ตอนที่ 136 ฉังหนิงจวิ้นจู่ ซิ่วถิงนึกสงสัย (2)

หวนคืนชะตาแค้น

แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้มู่ชิงอีก็คงรับน้ำใจไว้ไม่ได้อยู่ดี ตลอดชีวิตก็หาได้ไม่ น้าหญิงของตนนั้นแซ่จัง นามว่าอันหรู และมีสมญานามว่าฉังหนิง

“คุณหนู ของพวกนี้…” ป้ารับใช้ผู้ดูแลเรือนหลานจื่อเดินขึ้นมาพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม ท่านป้าผู้ดูแลเรือนคนนี้ มู่ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนส่งมา ถึงแม้มู่ชิงอีจะย้ายมาที่เรือนหลานจื่อแล้วแต่กลับไม่ได้กระตือรือร้นมาช่วยจับงานจับการใดๆ ในเรือนหลานจื่อเลย ปกติคนที่เข้าใกล้นางได้ก็มีเพียงจูเอ๋อร์ที่ติดตามมาตั้งแต่ต้น และต่อมาก็มีอิ๋งเอ๋อร์เพิ่มมาอีกคน ท่านป้าผู้ดูแลเรือนผู้นี้อยู่เรือนหลานจื่อไปก็ไม่ได้อะไร อีกทั้งสืบข่าวคราวอะไรก็ไม่ค่อยได้ นับตั้งแต่มู่ชิงอีเสียโฉมก็ไม่ได้เข้ามารับใช้หรือสนใจใยดีอะไรอีก เดิมทีนึกว่าชั่วชีวิตนี้ของคุณหนูสี่จะจบเห่แล้วแต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะมีบุญวาสนาถูกฝ่าบาทแต่งตั้งให้เป็นจวิ้นจู่เช่นนี้ ถึงท่านป้าผู้ดูแลคนนี้จะไม่ได้เจอโลกมาเยอะนัก แต่ความน่าเกรงขามของจวิ้นจู่จวนผิงหนานจวิ้นอ๋องนางเคยเห็นมาบ้าง แม้แต่ท่านโหวหรือมู่ฮูหยินผู้เฒ่าก็ยังต้องยอมให้

มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเรียบ “มอบให้อิ๋งเอ๋อร์จัดการก็ได้แล้ว” อิ๋งเอ๋อร์อยู่กับเฝิงจื่อสุ่ยมาตั้งแต่เด็ก สำหรับวิธีจัดการกับเรื่องพวกนี้คงช่ำชองเป็นอย่างดี นางอมยิ้มกล่าวโดยไม่ต้องไตร่ตรองเลยทันทีว่า “คุณหนูวางใจได้เลยเจ้าค่ะ อิ๋งเอ๋อร์จะจัดการแทนคุณหนูเป็นอย่างดี”

ท่านป้าผู้ดูแลเรือนที่คิดไม่ถึงว่าในเวลาอันสั้นก็เอาของมากมายเช่นนี้โยนให้เด็กสาวที่เพิ่งมาได้ไม่นานก็อดเจ็บใจไม่ได้ รีบเอ่ยเกลี้ยกล่อมว่า “คุณหนูโปรดไตร่ตรองด้วยเถิด ยัยหนูผู้นี้ไหวพริบดีก็จริงแต่อายุยังน้อยนัก แล้วจะเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้เช่นไร…”

มู่ชิงอีหันไปกวาดตามองนางด้วยท่าทีไม่ใส่ใจแวบหนึ่งแล้วกล่าว “คำพูดของข้าเจ้าฟังไม่เข้าใจหรือ”

คำพูดเกลี้ยกล่อมที่ท่านป้าผู้ดูแลอยากกล่าวออกมากลับติดอยู่ในลำคอชั่วขณะ สีหน้าโกรธเกรี้ยวเขียวม่วงสลับไปมาดูไม่ดีนัก มู่ชิงอีไม่ได้สนใจนางอีก หมุนตัวแล้วเดินมุ่งหน้าไปทางเรือนเล็กของตน ทว่าด้านหลังกลับมีเสียงอันน่าประหลาดใจของท่านป้าดังขึ้นว่า “คุณหนูสาม! มู่ฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยิน คุณชายใหญ่ คุณชายรอง…”

มู่ฮูหยินผู้เฒ่ามุ่นคิ้วกล่าว “เกิดอะไรขึ้นหรือ”

ราวกับท่านป้าผู้นั้นหาที่พักพิงได้แล้วเลยรีบพุ่งตัวเข้าไปกล่าวร้องทุกข์ว่า “มู่ฮูหยินผู้เฒ่ารู้หรือไม่ว่าคุณหนูอายุยังน้อยไม่รู้ความอะไร ถึงขนาดจะเอาของมากมายขนาดนี้มอบให้ยัยหนูอิ๋งเอ๋อร์นั่นจัดการ เด็กพวกนี้จะไปเข้าใจอะไรเล่าเจ้าคะ หากเกิดทำหายขึ้นมา บ่าวรับใช้อย่างพวกเราคงให้ความกระจ่างแก่คุณหนูไม่ได้แน่”

อิ๋งเอ๋อร์แค่นเสียงเบายิ้มกล่าว “ป้าเจี่ยง ต่อให้มีของหายพวกข้าก็จะให้ความกระจ่างแก่คุณหนูเอง ท่านจะรีบร้อนไปทำไมกัน”

มู่อวิ๋นหรงก้าวขึ้นมาเหวี่ยงมือหมายจะตบบ้องหูของอิ๋งเอ๋อร์ ทว่าอิ๋งเอ๋อร์ไหวพริบดีมากแล้วจะยอมให้โดนตบเปล่าๆ ได้เช่นไร นางเพียงเบี่ยงหน้าหลบไปด้านข้างแล้วยกมือขึ้นคว้ามือของมู่อวิ๋นหรงไว้ จากนั้นก็เอ่ยพลางยิ้มร่าว่า “คุณหนูสามคิดจะทำอะไรหรือเจ้าคะ มีอะไรก็พูดกันดีๆ มิได้หรือ”

มู่อวิ๋นหรงเอ่ยอย่างเดือดดาล “บ่าวรับใช้อย่างเจ้ากล้าบังอาจไร้มารยาทเช่นนี้ต่อหน้าท่านย่า ข้าจะสั่งสอนกฏระเบียบให้เจ้าเอง!”

อิ๋งเอ๋อร์ยิ้มกล่าว “ลำบากคุณหนูสามแล้ว กฏระเบียบของอิ๋งเอ๋อร์มีคุณหนูของพวกเราคอยสั่งสอน ต่อให้คุณหนูจะตัดขาทิ้งข้าก็ต้องยอม แต่คุณหนูสาม…ไม่ใช่เรื่องของท่านก็อย่าหาเรื่องใส่ตัวเลย การยุ่งเรื่องชาวบ้านไม่สนุกหรอกนะเจ้าคะ” พอพูดจบอิ๋งเอ๋อร์ก็เอามือของมู่อวิ๋นหรงดันไปด้านข้าง จากนั้นก็กระโดดไปอยู่ด้านหลังของมู่ชิงอีพร้อมยิ้มทะเล้น “คุณหนู อิ๋งเอ๋อร์ผิดไปแล้ว โปรดคุณหนูลงโทษด้วยเจ้าค่ะ”

มู่ชิงอีเอานิ้วจิ้มหน้าผากนางอย่างไม่สบอารมณ์แล้วยิ้มบางกล่าว “วุ่นวายจริง”

อิ๋งเอ๋อร์แลบลิ้น ทั้งยังไม่ลืมทำหน้าแลบลิ้นปลิ้นตาใส่มู่อวิ๋นหรงด้วย

เพียงเวลาครู่เดียวสีหน้าของมู่อวิ๋นหรงก็บูดบึ้งถมึงทึงขึ้นมา

ตนเป็นถึงคุณหนูที่ใครๆ ต่างก็รักและเอ็นดูที่สุดในจวนซู่เฉิงโหว ทว่าตอนนี้แม้แต่บ่าวรับใช้ยังกล้ารังแกแล้ว!

“ยัยเด็กบ้าสมควรตาย! ข้าจะฉีกปากของเจ้าเสีย! มู่ชิงอี เจ้ากล้าปกป้องนางหรือ” มู่อวิ๋นหรงก่นด่าด้วยความโกรธ

มู่ชิงอีปรายตาเหลือบมองนางอย่างเกียจคร้านแวบหนึ่ง “ขออภัยด้วย แต่นางขายตัวรับใช้ข้าไม่ใช่จวนซู่เฉิงโหว นางเป็นสาวใช้ของข้า เกรงว่าท่านคงไม่มีสิทธิ์มาฉีกปากของนางได้”

มู่อวิ๋นหรงยิ้มเย็นชากล่าว “ของเจ้าหรือ เจ้าก็ไม่ได้ใช้เงินของจวนซู่เฉิงโหวหรอกหรือ”

มู่ชิงอีขบคิดแล้วอมยิ้มกล่าว “ขออภัยด้วย ข้าใช้เงินสินเดิมของท่านแม่ข้า เงินสินเดิมของท่านแม่…ล้วนเป็นของข้า แต่ไหนแต่ไรมาก็ใช้เงินของข้าเลี้ยงดูคนไร้ประโยชน์อย่างพวกท่านมาโดยตลอด พวกท่านก็เข้าใจกันดีไม่ใช่หรือ”

“มู่ชิงอี! อย่านึกว่าเป็นจวิ้นจู่แล้วจะหยิ่งผยองได้นะ!” มู่อวิ๋นหรงกล่าวด้วยความโมโห จากนั้นก็หมุนตัวไปเอ่ยกับฮูหยินผู้เฒ่าว่า “ท่านย่าดูนางสิเจ้าคะ เพิ่งจะได้ขึ้นเป็นจวิ้นจู่ก็หยิ่งผยองจนเหลิงใหญ่แล้ว เกรงว่าวันหน้าก็คงไม่เห็นท่านย่ากับท่านพ่อในสายตาแล้ว”

มู่ฮูหยินผู้เฒ่าจับจ้องมู่ชิงอีด้วยสีหน้าเยือกเย็นแล้วเอ่ยเสียงขรึมว่า “เจ้าหนูสี่ เจ้าจะพล่ามไปถึงเมื่อไร ต่อให้ท่านพ่อของเจ้าจะทำผิดตรงไหนไปบ้างก็ควรเอาแค่พองามได้แล้วกระมัง”

ครั้นถูกมู่ชิงอีเปิดโปงความจริง ศักดิ์ศรีของมู่ฮูหยินผู้เฒ่าก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป จวนซู่เฉิงโหวเป็นตำแหน่งโหวที่เพิ่งถูกแต่งตั้งขึ้นในรุ่นของมู่ฉังหมิง แต่ก็มีความแตกต่างกับเหล่าโหวที่ถูกแต่งตั้งด้วยคุณงามความดีเช่นกัน ต่อให้เดิมทีคนเหล่านั้นจะมีภูมิหลังที่อ่อนแอ แต่การถูกแต่งตั้งเป็นโหวเพราะคุณงามความดีจะนำพาซึ่งของพระราชทานยิ่งใหญ่ อีกทั้งยังมีของเชลยที่น่าตื่นตาตื่นใจจากการศึกมาด้วยอีกต่างหาก

แต่มู่ฉังหมิงเกิดในยุคสงครามสงบ ถึงแม้จะเคยลงสนามศึกแต่คุณงามความดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาก็คือช่วยชีวิตฮ่องเต้ แน่นอนว่าการช่วยชีวิตฮ่องเต้เป็นคุณงามความดีล้นฟ้า แต่ในเวลานั้นฮ่องเต้แคว้นหวาช่วงวัยเยาว์ยังแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวไม่ได้ หลังจากได้พระราชทานแต่งตั้งขึ้นเป็นโหวก็ใช้เงินส่วนตัวทั้งนั้น ถึงแม้ฮ่องเต้จะปกครองใต้หล้า ทว่าเงินส่วนตัวกับท้องพระคลังอันมากมายจะเอามาพูดรวมกันได้เช่นไร ด้วยเหตุนี้ของพระราชทานให้มู่ฉังหมิงอาจจะดูดีแต่สิ่งที่ใช้ประโยชน์ได้จริงกลับสู้จวนอื่นไม่ได้ด้วยซ้ำ อีกทั้งความแตกต่างมหาศาลที่ได้หลังจากการแต่งตั้งหมาดๆ ก็คือมีอยู่ช่วงหนึ่งต้องใช้เงินราวกับโปรยดินก็ไม่ปาน หากปีนั้นสะใภ้จังไม่ได้หอบเอาสินเดิมเข้าจวนมาด้วยและใจดีช่วยควบคุมการจับจ่ายในจวนโหวให้ เกรงว่าจวนซู่เฉิงโหวคงอับจนเหลือเพียงเปลือกนอกนานแล้ว

ปมในใจของมู่ฮูหยินผู้เฒ่ากับสะใภ้ผู้นี้ก็ก่อขึ้นในเวลานั้น เพิ่งได้มีศักดิ์เป็นฮูหยินยังเสพสุขได้ไม่กี่วัน จู่ๆ ก็มีสะใภ้คนหนึ่งมาควบคุมการใช้จ่ายแล้ว เช่นนี้จะให้มู่ฮูหยินผู้เฒ่าชอบใจได้อย่างไร แต่ต่อให้จะไม่ชอบใจเพียงใดหลายปีที่ผ่านมานางก็ยังคงวางใจใช้เงินของจวนตระกูลจังมาตลอด มีเรื่องหนึ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่รู้ก็คือตอนนั้นสองพี่น้องตระกูลจังแต่งงานเวลาไล่เลี่ยกัน กู้ฮูหยินรู้สถานภาพทางการเงินของคนที่จะแต่งกับน้องสาวเป็นอย่างดีเลยเอาสินเดิมของตนออกมาสามส่วนแล้วใส่ไว้ในสินเดิมของน้องสาว ถึงภายนอกจะมองไม่ออกแต่ตระกูลกู้ก็ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องนี้ ในทางกลับกัน เห็นว่าความสัมพันธ์ของสองพี่น้องของกู้ฮูหยินลึกซึ้งเลยทำเอาท่านอัครมหาเสนาบดีตะกูลกู้ชื่นชมสะใภ้คนนี้มาก ในตอนนั้นเงินสินเดิมของจังฮูหยินเรียกได้ว่ามั่งคั่งอยู่ในอันดับต้นๆ ของเมืองหลวงทีเดียว

“เอาแค่พองามอย่างนั้นหรือ” มู่ชิงอีเอียงศีรษะมองมู่ฮูหยินผู้เฒ่าราวกับได้ยินเรื่องขบขันก็ไม่ปาน “อะไรที่เรียกว่าพองามหรือเจ้าคะ แล้วเหตุใดข้าต้องทำแค่พองามด้วย ใช้เงินของภรรยาคนแรก แล้วคนที่รังแกบุตรของภรรยาคนแรกอย่างนั้นหรือ แล้วทำไมหรือ หากพูดว่าพวกท่านเป็นคนไร้ประโยชน์แล้วผิดงั้นหรือ หลายปีมานี้คนที่เลี้ยงดูพวกท่านก็คือท่านแม่ของข้า พวกท่านคิดว่าตระกูลมู่มีเงินเลี้ยงพวกท่านหรืออย่างไร ตอนที่ท่านแม่ข้ายังอยู่สถานภาพทางการเงินของจวนโหวเป็นเช่นไร แล้วตอนนี้เล่า นึกว่าข้าไม่รู้หรือว่าพวกท่านมาทำไม ก็คงอยากได้ของพวกนี้ จะบอกให้ว่า…แม้ข้าจะเผาพวกมันทิ้งพวกท่านก็อย่าได้คิดว่าจะเอาอะไรไปได้สักอย่าง พวกคนไร้ประโยชน์!”

ตอนต่อไป