ตอนที่ 160 ไร้ยางอาย

ระหว่างทาง หลังทำการสังเกตดูเซ่าผิงปอ หนิวโหย่วเต้าก็ค่อยๆ สังเกตเห็นถึงอะไรบางอย่าง

นอกจากตอนที่พบปะพูดคุยกันในป่าแล้ว ในการเดินทางหลังจากนั้นเซ่าผิงปอมิได้ชายตามองเขาเลย มิได้มีท่าทีให้ความสนใจเลยแม้แต่นิดเดียว ช่วงที่หยุดพักผ่อนระหว่างทาง เขาเองก็ไม่มีโอกาสเข้าใกล้เซ่าผิงปอเลยแม้แต่น้อย

เมื่อครุ่นคิดถึงท่าทีที่ดูเกรงอกเกรงใจของเซ่าผิงปอยามแรกพบ เขาก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นมาแล้ว อีกฝ่ายมิได้แสดงความเกรงใจเพราะพวกเขาทำอาหารอร่อย หากแต่เป็นเพราะอีกฝ่ายยังไม่ทราบตื้นลึกหนาบางของพวกเขา

จุดเปลี่ยนที่ทำให้ท่าทีของอีกฝ่ายเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมืออยู่ตรงไหน? เขาค่อยๆ ทำการวิเคราะห์ไปอย่างช้าๆ

ไม่ใช่เพราะเขายอมรับว่าตัวเองเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนัก หากแต่เป็นเพราะพฤติกรรมของอีกฝ่ายที่จู่ๆ ก็ไร้มารยาทขึ้นมา เปลี่ยนจากแขกมาทำตัวเป็นเจ้าของแจกจ่ายเนื้อจานนั้นออกไปจนหมด

เหตุผลนั้นเข้าใจได้ไม่ยาก ยามแรกพบ อีกฝ่ายสุภาพมีมารยาท นั่นแปลว่าอีกฝ่ายมิใช่คนไม่เข้าใจมารยาท ดังนั้นการที่จู่ๆ อีกฝ่ายก็ทำตัวไม่มีมารยาทเช่นนั้น มันดูผิดปกติเกินไป!

การที่ทำตัวผิดปกติ แสดงว่าต้องมีปัญหาแอบแฝงอยู่เป็นแน่!

เมื่อเข้าใจในจุดนี้แล้ว หนิวโหย่วเต้าก็นวดหน้าผากเล็กน้อย ถูกคนหยั่งเชิงอย่างเงียบๆ เข้าแล้ว ทางนี้ยังไม่ทันแสดงท่าทีอะไรก็ถูกอีกฝ่ายมองออกเสียแล้ว

ที่สำคัญคือตอนนั้นเขาเองก็ไม่จำเป็นต้องแสดงท่าทีอะไร เพราะเขาไม่อยากหาเรื่องเดือดร้อน แต่ใครจะไปคิดถึงว่าอีกฝ่ายกลับมาหยั่งเชิงเขาด้วยคิดที่จะลากตัวเขากลับไปเป็นพ่อครัวให้

หนิวโหย่วเต้าปวดหัวเล็กน้อย เจอคนที่รับมือด้วยยากเข้าเสียแล้ว

ทันทีที่ได้สัมผัสกับเซ่าผิงปอ เมื่อวิเคราะห์จากรายละเอียดต่างๆ ดูแล้ว เขาก็รับรู้ได้ว่าความยโสโอหังของคนประเภทนี้นั้นมาจากเนื้อใน

ทั้งๆ ที่เขาแจ้งแล้วว่าตัวเองเป็นคนของจูเก่อสวิน ต้องไปทำภารกิจที่เมืองหลวง แต่ถึงกระนั้นเซ่าผิงปอก็ยังลากเขามาเป็นพ่อครัวอย่างไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย เพียงเท่านี้ก็พอจะทราบแล้วว่าคนผู้นี้ไม่เห็นจูเก่อสวินหรือราชสำนักแคว้นหานอยู่ในสายตาในด้วยซ้ำ คนผู้นี้จองหองเพียงใด เพียงแค่คิดดูก็คงจะรู้ได้

แต่อีกฝ่ายดันมิได้หยิ่งยโสเพียงเพราะมีชาติตระกูลหนุนหลังเท่านั้น เมื่อดูจากการที่อีกฝ่ายแสดงท่าทีอ่อนน้อมก่อนค่อยเปลี่ยนท่าที เพียงเท่านี้ก็พอจะทำให้ทราบแล้วว่าเขามิใช่คนไม่รู้หนักรู้เบา หากแต่เป็นคนที่รู้จักรุกรู้จักถอยคนหนึ่ง เป็นคนที่รู้ดีว่าควรจะควบคุมสถานการณ์อย่างไร มิใช่คนประเภทที่ว่าจองหองไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตาเพราะชาติตระกูลภูมิหลัง ความหยิ่งยโสของอีกฝ่ายมาจากความมั่นใจและอำนาจในการควบคุมของตน คนประเภทนี้มักจะรับมือลำบาก เนื่องจากฉลาดและเยือกเย็น!

อีกทั้งคนประเภทนี้มักจะยึดเหตุผลเหนืออารมณ์ เด็ดเดี่ยวเฉียบขาด จัดอยู่ในประเภทสัตว์เลือดเย็น เขาเคยพบปะพูดคุยกับคนประเภทนี้มาแล้ว ไม่ควรไปยุแหย่เป็นอย่างยิ่ง

หลังจากหยั่งเชิงตื้นลึกหนาบางของพวกเขาแล้ว อีกฝ่ายก็แสดงความดูแคลนออกมาทันที ไม่มีการไว้หน้ากันเลยแม้แต่นิดเดียว จากจุดนี้ยิ่งทำให้มองเห็นได้ชัดเจน!

ทันทีที่เรียบเรียงความคิดได้ หนิวโหย่วเต้ากลับกระตุ้นความตื่นตัวขึ้นมาอย่างเต็มที่ คอยสังเกตดูอย่างละเอียดไปตลอดทาง

ยิ่งสังเกตก็ยิ่งลอบรู้สึกตกใจ คิดไม่ถึงว่าในกลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรจะมีผู้บำเพ็ญเพียรสองคนที่สามารถทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับโอสถทองสองคนนั้นแสดงท่าทีเคารพนอบน้อบได้ กล่าวอีกนัยคือผู้บำเพ็ญเพียรอีกสองรายนั้นมีโอกาสสูงมากที่จะเป็นบำเพ็ญเพียรระดับโอสถทองเช่นกัน อีกทั้งมีตำแหน่งสถานะที่สูงกว่าสองคนนั้น แล้วก็ยังมีผู้บำเพ็ญเพียรอีกสองคน ขณะที่พูดคุยกันเหมือนจะวางตัวเสมอกับบำเพ็ญเพียรระดับโอสถทองสองคนนั้น แปลว่าสองคนนี้ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นบำเพ็ญเพียรระดับโอสถทองเช่นกัน

จากท่าทีของผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ ที่มีต่อหกคนนี้ รวมถึงรายละเอียดอื่นๆ บางอย่างแล้ว เขาก็ค่อยๆ มั่นใจขึ้นมาแล้ว คิดไม่ถึงว่าข้างกายเซ่าผิงปอจะมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับโอสถทองคอยคุ้มกันอยู่ถึงหกคน!

ในอดีตครานั้น สำนักหยกสวรรค์ส่งผู้บำเพ็ญเพียรระดับโอสถทองมาคุ้มกันซางเฉาจงที่มีความลับเรื่อง ‘กาทมิฬแสนตัว’ อยู่กับตัวแค่กี่คนกัน?

จากจุดนี้จะเห็นได้ว่าเซ่าเติงอวิ๋นให้ความสำคัญกับบุตรชายคนนี้เป็นอย่างยิ่ง

หนิวโหย่วเต้าไม่ทราบรายละเอียดของเซ่าเติงอวิ๋นมากนัก เพียงได้ยินมาว่าเขาเหมือนจะมีบุตรธิดาสามหรือสี่คน หรือว่าข้างกายของบุตรธิดาทุกคนล้วนมียอดฝีมือติดตามคุ้มกันมากมายเช่นนี้? ผู้บำเพ็ญเพียรโอสถทองมิใช่ผักกาดขาว คล้ายไม่น่าจะเป็นไปได้ หรือว่าเป็นเพราะเซ่าผิงปอออกมาทำภารกิจด้านนอก?

ทันใดนั้นแนวคิดของหนิวโหย่วเต้าก็ขยายตัวกว้างออกไปทันที

สถานการณ์คร่าวๆ ของมณฑลเป่ยโจวผุดขึ้นมาในหัวหนิวโหย่วเต้าแล้ว อันที่จริงสถานการณ์โดยละเอียดของมณฑลเป่ยโจวเป็นอย่างไร เขาเองก็ไม่ทราบแน่ชัดเช่นกัน

เซ่าเติงอวิ๋น เดิมทีเป็นแม่ทัพพิทักษ์ชายแดนแคว้นเยี่ยน ต่อมาทรยศแคว้นเยี่ยนไปสวามิภักดิ์แคว้นหาน เปิดด่านชายแดนให้ทัพใหญ่แคว้นหานเข้ารุกรานโจมตีบ้านเมือง สุดท้ายตัดมณฑลเป่ยโจวทั้งหมดออกไปจากแผนที่แคว้นเยี่ยน คล้ายว่าเพื่อเป็นรางวัลสำหรับการเข้ามาสวามิภักดิ์แก่เซ่าเติงอวิ๋น ให้เขาเป็นผู้ว่าการมณฑลเป่ยโจว ปกครองมณฑลแห่งหนึ่ง

ได้ยินว่าเซ่าเติงอวิ๋นอาศัยบารมีแคว้นหานทำให้แคว้นเยี่ยนไม่กล้าผลีผลามลงมือ ขณะเดียวกันก็อาศัยอำนาจของแคว้นเยี่ยนมาทำให้แคว้นหานเกิดความหวาดระแวง

เวลานี้เมื่อหนิวโหย่วเต้าคิดดูอย่างละเอียดแล้ว ในฐานะที่เป็นแม่ทัพฝ่ายศัตรูที่มาสวามิภักดิ์ การถูกกลุ่มอำนาจในแคว้นหานต่อต้านคงเป็นเรื่องที่ไม่อาจเลี่ยงได้อย่างแน่นอน แต่ถึงกระนั้นก็ยังคิดไม่ถึงว่าเซ่าเติงอวิ๋นจะได้ปกครองมณฑลแห่งหนึ่งรวมถึงมีกองกำลังส่วนตัว ทำให้ผู้ใดก็ไม่อาจทำอันใดเขาได้ จุดนี้ไม่ธรรมดายิ่งนัก!

เดิมทีเซ่าเติงอวิ๋นเหมือนจะเป็นแม่ทัพใหญ่ที่อยู่ใต้บัญชาการของหนิงอ๋องซางเจี้ยนปั๋ว ได้ยินว่าเป็นเพราะราชสำนักต้องการกวาดล้างกองกำลังเก่าของหนิงอ๋อง จึงเป็นการบีบคั้นให้เซ่าเติงอวิ๋นก่อกบฏ!

กองกำลังเก่าของหนิงอ๋องมีอยู่มากมาย ที่ได้ยินว่าถูกกวาดล้างไปแล้วก็มีอยู่ไม่น้อยเช่นกัน แต่คนที่กล้าทรยศแว่นแคว้นอย่างเด็ดขาดเช่นนี้ดูเหมือนจะมีแค่เซ่าเติงอวิ๋นผู้นี้เพียงคนเดียวเท่านั้น!

ที่น่าแปลกคือ หนิวโหย่วเต้ารู้สึกว่านิสัยเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดของเซ่าเติงอวิ๋นค่อนข้างคล้ายคลึงกับนิสัยของเซ่าผิงปออยู่ทีเดียว เมื่อรวมเข้ากับเหตุการณ์แต่ละอย่างที่สังเกตเห็นได้ในตอนนี้ เขาเริ่มนึกสงสัยขึ้นมารางๆ แล้วว่าการเลือกทรยศอย่างเด็ดขาดของเซ่าเติงอวิ๋นอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเซ่าผิงปอกระมัง?

แต่จู่ๆ ก็รู้สึกว่าอาจเป็นตนที่คิดมากไป บางทีอาจเป็นนิสัยที่สืบทอดจากพ่อสู่ลูก พ่อลูกมีนิสัยคล้ายคลึงกัน มันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

….

มณฑลเป่ยโจว อดีตแผ่นดินแคว้นเยี่ยน เดิมทีใช้แม่น้ำเป็นตัวแบ่งเขตกับแคว้นหาน ยามนี้แม่น้ำเป็นของแคว้นหาน ดินแดนก็เป็นของแคว้นหานด้วยเช่นกัน

บนแม่น้ำสายใหญ่ เรือพายลำใหญ่จอดรออยู่หลายลำ ขบวนคนและม้าขึ้นเรือพร้อมกัน คนพายเรือกางใบเรือขึ้น ใบพายสองแถวข้างกาบเรือตวัดโยกเป็นจังหวะ เรือแล่นข้ามแม่น้ำ

แม่น้ำกว้างใหญ่ คนพายใช้ความอุตสาหะอยู่หนึ่งเค่อกว่าถึงจะข้ามมาถึงอีกฝั่งได้

เรือเทียบท่า เชือกถูกโยนลงมาจากเรือ มีคนบนท่ารับไปผูกไว้กับเสาเทียบเรือ พาดไม้กระดาน คนทยอยเดินลงจากเรือไป

ที่ท่าเรือมีคนมารอต้อนรับอยู่ไม่น้อย หลังเซ่าผิงปอลงจากเรือก็พยักหน้าทักทายกลุ่มคนที่ประสานมือคำนับเล็กน้อย ไม่ได้พูดคุยกับผู้ใด หากแต่เดินตรงดิ่งเข้าไปหาสตรีนางหนึ่ง

ตอนนี้ต่อให้หนิวโหย่วเต้าที่ลงมาจากเรือทีหลังไม่อยากเห็นสตรีที่อยู่ในกลุ่มคนนางนั้นก็คงเป็นไปได้ยากแล้ว ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่เซ่าผิงปอปฏิบัติต่อนางเป็นพิเศษ เอาแค่ความงามของสตรีนางนั้นที่ดูประหนึ่งหงส์ที่ยืนตระหง่านอยู่ในฝูงกา เพียงเท่านี้ก็ทำให้นางดูโดดเด่นเป็นอย่างมาก

เกล้ามวยผมทรงก้นหอยคลุมผ้าแพร ตาหงส์เรียวงาม สุขุมเยือกเย็น ผิวพรรณขาวผ่องดั่งกระเบื้องเคลือบ เรือนร่างอ้อนแอ้นอรชร สวมกระโปรงแพรสีเทา บุคลิกท่าทางงามสง่า

หนิวโหย่วเต้ารู้สึกหมดคำพูด ถึงไม่อยากรู้จักสตรีนางนี้ก็คงเป็นไปได้ยากแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะเป็นถังอี๋!

เขาเดินทางอ้อมมณฑลเป่ยโจวเพื่อเข้าสู่แคว้นหาน ก็เพราะไม่อยากบังเอิญพบคนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ เขาไม่อยากมากับเซ่าผิงปอ ก็เพราะกังวลว่าจะเจอกับคนของสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เข้า เพราะได้ข่าวมาว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มาสวามิภักดิ์เข้ากับเซ่าเติงอวิ๋น ถ้าเดินทางมากับเซ่าผิงปอ เช่นนั้นโอกาสที่จะได้พบกันก็จะมีสูงมาก

ผู้ใดจะไปคิดล่ะว่ากลัวสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น คิดไม่ถึงว่าถังอี๋จะมาต้อนรับเซ่าผิงปอถึงริมแม่น้ำด้วยตัวเอง นี่มันเรื่องอะไรกัน?

เขากวาดมองไปรอบๆ เล็กน้อย ไม่มีที่ให้หลบซ่อนตัวเลย เว้นแต่จะเดินกลับขึ้นเรือ หรือไม่ก็ลงไปซ่อนตัวในน้ำ

ทว่าทันทีที่ฝีเท้าของเขาหยุดชะงักเล็กน้อย ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ด้านหลังก็ผลักเขาเล็กน้อย สื่อว่าให้เขาเดินหน้าไป

ข้างกายถังอี๋มีคนประกบสองฝั่งซ้ายขวา เป็นคนที่เขารู้จักเช่นกัน หนึ่งในนั้นคือซูพั่ว ส่วนอีกคนก็คือถังซู่ซู่ที่พยายามจะสังหารเขาครั้งแล้วครั้งเล่า นับว่าโลกกลมจริงๆ

ไม่รู้ว่าเพราะถังอี๋เป็นเจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ หรือเป็นเพราะรูปโฉมอันงดงามของนาง เซ่าผิงปอถึงได้ปฏิบัติต่อนางดีกว่าคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด

โชคดีนัก ความสนใจของพวกถังอี๋ทั้งสามคนล้วนมุ่งไปยังเซ่าผิงปอที่อยู่เบื้องหน้า หนิวโหย่วเต้าฉวยโอกาสเดินไปอยู่ด้านหลังคนอื่น บดบังสายตาของคนทั้งสามเอาไว้ พยายามเอาตัวรอดไปจากตรงนี้ให้ได้ก่อน จากนั้นค่อยหาโอกาสหลบหนี

หนิวโหย่วเต้าซ่อนตัวอยู่ด้านหลังคนอื่น พอได้ยินคำพูดของเซ่าผิงปอ เขาก็เข้าใจขึ้นมาทันที เซ่าผิงปอต้องตาถังอี๋!

เซ่าผิงปอมิได้ปกปิดเจตนาเกี้ยวพาราสีในวาจาเอาไว้แม้แต่น้อย ถึงไม่อยากฟังออกก็คงเป็นไปได้ยากแล้ว

โชคดีว่าเจตนาปฏิเสธอย่างละมุนละม่อมในวาจาของถังอี๋ก็ชัดเจนอย่างมากเช่นกัน มิเช่นนั้นหนิวโหย่วเต้าคงได้เลี่ยนตายแน่

ถูกต้อง จริงอยู่ที่เขาไม่ถึงขั้นชมชอบในตัวถังอี๋ แล้วก็ไม่ได้มีความรู้สึกใดๆ ต่อถังอี๋แม้แต่น้อย ยิ่งไม่มีความรู้สึกเชิงชู้สาวเลยด้วยซ้ำ อันที่จริงตอนนี้ยังไม่มีผู้หญิงคนไหนบนโลกนี้ที่ทำให้เขารู้สึกชอบพอได้เลย แต่ถึงอย่างไรถังอี๋ก็ขึ้นชื่อว่าเคยเข้าพิธีแต่งงานกับเขามาก่อน

ถึงเขาจะไม่ได้ชอบถังอี๋ แต่เขาก็ทนยอมให้ภรรยาในนามมาหัวร่อต่อกระซิกกับบุรุษอื่นต่อหน้าต่อตาตนไม่ได้!

สภาวะจิตใจของเขายังไม่ถึงขั้นที่จะละกิเลสปลงอารมณ์ได้

“ใช่แล้ว ข้ามีของขวัญมาฝากเจ้าด้วย”

“น้ำใจของคุณชายใหญ่ข้าขอน้อมรับไว้ แต่ไม่จำเป็นจริงๆ ข้าเป็นหญิงมีสามีแล้ว!”

ระหว่างที่สนทนากัน ถังอี๋ย้ำอยู่หลายครั้งว่าตนเป็นหญิงมีสามีแล้ว คล้ายหวังว่าเซ่าผิงปอจะเข้าใจแล้วยอมถอยห่างไปเสีย

“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าไม่รับสิ่งของ แต่ของขวัญชิ้นนี้พิเศษมาก ข้าเชิญพ่อครัวฝีมือดีคนหนึ่งมา อาหารที่เขาทำคิดว่าเจ้าน่าจะยังไม่เคยลิ้มรสมาก่อน ถ้าไงลองชิมดูหน่อยสิ”

เซ่าผิงปอยิ้มแย้ม หันกลับมาตะโกนเรียก “น้องจาง” คล้ายเพิ่งจะนึกถึงหนิวโหย่วเต้าขึ้นมาในเวลานี้

คนที่อยู่ด้านหลังพากันเปิดทางออกทันที ทำให้หนิวโหย่วเต้าปรากฏตัวขึ้นมา หนิวโหย่วเต้าพูดไม่ออก

สายตาของถังอี๋ ซูพั่วและถังซู่ซู่ต่างจ้องมองไปที่หนิวโหย่วเต้า ต่างตะลึงไปในทันใด ไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าจะเป็นหนิวโหย่วเต้าได้

หนิวโหย่วเต้าเดินเข้ามาด้วยสีหน้าราบเรียบ ยันกระบี่ไว้ด้านหน้า จ้องมองถังอี๋ตั้งแต่หัวจรดเท้า ยิ้มเล็กน้อยพร้อมเอ่ยว่า “เป็นโฉมงามโดยแท้!”

เซ่าผิงปอขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “น้องจางสำรวมวาจาด้วย”

หนิวโหย่วเต้ายิ้มมุมปากแวบหนึ่ง “ใต้เท้าเซ่า นี่คือแขกคนสำคัญที่ท่านต้องการเลี้ยงอาหารหรือ?”

เซ่าผิงปอพยักหน้ารับ “ถูกต้อง!”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “เพื่อนางแล้ว ใต้เท้าเซ่าถึงกับลากข้ามาเสียไกล นี่แสดงให้เห็นถึงความจริงใจที่ท่านมีต่อนาง ข้าว่าใต้เท้าและโฉมงามท่านนี้ช่างเหมาะสมกันจริงๆ”

เซ่าผิงปอเอ่ยเตือน “น้องจาง พอได้แล้ว ท่านนี้คือเจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์!”-เนื่องจากทันตอนล่าสุดแล้วจึงเหลือวันละตอนตามต้นทาง

เมื่อได้ยินเขาเรียกน้องจางๆ พวกถังอี๋ทั้งสามนึกสงสัยอยู่บ้างว่าตนจำคนผิดไปหรือเปล่า หรือว่าแค่หน้าตาคล้ายคลึงกันเท่านั้น ทว่ากระบี่ที่หนิวโหย่วเต้ายันไว้ด้านหน้าเล่มนั้นเป็นกระบี่ของตงกัวเฮ่าหรานเมื่อในอดีต ทั้งสามล้วนจำได้ดี

หน้าเหมือนก็ว่าไปอย่าง แต่กระทั่งกระบี่ก็ยังเหมือน ถ้าไม่ใช่หนิวโหย่วเต้าก็แปลกแล้ว

วาจานี้ของหนิวโหย่วเต้า เป็นการตบหน้าถังอี๋ต่อหน้าคนหมู่มากอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

ช่วยไม่ได้ เขาเองก็ไม่ได้อยากพบหน้าถังอี๋ แต่เลี่ยงแล้วก็ยังไม่พ้น จึงทำได้เพียงชิงรุกเพื่อถอย โพล่งวาจาบางอย่างออกไปก่อน ทำให้ทางนี้กระดากใจที่จะเปิดโปงตัวตนฐานะเขา

ถังอี๋รู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะพูดอย่างไร หนิวโหย่วเต้าก็เป็นสามีในนามของนาง อยู่ต่อหน้าสามีของตน กลับไปทำตัวคลุมเครือกับชายอื่นต่อหน้าผู้คนมากมายในที่สาธารณะ โลกนี้มีใครเขาทำเรื่องแบบนี้กัน? คำพูดเหล่านั้นของหนิวโหย่วเต้า สำหรับนางแล้วมันคือคำเสียดสีที่รุนแรงเป็นอย่างมาก!

ซูพั่วก้มหน้าลงเล็กน้อย รู้สึกละอายจนทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน

กระทั่งถังซู่ซู่ที่อยากสังหารหนิวโหย่วเต้าใจแทบขาดก็ค่อนข้างอึดอัดเช่นกัน หากหนิวโหย่วเต้าเปิดเผยตัวตนออกมาในเวลานี้ เช่นนั้นถังอี๋จะต้องกลายเป็นตัวตลกของคนทั่วหล้าแน่ ต้องถูกผู้คนนินทาลับหลังไปชั่วชีวิต!

จู่ๆ หนิวโหย่วเต้าก็ปรากฏตัวขึ้น โผล่มาในสถานการณ์เช่นนี้ ราวกับเป็นการตบหน้าคนทั้งสามอย่างแรงฉาดแล้วฉาดเล่า

เจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์อย่างนั้นหรือ? พวกเฮยหมู่ตานทั้งสี่มองหน้ากัน คนผู้นี้น่ะหรือเจ้าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์

หากว่าเมื่อครู่ไม่ได้ฟังผิดไป เจ้าสำนักผู้นี้คล้ายจะยอมรับออกมาเองว่าตนเป็นหญิงมีสามีแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่า ‘สามี’ ที่ว่านั้นหมายถึงคนที่อยู่ในข่าวลือผู้นั้น หรือว่าเป็นคนอื่นที่มาทีหลังกันแน่ หากเป็นคนที่อยู่ในข่าวลือผู้นั้นจริงๆ เช่นนั้นเจ้าสำนักผู้นี้ก็ไร้ยางอายเกินไปหน่อยหรือเปล่า?

……………………………………………………………