176 เรียงลำดับความรู้สึกและคำขอของราชา
” ――ช่วงนี้คุณหนูดูเหมือนไม่ค่อยสบายเลยนะคะ มีอะไรกวนใจอยู่หรือเปล่าคะ?”
ริโนกิสที่มักจะหยุดก่อนที่จะพูดอะไร ในที่สุดก็ดูเหมือนว่าจะรู้สึกว่าต้องพูดออกมาแล้ว
รู้สึกอะไรบางอย่างงั้นสินะ
หรือบางทีคงจะเหนื่อยที่จะต้องถามอย่างระมัดระวังแล้วล่ะมั้ง
ริโนกิสดูเหมือนจะรับรู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติกับฉัน แต่ไม่กล้าพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้น ――ในตอนนี้ใกล้จะถึงวันหยุดฤดูหนาวแล้ว เธอคงแกล้งทำเป็นไม่ใส่ใจไม่ได้แล้ว จึงพูดออกมา
หลังจากคิดใตร่ตรองแล้ว ฉันเดาว่าเธอคงตัดสินใจว่านี่เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
ขึ้นอยู่กับปฏิกิริยาของฉัน ก่อนที่เรเลียเรดจะเข้ามาขัดขวาง และทำลายบรรยากาศลง
“ปัญหาของฉันตอนนี้คือการบ้าน เธอจะช่วยฉันได้ไหม?”
“โปรดลองทำด้วยตัวเองด้วยค่ะ”
ก็คิดแล้วว่าจะพูดแบบนั้น ริโนกิสก็เป็นคนแบบนี้แหละ
เป็นช่วงสิ้นสุดของฤดูหนาว ที่ความร้อนแรงจากงานแข่งขันศิลปะการต่อสู้ระดับอาณาจักรลดลง
เป็นเวลาเกือบสามเดือนแล้วนับตั้งแต่การแข่งขันที่เกิดขึ้น วันหยุดฤดูหนาว
หลังจากสอบเลื่อนชั้นเสร็จสิ้น และหลังจากวันหยุดฤดูหนาวสิ้นสุด ฉันจะกลายเป็นนักเรียนของชั้นประถมศึกษาปีที่สี่ เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว
――ฉันมีชีวิตอยู่ในร่างของเนีย・ลิสตันมาสี่ปีแล้วสินะ
ไม่ต้องสงสัยเลย ฉันคงได้ลงเอยด้วยการแสดงเป็นเนีย・ลิสตันนานกว่าที่เธอได้เป็นเอง
“เน๊ ริโนกิส”
ฉันวางปากกาลงแล้ววางมือลงบนโต๊ะ
หากทุกอย่างเป็นเหมือนอย่างเคย เรเลียเรดจะมาหาฉันในเร็ว ๆ นี้ เธอจะดูเมจิกวิชั่นต่อหน้าฉันที่ยังกำลังทำการบ้านอยู่
ดูเหมือนว่าจะเป็นทุกรอบสองปี เมื่อฤดูหนาวสิ้นสุดลง ห้องพักในหอพักจะถูกเปลี่ยนอีกครั้ง
เรเลียเรดที่ได้อยู่ใกล้กันในห้องถัดไปในชั้นปีที่สองและสาม อาจจะต้องแยกจากกันอีกครั้ง
ม๊า ถึงจะย้ายไปไกลแค่ไหนก็ยังอยู่ในตึกเดียวกันอยู่ดี เธอคงคุ้นเคยกับการดื่มด่ำของตัวเองอย่างเต็มที่ไปแล้ว ในอนาคตอาจจะกลับมาที่ห้องฉันบ่อยขึ้นกว่าเดิมก็ได้
――ก่อนที่อุปสรรคดังกล่าวจะมาถึง มาคุยกันหน่อยดีกว่า
ฉันแน่ใจว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว
แตกต่างจากการขอพรที่ขอไม่อาจเป็นจริงได้ แตกต่างจากการตั้งความคาดหวังที่ไม่สมเหตุสมผล
“เธอไม่ต้องการที่จะแข็งแกร่งขึ้นเหรอ?”
แม้ว่าเธอจะยังคงฝึกฝนต่อไป แต่ก็เป็นการที่ค่อนข้างเรียกว่าเพื่อรักษาความแข็งแกร่งของตัวเองไว้มากกว่า เพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้น การต่อสู้จริงนั้นรวดเร็วและเชื่อถือได้ ลินเนตต์ถูกบังคับ แต่คนที่สอน「คิ」ให้กับพี่ชาย จำเป็นต้องแข็งแกร่งขึ้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“จะว่ายังไงดีล่ะคะ ในตอนนี้ ดิฉันสามารถปกป้องคุณหนูได้ดีแล้ว ถึงจริง ๆ แล้วจะรู้สึกว่าตัวเองสามารถแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ได้อีก แต่ว่า”
อืม
คิดได้ดี
“ดิฉันคิดว่าเท่านี้ก็เพียงพอแล้วค่ะ”
“เป็นอย่างงั้นเหรอ?”
“ค่ะ สักวันหนึ่งดิฉันจะบอกแกนดอล์ฟด้วยเหมือนกัน แต่――”
เธอเอามือจับคาง และหลับตาลง
“พอแข็งแกร่งขึ้นก็ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรเลยจริง ๆ”
ฉันไม่มีความทรงจำ แต่ไม่ใช่เพราะว่าจำไม่ได้ ฉันแน่ใจว่าแบบนั้น
ฉันมีความทรงจำของการต่อสู้อันดุเดือด
ฉันมีความทรงจำของการฝึกฝน
ฉันมีความทรงจำของเทคนิค
ฉันมีความทรงจำความรู้เกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้
สิ่งเหล่านี้ บางครั้งฉันก็นึกถึงได้โดยบังเอิญ
เป็นเหมือน「ความรู้สึก」อันค่อนข้างคลุมเครือ แต่ว่า ฉันไม่คิดว่าจู่ ๆ ฉันจะสามารถนึกถึงเรื่องที่ไม่มีในความทรงจำได้
นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันคิดว่า「ความรู้สึก」นี้เป็นของจริงอย่างแน่นอน
ทว่า ส่วนใหญ่ก็มีแค่เรื่องพวกนั้น
เป็นเส้นทางเช่นนั้น
นอกจากการปีนขึ้นสู่ระดับสูงแล้ว ฉันแทบจะจำอะไรไม่ได้เลยนอกเหนือจากเรื่องนั้น และฉันก็นึกอะไรไม่ออกเลยจริง ๆ
อาจเป็นเพราะไม่มีเหตุการณ์อะไรในตอนนั้นที่สามารถจารึกสลักลงในจิตวิญญาณของฉันได้
ฉันอาจจะมีครอบครัวแล้ว
มีลูกศิษย์อยู่แน่นอน
ทว่า ไม่มีใครที่ขึ้นมาเทียบเคียงได้
ไม่มีใครขึ้นมาอยู่ข้าง ๆ ฉัน
“ความแข็งแกร่งไม่ใช่สิ่งที่ดิฉันจะยอมเสียสละทุกสิ่งเพื่อไล่ตามค่ะ”
หลังจากการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ครั้งนี้ ฉันรู้สึกเหมือนพึ่งทำบางสิ่งสำเร็จไปอย่างน่าประหลาดใจ แล้วฉันก็ตระหนักถึงสิ่งนี้โดยสัญชาตญาณ
ฉันใช้เวลาคิดมาสักพัก และฉันก็เข้าใจในที่สุด
เหล่าลูกศิษย์น่าจะส่งต่อทุกสิ่งแล้ว
ทั้งได้สั่งสอนคนรุ่นหลังรุ่นต่อ ๆ ไปดังที่ฉันได้สั่งสอนพวกเขา
ทว่า พวกเขาไม่ได้โง่เหมือนฉัน
ไม่ใช่ทุกคนที่โง่เหมือนฉัน
พวกเขาไม่มีใครหลงใหลในความแข็งแกร่งเหมือนฉันอีกแล้ว ฉันผู้ยอมสละทุกสิ่งเพื่อศิลปะการต่อสู้และก้าวไปสู่จุดสูงสุด นอกจากนี้พวกเขาจะไม่ยอมทิ้งสิ่งสำคัญไปเพียงเพื่อความแข็งแกร่ง
ผลลัพธ์ก็คือนักศิลปะการต่อสู้ที่อ่อนแอในปัจจุบัน
พวกเขาได้ข้อสรุปจากจุดไหนสักแห่ง
ไม่มีอะไรมากเกินกว่านี้อีกแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่อยากได้มากจนยอมโยนบางสิ่งที่สำคัญทิ้งไป
ฉันเป็นคนเดียวที่ไม่เข้าใจเรื่องนั้น ฉันจึงเดินไปตามเส้นทางที่ไม่เหลืออะไรเลย และสุดท้ายก็ไม่เหลืออะไรเลยจริง ๆ
ไม่มีใครโง่เท่าฉันอีกแล้ว
ฉันแน่ใจว่าลูกศิษย์ที่ฉันฝึกฝนมาอย่างดีนั้นได้รับสืบทอดทักษะของฉันอย่างแน่นอน แต่ไม่ใช่วิถีชีวิตของฉันอย่างแน่นอน
นักศิลปะการต่อสู้ที่อ่อนแอในการแข่งขันศิลปะการต่อสู้ครั้งนี้
พวกเขาคือคนที่ปฏิเสธวิถีชีวิตรูปแบบของฉัน――นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมฉันถึงผิดหวังมาก
――แม้ว่าฉันจะพูดเรื่องนี้กับริโนกิส เธอก็อาจจะไม่ได้เดินไปตามเส้นทางที่เป็นประโยชน์กับฉัน
นั่นเป็นสาเหตุที่ฉันไม่สามารถพูดกับเธอได้
และสำหรับแกนดอล์ฟ สำหรับตอนนี้ฉันสามารถพูดด้วยการซ่อนไว้ใต้คำลวง「จงเข้มแข็งเพื่อที่จะได้แต่งงานและสร้างครอบครัวที่มีความสุข」
การฝึกฝนโดยมีเป้าหมายที่จะแข็งแกร่งขึ้นนั้นบริสุทธิ์และล้ำค่า แต่ผู้คนไม่สามารถรักษาความบริสุทธิ์ไว้ตลอดไปได้ นั่นไม่ดีเลยที่จะเป็นเช่นนั้น
ผู้ใหญ่ยอมที่จะปนเปื้อนเล็กน้อยเพื่อลูก ๆ ของพวกเขา
“ฉันไม่เข้าใจเลยจริง ๆ……..”
ฉันอดไม่ได้ที่จะพูดว่าฉันไม่เข้าใจ แต่ถ้าสรุปแล้ว เรื่องราวทั้งหมดก็เป็นแบบนั้น
“ฉันรู้สึกสิ้นหวัง เพราะว่าฉันแข็งแกร่งเกินไป ไม่มีใครให้ฉันสู้ด้วย ไม่มีใครที่เข้าใจฉัน
ศิลปะการต่อสู้ที่เห็นจากระยะไกลนั้นส่องประกาย ฉันต้องการ ฉันต้องการ ฉันจึงเอื้อมมือออกไปอย่างสิ้นหวัง ฉันพยายามคว้าเอาไว้จนแทบยอมทิ้งสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ได้งดงามเลยแม้แต่น้อย
ซ้ำซากและราคาถูกจนไม่มีมูลค่าเลย เป็นเรื่องนี้แหละ”
――อุมุ นี่คือชีวิตจองฉัน นั่นคือทั้งหมดที่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
นั่นคือทั้งหมดที่มีอยู่แล้งจริง ๆ
ฉันทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้เบื้องหลังเพื่อส่งต่อศิลปะการต่อสู้ที่ได้ฝึกฝนมาให้กับคนรุ่นต่อ ๆ ไป แต่เหล่าลูกศิษย์ที่ได้ฝากฝังความหวังไว้ก็ไม่ได้ทิ้งอะไรไว้ข้างหลัง ฉันจึงผิดหวัง
งานของฉันในฐานะเนีย・ลิสตันจบลงแล้ว
และศิลปะการต่อสู้ที่ฉันได้ฝากเอาไว้ ในยุคนี้ก็หายไปแล้ว
เพราะอย่างงั้น ดูเหมือนว่าจะไม่มีเหตุผลที่จะให้ฉันมีชีวิตอยู่ต่อไป
ใช่ แค่นั่นแหละ
“ดิฉันก็ไม่เข้าใจเท่าไหร่หรอกนะคะ แต่ก็คุ้มค่าแล้วที่แข็งแกร่งขึ้นจริงไหมคะ?”
“เหรอ?”
“ก็แบบว่า ด้วยความแข็งแกร่งนั่น คุณจึงสามารถใช้ชีวิตในร่างกายของคุณหนูได้จริงไหมคะ”
เข้าใจล่ะ
ชีวิตก่อนหน้านี้ของฉัน ถูกใช้เพื่อรักษาชีวิตของเนีย・ลิสตันในชาตินี้ สินะ
――พอมาลองคิดตามดูแล้ว ก็ไม่คิดว่าแย่อะไรเลย
ถ้าคิดว่าคุ้มค่า แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
ฉันรู้สึกว่าความรู้สึกแย่มาเป็นเวลานานเริ่มเบาลงเล็กน้อย
ก่อนวันหยุดฤดูหนาว ฉันคิดว่าในที่สุดฉันก็มีสติได้แล้ว
“ขอรบกวนหน่อยนะคะ เนีย”
ฮิลเดโทร่ามาที่ห้องเป็นครั้งแรกหลังจากผ่านไประยะหนึ่งแล้ว
ฉันหมายถึง กลับมาเป็นสถานะดังเดิม เธอเป็นคนที่มีแพทเทิร์นมากมาย
“เป็นกลิ่นที่แปลก”
ทั่วทั้งห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของชา ซึ่งน่าจะชงโดยริโนกิส แต่กลิ่นนี้เหมือนจะไม่ใช่ชาดำ เป็นกลิ่นที่ฉันจำไม่ได้
“เราเอามัทฉะของมุซาชิไคมาให้ค่ะ พูดง่าย ๆ คือชาที่ชงจากใบชาผงค่ะ”
โห๊ว ของมุซามชิไค แสดงว่าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยเลยน๊า
“แพงมากไม่ใช่เหรอ?”
“ก็ค่อนข้างค่ะ”
ก็น๊า
จากสิ่งที่ฉันได้ยินมา มุซาชิไคเป็นประเทศที่อยู่ห่างไกลมากถึงขนาดว่าต่อให้ใช้เรือเหาะก็ยังต้องใช้เวลามากกว่าสองเดือน ขนาดว่าเป็นวิธีการเดินทางที่ยอมรับกัน
เมื่อพิจารณาถึงค่าใช้จ่ายในการขนส่ง แม้แต่ชาสักถ้วยก็ยังต้องเสียเงินเป็นจำนวนมาก
“แต่ว่าอย่ากังวลไปเลยค่ะ นี่เป็นของขวัญจากโอโต้ซามะถึงเนียค่ะ”
หืม?
“ของขวัญจากราชา”
“ค่ะ เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณสำหรับงานแข่งขันศิลปะการต่อสู้ นอกจากนี้ยังมีข้อความแนบให้มาแจ้งกับเนียด้วยค่ะว่า มีเรื่องจะคุย ดังนั้นเข้ามาซะ แบบนั้นแหละค่ะ”
……………..อ้า งั้นเอง
“สิ่งที่เรียกว่ามัทฉะมีกลิ่นเหมือนปัญหาจังเน๊”
“ขอโทษแทนพ่อด้วยนะคะ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะอยากจะคุยด้วยจริง ๆ ค่ะ”
งั้นเหรอ
ถ้าอีกฝ่ายยอมอยู่ในตำแหน่งที่เท่าเทียมกัน เดาว่าคงเป็นเรื่องของการปรึกษาหารือกันจริง ๆ
ยังไงก็ตาม ในกรณีราชาของประเทศ กับบุตรีของขุนนาง ฉันคิดว่าเป็นเหมือนคำสั่งทางพฤตินัยมากกว่าจะเป็นแค่เรื่องของการปรึกษาหารือ
ตั้งแต่แรกแล้ว ด้วยตำแหน่งของฉัน ฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดว่าไม่ยอมรับคำขอคำปรึกษานี้ได้อยู่แล้ว
ฉันไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร ถึงแม้ว่าฉันจะไม่เต็มใจ แต่ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องไปเท่านั้น