นางสะพายน้ำเต้าใหญ่ไว้บนหลังของนางและทำท่าพิงกับกำแพงหินเรียบๆ และมองออกไป ในท่าเดียวกับหลี่ฉางโซ่ว…
“เจ้ามาหาสิ่งใดที่นี่”
“กฎห้ามต่างๆ สำหรับการหลอม” หลี่ฉางโซ่วกล่าว “มีกฎห้ามบางประการ ข้าอยากดูว่าข้าจะสามารถใช้มันบนพื้นฐานในการสร้างค่ายกลได้หรือไม่”
“อย่างไรก็ตาม อาจารย์อา ท่านคิดจะทำสัญญาโครงการปรับปรุงการจัดวางค่ายกลรอบๆ หอโอสถของยอดเขาหยกน้อยหรือไม่ขอรับ”
จิ่วจิ่วกะพริบตา “เจ้าเพิ่งสร้างค่ายกลของหอโอสถของเจ้าไม่ใช่หรือ ยังไม่ถึงร้อยปีเลย เหตุใดเราต้องปรับปรุงอีกเล่า เจ้ายังคงคิดจะระงับพลังวิญญาณของเจ้าและวางค่ายกลเหมือนเมื่อก่อนหรือไม่”
“ขอรับ”
“เช่นนั้นก็ตกลง!”
จิ่วจิ่วกลอกตาขณะยื่นสองนิ้วออกมา “สองปี ข้าต้องการสุราเซียน เซียนเมามาย สุราแห่งแม่น้ำฮวงโห! และข้าต้องการโอสถสุราวิญญาณสามร้อยเม็ดด้วย!”
หลี่ฉางโซ่วพยักหน้าอย่างเด็ดขาด “ตกลง”
จิ่วจิ่วรู้สึกอายเล็กน้อยในทันที ราวกับว่านางได้รีดไถศิษย์หลานคนนี้ของนาง
เดิมทีนางต้องการสั่งสุราบางอย่าง ทว่าเวลานี้นางเอามือไว้ข้างหลังแล้วพิงกับกำแพงหินขณะเผยท่าทีมึนงงเล็กน้อย
หลี่ฉางโซ่วเหลือบมองนางก่อนจะก้มหน้าลงอ่านต่อไป
“ข้าอาจจะอยู่ที่นี่ต่ออีกหนึ่งเดือน ท่านอาจารย์อา โปรดฝึกบำเพ็ญเพียรไปก่อนแล้วรอข้าสักพักนะขอรับ”
จิ่วจิ่วกะพริบตาและกระซิบว่า “เอาละ เช่นนั้นข้าจะรอที่นี่หนึ่งเดือน…ไม่นานมันก็ผ่านไปแล้ว”
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วก็นึกขึ้นได้ว่าท่านอาจารย์ลุงจิ่วอูของเขาได้ไปที่ดินแดนเทวะมัชฌิมาเพื่อเข้าร่วมการปรึกษาหารือเพื่อเตรียมการงานประชุมสำหรับสามสำนักบำเพ็ญเต๋า และยังไม่ได้กลับมา
และหากอาจารย์อาเพิ่งผ่านการทะลวงฝ่าด่าน นางก็อาจจะไม่สามารถหาสุรามาดื่มได้
เขาหยิบถุงเก็บสมบัติออกมาอีกใบแล้วยื่นให้จิ่วจิ่ว “นี่คือเงินเดือนล่วงหน้าของท่าน ข้าจะให้ท่านล่วงหน้า แต่สำหรับตอนนี้ ข้ามีเหลือเพียงแค่เซียนเมามายเท่านั้น”
จิ่วจิ่วเกาหน้าผากของนางทันที “เจ้าทำข้าอายนะ”
“เช่นนั้นก็ช่างมันเถิดขอรับ…”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวพลางดึงมือของเขา ทว่าจิ่วจิ่วกลับรีบคว้าถุงเก็บสมบัติออกไป
“เจ้าเอามันออกมาแล้ว! จะเอาคืนได้อย่างไร ไร้เหตุผลยิ่ง!?! เหอะ เช่นนั้นข้าจะรับเอาไว้ด้วยความกรุณา!”
“เหอะ ข้าจะรับเอาไว้ด้วยความใจกว้าง”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มอย่างกะทันหันและก้มหน้าท่องจำกฎห้ามต่างๆ เหล่านี้ต่อไป
จิ่วจิ่วหาวจากด้านข้างเขา และพบแผ่นหยกซึ่งมีคาถาบางอย่าง นางจึงอ่านช้าๆ ขณะที่อยู่ข้างๆ หลี่ฉางโซ่วและโยนโอสถสุราวิญญาณสองเม็ดเข้าปากของนาง
หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “กินให้น้อยลงหน่อยขอรับ มันจะทำให้ท่านเมา”
“โอ้…แต่มันอร่อยจริงๆ!”
แล้วไม่นานหลังจากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ได้ยินเสียงกรนเบาๆ ดังมาจากด้านข้าง…
หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจในใจ เขารู้สึกอยู่เสมอว่าลักษณะนิสัยของอาจารย์อาน้อยนั้นเป็นเพียงเศษเสี้ยวของอายุของนางเท่านั้น
นั่นก็ยังดีอยู่ดี
ความจริงแล้ว หลี่ฉางโซ่วมีโอสถเม็ดอื่นที่คล้ายกับโอสถสุราวิญญาณ แต่เขาต้องค่อยๆ นำพวกมันออกมาช้าๆ หากมอบพวกมันทั้งหมดให้นางในคราวเดียว มันย่อมไม่ใช่เรื่องดีนัก
จากนั้น เขาก็ตั้งสมาธิและท่องจำต่อไป
ในฐานะศิษย์ที่อยู่ในขอบเขตคืนกลับอนัตตาขั้นเจ็ด มันไม่เหมาะสมที่เขาจะเข้าและออกในหอพระสูตรเต๋าตลอดเวลา ดังนั้นย่อมจะดีที่สุดหากเขาสามารถจำทุกสิ่งที่เขาต้องการได้
นับจากนี้ไป…ข้าคือคนไร้ความรู้สึกระดับทำลายสถิติใหม่
…
เวลานี้ ในพื้นที่ต้องห้ามของภูเขาทางตะวันออกเฉียงเหนือของดินแดนเทวะมัชฌิมา มีเกาะอมตะที่ลอยอยู่เหนือภูเขา
เกาะอมตะที่ลอยอยู่เหนือภูเขานั้น มีหอคอยและวังมากมายพร้อมด้วยหมู่เมฆขาวล้อมรอบเกาะ และได้ยินเสียงอมตะสาดซัดม้วนตัวขึ้น ในขณะที่มีค่ายกลเป็นชั้นๆ ล้อมรอบเกาะ
สำนักใหญ่เป็นเช่นนี้เอง!
สถานที่แห่งนี้คือ สำนักจินกง ก่อตั้งโดย ฉื้อจิ้งจื่อ ซึ่งเป็นผู้บำเพ็ญที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นบรรพชนของสำนักบำเพ็ญเต๋าฉาน
ฉื้อจิ้งจื่อได้รับการฝึกฝนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับพรจากถ้ำสวรรค์ ถ้ำเมฆสวรรค์แห่งภูเขาไท่หัว[1] และเขาก็เคยมาที่สำนักจินกงเช่นกัน
สำนักนี้เป็นหนึ่งในสิบสำนักเซียนของสำนักบำเพ็ญเต๋าฉานที่มีความสามารถและแข็งแกร่ง..
สำนักจินกงเป็นหนึ่งในผู้จัดการงานประชุมสำนักระหว่างผู้นำของทั้งสามสำนักบำเพ็ญเต๋า
งานประชุมผู้นำของทั้งสามสำนักบำเพ็ญเต๋า มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาและยุติความขัดแย้งที่ตึงเครียดเพิ่มขึ้นและเพื่อเพิ่มความสามัคคี
เดิมทีทั้งสามสำนักเป็นหนึ่งเดียวกัน หลังจากที่เทพผานกู่ผู้ยิ่งใหญ่เปิดโลกและแบ่งแยกชั้นสวรรค์และปฐพีสิ้นชีพลง ปราณวิญญาณของเขาได้เปลี่ยนมาเป็น ไท่ซ่างเหล่าจวินหรือบรรพชนไท่ชิง หยวนสือเทียนจวิน[2] หลิงเปาเทียนจวิน[3] พวกเขาถูกเรียกว่า ซันชิง เป็นสามบรรพาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋า
เดิมทีทั้งสามคนอาศัยอยู่ในลานเล็กๆ บนภูเขาคุนหลุน หลังจากนั้นพวกเขาก็กลายเป็นศิษย์สายตรงสามคนของหงจวิน และเปลี่ยนสำนักเสวียนเป็นสำนักบำเพ็ญเต๋าและเคารพหงจวินในฐานะเป็นบรรพชนแห่งเต๋า
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากยอมรับแนวคิดและสั่งสอนศิษย์แตกต่างกัน หยวนสือเทียนจวิน และหลิงเปาเทียนจวินก็ค่อยๆ ไม่ลงรอยกัน
ต่อมา หยวนสือเทียนจวินได้ประณามศิษย์คนโตของหลิงเปาเทียนจวิน ‘ตั๋วเปา’ และในช่วงเวลาแห่งความโกลาหลนั้น หลิงเปาเทียนจวินก็ได้ย้ายไปที่ทะเลทักษิณด้วยโทสะ
เมื่อบรรพชนทั้งสามกลายเป็นบรรพเทพาจารย์ หยวนสือเทียนจวินก็ได้สถาปนาคำสอนของเขา ความตั้งใจของเขาคือ ‘เผยแผ่เต๋าอันยิ่งใหญ่ และสั่งสอนสิ่งมีชีวิตทั้งหมด’ เขาเผยแผ่คำสอนว่ากฎต่างๆ จะไม่ผ่านลงมาง่ายๆ เหล่าศิษย์จำเป็นต้องมีคุณธรรม ชะตาดี และโชคดี
หลิงเปาเทียนจวินได้ก่อตั้งสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยและเป็นที่รู้จักกันในนามปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสวรรค์ ทงเทียนเจี้ยวจู่ ความตั้งใจของเขาคือการช่วยให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดได้รับโอกาสในการอยู่รอด เขาสนับสนุนการสอนที่เป็นกลาง ตราบใดที่ศิษย์มีความรู้สึกพอใจ…ก็ย่อมทำได้
“บรรพชนไท่ชิงได้ก่อตั้งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน เขาซ่อนตัวอยู่ในเก้าสวรรค์ชั้นฟ้า และทำการหยั่งรู้เต๋าอันยิ่งใหญ่แห่งสวรรค์และปฐพีแล้ว และสนับสนุนความสงบสุขและความเงียบสงบ โดยมีศิษย์เพียงคนเดียวที่บรรพชนไท่ชิงยอมรับ นั่นก็คือ ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตู”
ความแตกต่างระหว่างเหตุผลในการยอมรับศิษย์ของปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสวรรค์ ทงเทียนเจี้ยวจู่ และหยวนสือเทียนจวินก็เป็นที่มาแห่งความขัดแย้งระหว่างสองฝ่าย
อย่างไรก็ตาม มิตรภาพระหว่างบรรพชนซันชิงนั้นลึกซึ้งยิ่ง คำสอนของทั้งสามนั้นก็มาจากแหล่งกำเนิดเดียวกัน และการตีความคำสอนก็ล้วนเป็นของสำนักบำเพ็ญเต๋า…
ดังนั้นสำนักบำเพ็ญเซียนใหญ่จึงริเริ่มที่จะก้าวไปข้างหน้าโดยเตรียมการประชุมแหล่งกำเนิดสามสำนักบำเพ็ญเต๋าเพื่อให้ทั้งสามปรองดองกัน
ผู้คนที่มาเข้าร่วมหารือเกี่ยวกับวิธีการจัดการประชุมใหญ่ครั้งนี้ เช่น สำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยและสำนักบำเพ็ญเต๋าฉานนั้น ล้วนมาจาก ‘ตระกูลทรงอำนาจ’ แห่งโลกบรรพกาล
อย่างไรก็ตาม มีเพียงห้าถึงหกคนจากสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน ดังนั้น สำนักตู้เซียนจึงได้รับคัดเลือกและถูกดึงเข้ามาเพื่อเติมเต็มตำแหน่งที่ว่าง…
ทว่าเป็นเวลากว่าหนึ่งปีแล้วตั้งแต่เริ่มเตรียมการประชุมครั้งนี้…
แต่พวกเขาก็ยังไม่เข้าถึงเรื่องหลักกันสักที
จิ่วอูและผู้บริหารอีกสองคนของสำนักตู้เซียนเดินตามหลังผู้อาวุโสสองคน พวกเขาจะพบกัน ทักทายกัน โค้งคำนับให้กัน และเดินเล่นไปรอบๆ เพื่อพบปะกับสหายอื่น ๆ หรือเข้าร่วมการบรรยายเต๋าทุกวัน
และนี่คือส่วนของการนั่งและปรึกษาหารือเต๋าที่จะเกิดขึ้นก่อนเริ่มต้น ‘การประชุมเตรียมการ’ และคาดว่าจะดำเนินต่อไปเช่นนี้อีกสามถึงห้าปี
และช่างชาญฉลาดอย่างยิ่งจริงๆ ที่เริ่มการเตรียมการประชุมแหล่งกำเนิดสามสำนักบำเพ็ญเต๋าล่วงหน้าหนึ่งร้อยปี…
คืนนั้น จิ่วอูเมามายและถูกส่งตัวกลับไปที่บ้านพักของเขาโดยศิษย์ชายสองคนของสำนักจินกง
และท่ามกลางความมึนงงนั้น จิ่วอูรู้สึกเหมือนว่า เขาจะได้ยินเสียงยุง…
ไฉนจึงมียุงที่นี่
เขาตบเบาๆ และเสียงยุงก็หายไปอย่างเงียบๆ
อย่างไรก็ตาม ไม่ไกลจากตำหนักที่สำนักตู้เซียนอาศัยอยู่นั้น มีอาคารที่ผู้บำเพ็ญของเกาะเต่าทองอาศัยอยู่
มีรังสีแห่งแสงโลหิตเจิดจ้าพุ่งออกมาจากบริเวณใกล้เคียงของจิ่วอู มันทะลวงผ่านค่ายกลอย่างเงียบๆ ที่ห้องด้านนอกตำหนัก และพบกับนักพรตเต๋าชราผู้หนึ่งกำลังนั่งสมาธิและฝึกบำเพ็ญอยู่ที่นั่น…
หยวนเจ๋อจากเกาะเต่าทอง
วิ้ง—
“เอ๋?”
หยวนเจ๋อหันศีรษะและมองไปรอบๆ เขารู้สึกสงสัยในใจเล็กน้อย และทันทีที่เขากำลังจะใช้สัมผัสเซียนรับรู้เพื่อสำรวจสภาพแวดล้อมรอบตัว เขาก็รู้สึกเจ็บที่คอเล็กน้อย
ทันใดนั้นร่างกายของนักพรตเต๋าชราหยวนเจ๋อก็สั่นสะท้านไปทั้งร่าง ทว่าเขายังก้มศีรษะลงและนั่งนิ่งราวกับว่ายังคงฝึกบำเพ็ญต่อไป…
แสงโลหิตเจิดจ้านี้ค่อยๆ ซึมซาบเข้าสู่ปราณวิญญาณของนักพรตเต๋าชราหยวนเจ๋ออย่างเงียบๆ ทำให้วิญญาณและจิตสำนึกของเขาปนเปื้อนไปด้วย
หลังจากนั้นครู่หนึ่งต่อมานักพรตเต๋าชราหยวนเจ๋อก็หายใจออกเบาๆ และดวงตาที่สับสนมึนงงของเขาก็ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมาเป็นประกายดังเดิม ในขณะที่เขาเอ่ยกระซิบเบาๆ ว่า “นายท่าน โปรดวางใจ!”
“ข้าสาบานด้วยชีวิตว่า ข้าจะทำให้เรื่องนี้ให้สำเร็จ!”
ในป่าทึบรกร้างที่ห่างออกไปหลายพันลี้
ผู้บำเพ็ญเต๋าเหวินจิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนหินก้อนใหญ่เงียบๆ พร้อมด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ปรากฏบนใบหน้างามที่เย้ายวนของนาง
มันง่ายมากจริงๆ ที่จะทำร้ายเซียนเทียนเหล่านี้
[1] ภูเขาไท่หัว หรือที่เรียกกันว่า เขาหัวซาน
[2] หยวนสือเทียนจวิน อีกพระนามหนึ่งของเง็กเซียนฮ่องเต้
[3] หลิงเปาเทียนจวิน อีกพระนามหนึ่งของปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสวรรค์ ทงเทียนเจี้ยวจู่