ตอนที่ 117

The simple life of the emperor

เทียนหลางเดินไปตามทางที่มีอยู่ในความทรงจำของเขาที่ได้เอามาจากใครสักคนซึ่งเขานั้นก็จำไม่ได้แล้วว่าคนๆนั้นเป็นใคร

ไม่นานนักเทียนหลางก็มาถึงหน้าหอคอยแห่งหนึ่งซึ่งน่าจะสูงประมาณตึกสามชั้นได้ เทียนหลางไม่รอช้าเดินเข้าไปด้านในก็พบว่าหอสมบัตินั้นถูกปกป้องด้วยประตูที่ทำขึ้นมาจากเหล็กกล้าแบบพิเศษ และถูกเสริมด้วยค่ายกลป้องกันเพื่อกันไม่ให้มีคนทำลายมันได้ง่ายๆ
จากที่เทียนหลางได้มองดูมันเล็กน้อยก็พบว่าประตูนี้สามารถป้องกันการโจมตีของผู้ที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตนภาได้อย่างแน่นอนแต่สำหรับเทียนหลางนั้นประตูบานนี้ไม่ได้พิเศษอะไรสำหรับเขาเลยแม้แต่น้อย
เทียนหลางใช้มือลูบไปที่ประตูของหอสมบัติอย่างแผ่วเบาพร้อมกับที่ปรากฏรอยฟันที่ประตู จากนั้นเทียนหลางก็สะบัดมือหนึ่งครั้งเบาๆประตูเหล็กกล้าที่ถูกเสริมด้วยค่ายกลก็ถูกผ่าออกเป็นสองส่วนอย่างสวยงาม
เมื่อไม่มีประตูไร้สาระคอยขวางทางเทียนหลางก็เดินเข้าไปในหอบัติอย่างสบายๆก่อนจะค่อยๆเริ่มกวาดสิ่งของที่น่าสนใจใส่ในแหวนของเขา
ในขณะที่เทียนหลางกำลังนำทุกอย่างใส่แหวนอยู่นั้นสายตาของเขาก็สังเกตุเห็นอะไรบางอย่าง เมื่อเทียนหลางเดินเข้าไปดูเขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
”ไม่คิดว่าสำนักเล็กๆอย่างนี้จะมีสิ่งของล้ำค่าอย่างผลึกแห่งดวงดาวอยู่ด้วย”
ผลึกดวงดาวนั้นเป็นสมบัติที่อยู่ในระดับห้ามันมีคุณสมบัติเพียงแค่ช่วยให้ผู้ที่สวมใส่มันสามารถฝึกฝนได้เร็วขึ้นเพียงเท่านั้นแต่ถึงอย่างนั้นราคาของผลึกดวงดาวก็แพงเป็นอย่างมากเพราะมันเหมาะที่จะใช้มาทำเป็นเครื่องประดับ
ด้วยที่ตัวของผลึกนั้นสามารถดูซับพลังงานธรรมชาติได้ และเมื่อพลังธรรมชาติถูกอัดแน่นอยู่ด้านในมันจึงรวมตัวและกลายเป็นดวงแสงแวววาวอยู่ด้านในผลึกซึ่งมันงดงามเป็นอย่างมากเหมือนกับดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้าซึ่งนี่ก็เป็นที่มาของชื่อผลึกแห่งดวงดาวด้วยเช่นกัน
และเมื่อเทียนหลางหยิบผลึกดวงดาวขึ้นมาเขาก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ทำให้เทียนหลางนั้นอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
………………………………………………………
เทียนหลางเดินออกมาจากหอบัติด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย แต่เมื่อเทียนหลางออกมาเขาก็พบเห็นคนจำนวนหนึ่งกำลังยืนรอเขาอยู่
เทียนหลางมองพวกเขาเล็กน้อยก่อนจะยิ้มและพูดออกมา
”ดูเหมือนจะมีคนมาต้อนรับฉันแบบจริงจังสักที”
เมื่อได้ยินคำพูดของเทียนหลาง คนของสำนักอัคคีก็เต็มไปด้วยความโกรธหนึ่งในนั้นซึ่งแต่งตัวด้วยชุดคลุมยาวหรูหราดูแล้วเหมือนว่าเขาจะเป็นคนใหญ่คนโตในสำนัก เขาพูดออกมาด้วยความโกรธว่า
”แกซินะที่บุกเข้ามาทำลายสำนักอัคคีของพวกเรา แถมยังเข้าไปขโมยของในหอคอยสมบัติอีกด้วย !?”
เทียนหลางมองเขาเล็กน้อยก่อนจะพูดพร้อมกับยักไหล่
”ก็อย่างที่เจ้าเห็น ข้าปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านั้นหรอกนะ”
ทันทีที่ได้ยินคำยอมรับอันไม่สนโลกของเทียนหลาง สีหน้าของคนจากสำนักอัคคีก็เปลี่ยนสีทันทีพร้อมกับถามเทียนหลางออกไปว่า
”แกทำอย่างงี้ทำไม ? หากข้าจำไม่ผิดสำนักของข้าไม่เคยมีความคับแค้นใจอะไรกับเจ้า”
เทียนหลางที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มออกมาก่อนจะถามกลับไปว่า
”เจ้าแน่ใจงั้นเหรอ ?”
”ข้ามั่นใจ !!”
ชายคนนั้นตอบกลับ เทียนหลางจึงเอ่ยกับเขาว่า
”เมื่อไม่กี่วันก่อนที่งานประมูลร้อยสำนัก มีไอโง่คนหนึ่งจากสำนักอัคคีได้มาหาเรื่องข้าแน่นอนว่าข้าทำการสั่งสอนมันไปแต่มันกลับไม่สำนึกมันยังคงเรียกอาจารย์ของมันมาแก้แค้น แต่ข้าก็ทำการดึงแขนทั้งสองข้างของอาจารย์มันออกเพื่อเป็นการดัดนิสัย หลังจากงานประมูลจบลงระหว่างที่ข้ากับภรรยากำลังจะเดินดูตลาดก็มีไอโง่กลุ่มหนึ่งจากสำนักอัคคีมาก่อกวนข้าและภรรยา แน่นอนว่าข้าฆ่าพวกมันทั้งหมดและเหลือไว้คนนึง”
เทียนหลางเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ
”จากนั้นข้าก็เลยส่งจดหมายฉบับหนึ่งมายังสำนักอัคคีแน่นอนว่าข้าคงไม่ต้องบอกเนื้อความในจดหมายฉบับพวกเจ้าก็คงจะรู้กันอยู่แล้ว และข้านั้นก็เป็นคนที่ยึดถือคำสัตย์เป็นอันดับแรกดังนั้นวันนี้ข้าจึงมาที่นี้เพื่อมาทำลายสำนักอัคคีตามคำที่ข้าได้เคยให้เอาไว้”
เมื่อพูดจบเทียนหลางมองคนของเหล่าสำนักอัคคีด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เมื่อคนของสำนักอัคคีได้ยินเรื่องที่เทียนหลางพูดพวกเขาก็เข้าใจทุกอย่างทันที ทันใดนั้นใบหน้าของชายคนนั้นก็เปลี่ยนเป็นสีแดงด้วความโกรธ ก่อนจะระเบิดพลังออกมาและพุ่งเข้าใส่เทียนหลางด้วยอารมณ์ที่เต็มไปด้วยโทสะ
เทียนหลางเมื่อเห็นแบบนั้นก็หัวเราะออกมาก่อนจะสะบัดมือเบาๆและร่างของชายคนนั้นก็ปลิวกระเด็นไปติดที่อาคารแห่งหนึ่งทันที ก่อนที่เขาจะถูกเพลิงสีทองที่กำลังไหม้อาคารนั้นอยู่เผาจนกลายเป็นขี้เถ้า
เทียนหลางถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะกล่าวกับคนของสำนักอัคคีที่เหลือ
”ข้าจะบอกอะไรให้นะ พวกเจ้าเลิกที่จะต่อต้านเพลิงนั่นเสียจะดีกว่าเพราะนั่นไม่ใช่อะไรที่พวกเจ้าจะดับได้หรอกนะ แต่พวกเจ้าไม่ต้องห่วงหากพวกเจ้าไม่ไปสัมผัสมัน มันก็ไม่สามารถทำอะไรพวกเจ้าได้หรอก”
จากนั้นเทียนหลางก็ยิ้มออกมา
”จงยืนดูสำนักของพวกเจ้ามอดไหม้และสำนึกเสียใจที่กล้ามาดูถูกภรรยาของข้าเสียเถอะ”
เมื่อพูดจบเทียนหลางก็หัวเราะออกมาเสียงดังก่อนที่ร่างกายของเขาจะหายไป
………………………………………………………
เทียนหลางกลับมาที่บ้านก็เห็นว่าเฟิงหยวนกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่เช่นทุกที เขาเดินเข้าไปหาเฟิงหยวนก่อนจะถามออกมาว่า
”นี่คุณคิดแต่จะอ่านหนังสืออย่างเดียวเลยเหรอ ?”
เมื่อเฟิงหยวนได้ยินแบบนั้นก็หันมาพูดกับเทียนหลางด้วยรอยยิ้มอันงดงามว่า
”แล้วคุณอยากจะฉันทำอะไรหล่ะ ?”
เทียนหลางที่ได้ยินแบบนั้นก็ลูบคางพร้อมกับคิดเล็กน้อยพร้อมกับเสนอออกไปว่า
”งั้นทำไมคุณไม่เปิดเสื้อตัดเสื้อหล่ะ ? เมื่อก่อนคุณคิดอยากจะเปิดมันนิ”
เฟิงหยวนที่ได้ยินแบบนั้นก็ส่ายหน้าพร้อมตอบกลับไปว่า
”ไม่หล่ะ ฉันไม่ค่อยชอบบริหารธุรกิจอีกอย่างมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ฉันถนัดด้วย”
”งั้นเหรอ…”
เทียนหลางครุ่นคิดก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้
”แล้วงานถ่ายแบบหล่ะ ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้คุณเคยเป็นนางแบบเหรอ ?”
เฟิงหยวนที่ได้ยินคำถามก็ยิ้มและอธิบายว่า
”ตั้งแต่ที่ฉันเจอคุณ ฉันก็ไปลาออกจากการเป็นนางแบบแล้วหล่ะอีกอย่างที่ฉันเป็นนางแบบก็แค่ทำเพื่อหาเงินใช้ตามหาคุณเท่านั้น แต่ใครจะคิดว่าคุณจะตามหาได้ง่ายขนาดนี้กันหล่ะ”
เมื่อพูดจบเฟิงหยวนก็หัวเราะออกมาเบาๆเทียนหลางก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆออกมาทันที ก่อนจะบอกกับเฟิงหยวนว่า
”เอาเป็นว่าไม่ว่าคุณจะทำอะไรผมจะสนับสนุนคุณเต็มที่ขอเพียงบอกผมก่อนก็แล้วกัน”
”เข้าใจแล้วค่ะ”
เฟิงหยวนตอบรับด้วยรอยยิ้ม เทียนหลางก็ยิ้มออกมาพร้อมกับเข้าไปหอมแก้มเฟิงหยวนทีนึงและเดินออกไปยังด้านหลังบ้านซึ่งทางด้านหลังเทียนหลางได้สร้างห้องเล็กๆเอาไว้สำหรับเป็นห้องหลอมเหล็กและหลอมอุปกรณ์ต่างๆแน่นอนว่าเครื่องประดับต่างๆของร้านศาลาอัญมณีก็ถูกสร้างขึ้นที่ห้องนี้เช่นกัน
เมื่อเทียนหลางเข้ามาด้านในเขาก็หยิบสะเก็ตผลึกดวงดาวน้ำแข็ง กับผลึกแห่งดวงดาวและของอื่นๆออกมาจากแหวนพร้อมกับโยนมันเข้าไปในเตาหลอมที่กำลังลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงสีทอง
จากนั้นเทียนหลางก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
”ในที่สุดฉันก็สามารถหาสิ่งของที่มีงดงามพอจะสร้างเป็นของขวัญให้เธอได้”