลืมจนสิ้นแล้ว

ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกได้ถึงความมืดฟ้ามัวดินที่อยู่เบื้องหน้า ไร้ซึ่งความสดใสใดๆ หลงเหลืออยู่อีก

เขาเคยนึกถึงฉากที่จะเกิดขึ้นหากได้พบหน้ากันไว้หลายรูปแบบ เคยคิดว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะโทษที่เขามาช้า จะร้องไห้ จะโวยวาย จะ…

ทว่ากลับคิดไม่ถึงว่า นางกลับตกใจเหมือนเขาเป็นคนแปลกหน้าจนวิ่งหนีไป!

เหมือนโดนฟ้าผ่าลงมาในทันใด เจ็บปวดที่หัวใจในทันที เฟิงอวี้เฉินมองร่างที่วิ่งหนีออกไปอย่างเศร้าหมอง

ไม่!

เขามิอาจให้นางวิ่งหนีไปดื้อๆ เช่นนี้ เขาต้องพูดกับนางให้กระจ่าง

ก้าวเท้าไปเบาๆ แล้วสับเท้าก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เฟิงอวี้เฉินหยุดมั่วเชียนเสวี่ยเอาไว้

เห็นร่างที่อยู่เบื้องหน้า มั่วเชียนเสวี่ยจึงหยุดฝีเท้า แล้วเอ่ยถามอย่างไม่พอใจ “เจ้าเป็นใคร มาขวางทางข้าทำไม”

“เชียนเสวี่ย ข้าคืออวี้เฉินอย่างไรเล่า ข้ากับเจ้าเป็น…” เป็นอะไรกันดีล่ะ จู่ๆเฟิงอวี้เฉินก็พูดไม่ออก

เมื่อต้องเผชิญกับคำถามที่ไม่คุ้นเคยของนาง เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี เรื่องการแต่งงานของพวกเขาก็ยังไม่มีกำหนดการเลย เป็นเพียงความคิดของผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย เป็นเพียงแค่คำมั่นหมายระหว่างเขาและนาง เพียงรอให้นางถึงวัยปักปิ่น เพียงรอให้ท่านพ่อของนางได้ชัยชนะกลับมา…

ทว่า ใครจะไปรู้ว่า ต่อมาจะเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น

มั่วเชียนเสวี่ยเห็นว่าเขาหยุดพูดไป ความขมขื่นที่เกิดขึ้นในใจก็กำเริบขึ้นมาอีกครั้งและนางก็มิอาจหยุดความรู้สึกนี้ได้

นางรู้สึกได้ว่า คนผู้นี้จะต้องมีความสัมพันธ์อันแนบแน่นกับเจ้าของร่างนี้เป็นแน่ มิเช่นนั้นร่างนี้ก็คงจะไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนี้

เชียนเสวี่ย? หรือว่าเจ้าของร่างนี้จะชื่อเชียนเสวี่ยด้วยเช่นนั้นหรือ หรือว่านี่จะเป็นเหตุผลที่ตนเองสามารถทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างนี้

มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก อารมณ์ไม่คงที่ แต่เฟิงอวี้เฉินกลับจัดการกับอารมณ์ความรู้สึกของตนเองได้แล้ว “ข้าคือลูกพี่ลูกน้องของเจ้า ทั้งยังเป็นคู่หมั้นของเจ้าด้วย ถึงแม้จะไม่ได้เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ทว่ามีคำสัญญาของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย และมันก็เป็นเรื่องที่เชื่อถือได้”

มั่วเชียนเสวี่ยใจเต้นใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ กลัวสิ่งใดสิ่งนั้นก็จะมาจริงๆ จึงตอบปฏิเสธไปตามสัญชาติญาณ “ข้าไม่รู้จักท่าน และไม่มีคู่หมั้นอะไรนั่นด้วย คุณชายได้โปรดสำรวมกริยาด้วย”

ก่อนหน้านี้เฟิงอวี้เฉินสัมผัสได้ถึงความเป็นคนแปลกหน้าในสายตาของมั่วเชียนเสวี่ย ในเวลานี้คำพูดที่ออกมาจากปากของนาง ทำให้ใจรู้สึกแย่ จึงยื่นมือออกไปอยากจะกอดนาง บางทีอ้อมกอดที่คุ้นเคยนี้ อาจทำให้นางนึกอะไรขึ้นมาได้บ้าง

มั่วเชียนเสวี่ยถอยหลังโดยไม่รู้ตัว หมิงเย่ว์และไฉ่สยาก็ตามหลังนางมาทันแล้ว ทั้งสองเห็นบุรุษผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่เบื้องหน้าฮูเหยิน แม้ว่าจะได้ยินไม่ชัดว่าพวกเขาพูดคุยกันถึงเรื่องอะไร แต่ว่าพอเห็นบุรุษผู้นั้นเหมือนจะขยับเข้าใกล้ฮูหยิน ดังนั้นทั้งสองจึงมายืนขวางอยู่หน้ามั่วเชียนเสวี่ย

“ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้พวกเราจะเคยรู้จักกันมาก่อน ทว่าตอนนี้ข้าก็มีสามีแล้ว ดังนั้นคุณชายโปรดสำรวมกริยาด้วย”

ขณะที่หมิงเย่ว์กับไฉ่สยายืนขวางไว้อยู่เฟิงอวี้เฉินก็ยิ้มเศร้า “เจ้าลืมแล้วหรือ แต่ว่า…ข้ายังคงจำทุกสิ่งได้อย่างชัดเจนดีทุกอย่าง เจ้าเคยพูดว่า…”

มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกเหมือนมีกลองตีก้องในหัวใจ กลัวว่าเขาจะพูดอะไรต่อไป รู้สึกถึงภัยคุกคามในส่วนลึกของจิตวิญญาณ นางจึงไม่กล้าฟัง “สามีของข้าก็อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ คุณชายได้โปรดสำรวมด้วย”

ยกเรื่องสามีขึ้นมาพูด ก็เพื่อลดความร้อนรนใจของตนเอง และก็หวังให้คนที่อยู่เบื้องหน้ารู้ว่าเรื่องที่นางแต่งงานแล้วนั้นเป็นเรื่องจริง ไม่ต้องมาพัวพันกับนางอีก