ภาคที่สอง-หิมะใต้หล้า ตอนที่ 118 ชีวิตหลังกระบี่

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 118 ชีวิตหลังกระบี่

สองคนที่ออกกระบี่พร้อมกันส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด ถูกแรงสะท้อนรุนแรงผลักไปในเส้นขอบฟ้า

หินผาแคบ เศษหินมากมาย

ยังไม่ทันมองผลที่เกิดจากกระบี่นั้น หนิงอี้ก็พลิกมือคว้าเด็กสาวไว้ในอ้อมกอด

หนิงอี้ปักพินิจเหมันต์ลงพื้น ใช้มันลดแรงปะทะมหาศาล

เขาส่งแสงดาราที่เหลือออกมา ขาสองข้างติดกับพื้น ลากเป็นร่องยาวมาก หินแต่ละก้อนแตกใต้เท้าเขา สุดท้ายระเบิดเป็นเศษหินกระจายเต็มฟ้า

ฝนตกลงภูเขาแดง ในเส้นขอบฟ้าแคบเล็ก ชายหญิงไถลออกไปหลายสิบจั้งในที่สุดก็หยุดลง

ความคิดแรกของหนิงอี้คือหนี

กระบี่ตารางหนายังอยู่บนที่ราบภูเขาแดง กระบี่นั้นตกลงข้างนอก ตอนนี้เรียกกลับมาไม่ได้ การจะขี่กระบี่บินไป ได้แต่ใช้พินิจเหมันต์ พินิจเหมันต์ไม่มีเชือกสองเส้นนั้น ดังนั้นความเร็วจึงสู้กระบี่ตารางหนาไม่ได้

ไม่มีทางเลือก

หนิงอี้พูดเสียงต่ำ “กอดข้าไว้แน่นๆ”

ตอนนี้ไม่มีเวลามาลังเลแล้ว ปีศาจแดนบูรพานั่นจะมาเมื่อไรไม่รู้ หนิงอี้สูดลมหายใจเข้าลึก การเตือนถึงอันตรายในตันเถียนไม่หายไป ยังคงอยู่…แม้แต่กระบี่เมื่อครู่ยังสังหารหานเยวียไม่ได้หรือ

สวีชิงเยี่ยนกอดเอวเด็กหนุ่ม ตรงเอวสัมผัสมืออุ่นๆ เมื่อตั้งใจสัมผัสดู ใต้ชุดคลุมดำมีเกราะอ่อนแนบติดกับตัวอยู่ เกล็ดเปิดปิดเป็นชั้นๆ บรรจุแสงดาราของหนิงอี้ ยามต่อสู้กับศัตรู เลือดอุ่น ค่ายกลอยู่ข้างใน หายใจช้าๆ เหมือนมีสติปัญญา

กระบี่พุ่งขึ้น ฟันฝ่าขวากหนาม

หนิงอี้เหยียบพินิจเหมันต์ เขาเพ่งมองเส้นทางข้างหน้า เพ่งสมาธิไปที่การขี่กระบี่ บินไปในภูเขาแดงอันมหึมา

เขาไม่รู้จักเส้นทาง แต่ในมุมมองหนิงอี้…บินไปไม่รู้ทิศทางก็ดีกว่าถูกหานเยวียตามทัน

“เลี้ยวซ้าย”

เสียงอบอุ่นแต่ไม่อาจต่อต้านดังขึ้น

หนิงอี้ใจสั่นไหว ปลายกระบี่หันไปทางซ้าย สองคนลากเป็นเส้นโค้ง เฉียดผ่านหินผาสูงชัน กระแทกเศษหินแตก ข้างหน้าเป็นเถาวัลย์ฟาดมาเจ็ดแปดเส้น หนิงอี้ทำปางมือแล้วก็คีบสองนิ้วฟัน ฟันผนึกที่ไม่ถือว่ามากมายพวกนี้ขาด

ราวเจ็ดแปดลมหายใจต่อมา

เด็กสาวพูดครั้งที่สอง “เลี้ยวซ้ายอีก”

หนิงอี้ไม่ลังเลแม้แต่นิด ปลายกระบี่หันไปทางซ้าย ครั้งนี้ชำนาญกว่าครั้งก่อน ระหว่างเลี้ยวไม่ได้โคลงเคลงอะไรมาก จากนั้นเสียงเด็กสาวดังเป็นครั้งที่สาม “เลี้ยวขวา เร็วหน่อย”

“เจ้ารู้ทางรึ” ในที่สุดหนิงอี้ก็พูดด้วยความสงสัย เขาหันกลับมามองเด็กสาว ถึงพบว่าแก้มสวีชิงเยี่ยนบาดเป็นรอยเลือดสามสี่รอย เด็กสาวที่ก้มหน้าลงกอดตนไว้ สองมือมีคราบเลือด บาดเจ็บมาไม่น้อย

“ไม่รู้”

สวีชิงเยี่ยนตอบอย่างตรงไปตรงมา

นางมีสีหน้าจริงจังมาก เหมือนกำลังรวมสมาธิไปกับเรื่องที่สำคัญมากบางอย่างตอนนี้ ดังนั้นนางตอบคำถามหนิงอี้ตามจริง…อีกทั้งยังไม่คิดว่าไม่เหมาะสมอะไร

หลังจากหยุดชะงักไปชั่วครู่ นางเหมือนเข้าใจความเงียบของหนิงอี้

สวีชิงเยี่ยนตรึกตรองอยู่ชั่วครู่ก่อนพูดอย่างจริงจัง “เจ้านั่นที่ตามมานอกภูเขาแดง ข้างในก็มีอีกตัว เก่งมาก เจ้าสู้ไม่ไหว”

หนิงอี้เลิกคิ้วขึ้น เวลานี้เขาตั้งตัวไม่ทันเลย

เจ้านั่นนอกภูเขาแดง

ข้างในยังมีอีกตัวหรือ

อีกตัวคืออะไร

สวีชิงเยี่ยนพลันร้องเสียงดัง “หันกลับ!”

หนิงอี้มีสีหน้าตะลึงงัน

จากนั้นตัวกระบี่สั่นไหว ฝืนหยุดพุ่งไปข้างหน้า

ไกลออกไปราวเจ็ดแปดสิบจั้ง ผนังหินด้านหนึ่งพังทลาย สิ่งที่เอาตัวพุ่งชนหินภูเขาแดงเป็นบุรุษร่างกำยำ ฝุ่นดินฟุ้งกระจาย หลังจากเขามั่นใจในทิศทางของเด็กสาวแล้วก็พุ่งชนมาตลอดทาง มองข้ามผนึก ชนหินผาจนมาถึงกลางเส้นทางภูเขา เหลือเงาแผ่นหลังไว้ครึ่งตัว ตอนนี้หันหน้ามามองทางหนิงอี้ช้าๆ

กลางฝุ่นควันมองเห็นใบหน้าไม่ชัด แต่เห็นเหยี่ยวที่อยู่บนบ่าเขาชัดเจน

หนิงอี้พลันเข้าใจความหมายของสวีชิงเยี่ยน…เจ้านั่นนอกภูเขาแดง ข้างในยังมีอีกตัว หากบอกว่าหานเยวียคือยมราช เจ้านี่ต้องไม่ใช่ผีน้อยแน่

สองคนนี้ต่างมาเอาชีวิต หนิงอี้ได้แต่หัวเราะแห้งๆ ในใจ หลังคารั่วซ้ำยังเจอฝนตกหนักอีก ไม่ได้พบกันมานาน เป็นเรื่องดีเห็นๆ แต่สองปัญหารวมกัน ตอนนี้กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่มากกว่าสาม

ตัวกระบี่พินิจเหมันต์ส่งเสียงร้องดัง พุ่งขึ้นด้านบนอย่างรวดเร็ว

“หนีพ้นหรือไม่” สวีชิงเยี่ยนพูดด้วยความร้อนใจเล็กน้อย

หนิงอี้มองลงไปข้างล่าง

บุรุษคนนั้นกระโดดอยู่กับที่ เหมือนเสือดาวนักล่ารวดเร็ว ฝ่ามือคว้าหน้าผาภูเขาแดงแตก กระโดดถีบไปมาหลายครั้งก็พุ่งขึ้นหน้าผาสูงยิ่ง เหมือนวานรแก่ที่จำศีลในป่าเขาลึกหลายสิบปี การขยับคล่องแคล่วและมีพลัง ชั่วอึดใจเดียวก็พุ่งไปทางหนิงอี้

ลายสีทองอมดำลุกไหม้ขึ้น เขาเปล่งเสียงจากในลำคอ ไม่เหมือนเสียงมนุษย์ แต่เหมือนสัตว์ป่าโบราณมากกว่า

หนิงอี้สูดลมหายใจเข้าลึก “ความเป็นเทพ!”

สวีชิงเยี่ยนหน้าซีดเผือด กอดเอวหนิงอี้ไว้แน่น

เส้นฟ้าดินสีขาว

ยอดปีศาจหนุ่มที่หยุดอยู่กลางสองผนังหินภูเขาแดงมีสีหน้าฉงน ทันทีที่เห็นหนิงอี้หยุดก็เลือกพุ่งออกไปอย่างไม่ลังเลเลย หินผาใต้เท้าแตกเป็นใยแมงมุมยักษ์

คลื่นเสียงลูกใหญ่พุ่งไปในอากาศ

ชักดาบปะทะชักกระบี่

ยอดปีศาจหนุ่มสั่นมือฟันลงไป เจอกับสิ่งกีดขวางมหึมา เขาไม่กล้าเชื่อเลยว่า ‘เสาะหาปฏิปักษ์’ ของตนจะทำลายกระบี่ของมนุษย์นี่ไม่ได้

สองร่างเงายืนกรานกันอยู่กลางอากาศชั่วพริบตาเดียว

ยอดปีศาจหนุ่มที่เร่งรีบชักกระบี่รู้สึกอัดอั้นในอก เขามีสีหน้าสงสัย มองเด็กหนุ่มที่ปะทะดาบกับตนตรงหน้า

หนิงอี้ถือพินิจเหมันต์ด้วยสองมือ ใช้กระบี่ฟาดของหลังเขาสู่ซาน เหมือนเทพเจ้าโบราณเบิกฟ้าผ่าปฐพี กระบี่นี้แฝงความเป็นเทพไว้มหาศาล…น่าเสียดายตอนที่ควบรวมมีเวลาน้อยไปหน่อย เทียบกับกระบี่นั้นที่ใช้บนภูเขาแดงไม่ได้เลย

กระบี่กับดาบปะทะกัน เกิดประกายสายฟ้าและสะเก็ดไฟขึ้น

เกิดเสียงดังสนั่น

แผ่นดินแยก แตกเป็นหลุมยักษ์

ยอดปีศาจหนุ่มที่พุ่งมาจากหลุมอย่างรวดเร็วสะบัดฝุ่นบนตัว หัวไหล่เขาขยับประกายสายฟ้า ‘เสาะหาปฏิปักษ์’ เล่มนั้นถูกฟันจนกระแทกลงไปข้างล่าง ลากตัวเขาลงพื้นดินพร้อมกัน การปะทะกันเมื่อครู่ ต่อให้ตนจะใช้กำลังเพียงเจ็ดส่วน ก็ไม่ควรจะเป็นเช่นนี้เลย…เด็กหนุ่มนี่ดูไม่เหมือนคนมีชื่อเสียงทัดเทียมเฉาหลัน เหตุใดถึงต้านดาบของตนได้

ยอดปีศาจหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเส้นทางภูเขาว่างเปล่า ใบหน้าเขามืดลงเล็กน้อย

“นี่คือที่พึ่งพิงที่เจ้าหามาได้รึ”

เด็กสาวเผ่ามนุษย์นั่น บนเส้นทางก่อนหน้านี้ไม่ได้หลงทางวนไปวนมาเลย แต่ตรงไปในทิศทางที่แน่นอน เจอทางโค้งก็ไม่เลี้ยว ดูท่ามนุษย์สองคนนี้…คงมีสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา

ยอดปีศาจหนุ่มมีสีหน้าเฉยเมย ดึงดาบเรียบเงินอมทองออกมา หรี่ตาลง มองไกลๆ “คู่รักเผ่ามนุษย์คู่นี้กำลังไปทางแดนต้องห้ามบุพกาลหรือ”

เหยี่ยวที่บินกลับมาส่งเสียงร้องยาว ถือว่าขานรับ

“ดีเลย…รอข้าไปถึงตำหนักปราชญ์ปฐม จะได้ถือโอกาสฆ่าพวกเจ้าสองคนด้วย” ยอดปีศาจหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก แขนเขาชาเล็กน้อย กระบี่เมื่อครู่ไม่ได้สร้างบาดแผลให้เขามากนัก เด็กหนุ่มนั่นดูบาดเจ็บไม่น้อย ออกกระบี่นั้นได้น่าจะใช้กลอุบายต้องห้ามบางอย่าง

……

หลังจากแสงเงินจากการปะทะปราณกระบี่สลายไป

คลื่นลมหมุนตลบบนที่ราบนอกภูเขาแดง

หมอกขาวควันขาวกลุ่มใหญ่ลอยขึ้นบนที่ราบ ฝนตกหนัก กระทบหมอกขาว มองเห็นไม่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น

จนเวลาผ่านไปช้าๆ หมอกกับควันบางลงเล็กน้อย

บนที่ราบมีร่องสีดำเหี่ยวเฉายืดยาวไปเกือบร้อยจั้ง จนไปถึงแท่นสูงมรณะอีกด้านของสุดทางที่ราบ ร่องนี้ถึงหยุดลง

หมอกฝุ่นละอองบนแท่นสูงมรณะถูกฝนชโลมดับลง

กลางหินผามีร่างเงาผอมแห้งฝังอยู่ ชุดคลุมใหญ่สีดำรวมขึ้นจากไอชั่วร้าย ตอนนี้สลายไปพอประมาณ ไอชั่วร้ายเป็นเส้นๆ ถูกปราณกระบี่ฟันขาด…กระบี่ตารางหนาเล่มหนึ่งเฉียดแก้มเขา ภายใต้ปราณกระบี่เหนี่ยวนำอย่างรุนแรง ทำให้ครึ่งศีรษะเขาหายไป

เลือดสีแดงแข็งตัวบนผนังหิน เหมือนภาพน้ำมัน ‘กระบี่กระดูกสันหลัง’ เล่มนั้นถูกทำลายไปหลายส่วน กระทั่งบางส่วนถูกแรงปะทะมหาศาลฝังเข้าไปในร่างบุรุษ

หานเยวียครวญครางด้วยความเจ็บปวดในลำคอ

สติเขาหยุดอยู่ในตอนนั้นที่ตนถือกระบี่พุ่งเข้าไป…

พูดให้ถูกคือ ตอนที่หนิงอี้บอก ‘ขอเชิญให้เจ้าไปตาย’ จากนั้นก็เป็นภาพชักกระบี่อย่างเด็ดขาด

ทุกอย่างหลังจากนั้นคือแสงเงินเดือดพล่านไร้ที่สิ้นสุด แรงมหาศาลที่ไม่อาจขวางกั้นเหมือนน้ำหนักของทั้งโลกกระแทกที่ตน แม้แต่กระบี่รากมรณะที่ขวางไว้ข้างหน้ายังไม่อาจต้านแรงมหาศาลนี้ได้ ถูกทำลายลง

นี่เป็นวิชาต้องห้ามระดับใดกัน

มีเสียงร้องดังมาจากหน้าอกหานเยวีย ไอชั่วร้ายห่อหุ้มเศษของกระบี่รากมรณะ ดึงออกมาจาก ‘กายเนื้อ’ ของตนอย่างแรง เศษของกระบี่กระดูกสันหลังแตกก็ยังรวมใหม่ได้ กระบี่รากมรณะต่างจากกระบี่ทั่วไป แต่ความเสียหายครั้งก่อนก็คือเมื่อนานมาแล้ว

หานเยวียกุมแขนข้างหนึ่ง ซวนเซจะล้มลง ไอชั่วร้ายห่อหุ้มกายเนื้อ เขาเหมือนคนชราใกล้สิ้นชีพ เดินโซเซไปบนที่ราบเปลี่ยวร้าง ร่างแห่งเลือดเนื้อเริ่มฟื้นคืน พลังเพิ่มขึ้นทีละนิด…ในความคิดเขาเต็มไปด้วยคำถามที่ไม่เข้าใจ

ด้วยกระบี่เมื่อครู่ของหนิงอี้ โลกนี้จะมีผู้บำเพ็ญขอบเขตที่สิบคนใดต้านได้

เยี่ยหงฝู

หรือว่าเฉาหลัน

หรือจะเป็นยอดปีศาจหนุ่มพวกนั้นใต้ฟ้าเผ่าปีศาจแดนอุดร

หานเยวียพลันรู้สึกว่าหอบัวเมืองหลวงวางเด็กหนุ่มนี่ไว้อันดับหนึ่งรายนามดารา…เป็นการเลือกที่ถูกต้องที่สุด ชนรุ่นหลังเจ้าหรุย ศิษย์น้องสวีจั้ง อาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานคนนี้ มีไพ่ตายเอาตัวรอดเช่นนี้ มากพอจะทำให้เขาสังหารผู้บำเพ็ญรุ่นเดียวกันทั้งหมดในช่วงเวลาสำคัญสุดท้าย

เดินมาถึงปากทางภูเขาแดง พลังของหานเยวียก็รวมกลับมาใหม่ เขาบาดเจ็บสาหัส ร่างนี้ก็แทบจะถึงขั้นเกือบแหลกสลาย แต่ก็ยังรักษาพลังบำเพ็ญขอบเขตที่สิบไว้ได้…

เขามีสีหน้าจริงจัง สูดลมหายใจเข้าลึก นึกไปถึงภาพสุดท้าย พบว่าตนยังไม่อาจเข้าใจคำถามนั้น

หนิงอี้ออกกระบี่นั้นได้ด้วยอะไรกันแน่