ตอนที่ 153 (2) อะไรอีกล่ะเนี่ย
ในร้านกาแฟซึ่งตั้งอยู่ห่างจากธันเดอร์เอนเตอร์เทนเมนต์มากพอควร หลัวฉีถลึงตาใส่นักแต่งเนื้อเพลงตรงหน้า “ทางเซี่ยนอวี๋ว่ายังไง”
นักแต่งเนื้อเพลงส่ายหน้า
เขาเป็นหนึ่งในสามนักแต่งเพลงที่ไปสตาร์ไลท์มิวสิกในวันนี้ หลัวฉีให้เขาไปสืบความแล้วมารายงาน “เซี่ยนอวี๋คนนี้หยิ่งมากเลยครับ ปฏิเสธนักแต่งเนื้อเพลงอย่างเราตรงๆ เลย บอกว่าอยากเขียนเนื้อเพลงเอง”
“เขารู้ภาษาฉี?”
หลัวฉีกล่าวด้วยความตกใจ
นักแต่งเพลงเบ้ปาก “ก็แค่รู้แบบงูๆ ปลาๆ พูดติดๆ ขัดๆ เขาใช้ภาษาฉีสนทนาในชีวิตประจำวันกับคนที่นี่ก็พอจะถูๆ ไถๆ ไปได้อยู่หรอกครับ แต่ความรู้ระดับนี้จะให้เขียนเนื้อเพลงภาษาฉีน่ะเหรอ ฝันไปเถอะ แต่เขาก็ปฏิเสธพวกเราแล้ว พวกเราทำได้แค่รอเขาเขียนเนื้อเพลงเสร็จแล้วค่อยดูว่าจะแก้ยังไง ไม่แน่อาจทำพังไปเลยก็ได้ครับ ถึงยังไงตอนนั้นสีหน้าของหวงต๋าก็ไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่”
“ดี!”
หลัวฉีแทบปรบมือด้วยความกระหยิ่มใจ ทันใดนั้นก็พลันรู้สึกว่าปฏิกิริยาของตนชัดเจนเกินไป จึงรีบหุบยิ้ม “ดูท่าฟ่านหลงเหอจะเลือกเพื่อนร่วมทีมที่พึ่งพาไม่ได้มาซะแล้วสิ มีเวลาอีกแค่หนึ่งเดือน ตอนนี้อีกฝ่ายคงไม่อยากแม้แต่จะเขียนเนื้อเพลง ออเดอร์นี้จะไปสำเร็จได้ยังไง”
นักแต่งเนื้อเพลงส่ายหน้า
และอีกด้านหนึ่ง ฟ่านหลงเหอเองก็พบกับหวงต๋าซึ่งเป็นนักแต่งเนื้อเพลงอีกคนหนึ่ง ทว่าหลังจากที่เขาได้ฟังหวงต๋าสาธยายเรื่องราวด้วยความเดือดดาล ว่าวันนี้เซี่ยนอวี๋ปฏิเสธพวกหวงต๋า สีหน้าก็นิ่งค้างไปในชั่วพริบตา
“ไม่ใช่ว่าผมไม่ช่วยนะครับ”
หวงต๋ากล่าว “เป็นเขาที่ไม่ให้ความร่วมมือเอง”
ในความคิดของหวงต๋า ถ้าเซี่ยนอวี๋ไม่ได้มีความสามารถ ก็อย่าดันทุรังทำจะดีกว่า
นักแต่งเพลงจำนวนมากมีปัญหาแบบเดียวกัน
ชอบทำทั้งเนื้อร้องและทำนองด้วยตนเอง
ถ้าหากเป็นเพลงภาษากลางก็ว่าไปอย่าง เนื้อเพลงปลายักษ์ได้ทำให้ผู้คนประจักษ์ในความสามารถการเขียนเนื้อเพลงของเซี่ยนอวี๋แล้ว แต่ครั้งนี้ดันเป็นภาษาฉีนี่สิ
คนที่มีความรู้ภาษาฉีเท่าหางอึ่งจะไปเขียนได้ยังไง
ฟ่านหลงเหอยิ้มขื่น “ถึงจะเป็นแบบนั้น ก็รอทำนองเพลงออกมาก่อนแล้วกันครับ ถ้าเนื้อเพลงใช้ไม่ได้จริงๆ ก็ต้องเชิญอาจารย์หวงไปช่วยแก้สักหน่อย เรื่องนี้ผมจะไปโน้มน้าวเขาเองครับ”
“ผมจะพยายาม”
หวงต๋าลุกขึ้นยืน ก่อนจะหันหลังมาเตือนประโยคหนึ่ง “ถ้าเขาส่งเพลงมาช้าเกินไป ต่อให้เป็นผมก็ไม่มีทางเขียนเพลงดีๆ ออกมาได้ในระยะเวลาอันสั้นหรอกนะครัย จุดนี้หวังว่ารองหัวหน้าฟ่านจะเข้าใจ”
“เข้าใจครับ”
ฟ่านหลงเหอฝืนเค้นรอยยิ้มออกมา
เมื่อหวงต๋าออกไป สีหน้าของฟ่านหลงเหอก็จนใจขึ้นมา
ถึงแม้จะไม่อยากยอมรับ แต่เขาก็รู้สึกราวกับเห็นแล้วว่าตราชั่งแห่งชัยชนะได้เอียงไปหาหลัวฉีเรื่อยๆ แล้ว
ความหวังเดียวในตอนนี้ของเขาก็คือ เพลงของเซี่ยนอวี๋ดีมากพอ
ดีถึงขั้นที่ต่อให้เนื้อเพลงจะด้อยไปสักหน่อยก็ไม่เป็นไร
ถึงอย่างไรเวลาก็สั้นจริงๆ
เวลาน้อยนิดแค่นี้ ไม่ว่าจะด้านการประพันธ์เนื้อเพลง หรือด้านการประพันธ์ทำนองเพลง ก็ล้วนเป็นบททดสอบอันยิ่งใหญ่
แถมในแผนกตอนนี้ก็ดันมีสายตาจับจ้องมาตั้งไม่รู้กี่คู่
ถ้าหากครั้งนี้ตนพ่ายแพ้ให้หลัวฉี ในอนาคตอย่างน้อยในหนึ่งปีนี้ ตนก็จะถูกตัดขาดออกจากการตัดสินใจในเรื่องสำคัญของแผนก
“ความหวังริบหรี่ลงทุกที”
ฟ่านหลงเหอหยัดกายลุกขึ้นยืน รู้สึกเพียงว่าแม้เหนือศีรษะจะไม่ได้มีดวงอาทิตย์ส่องแสงแผดเผา แต่ก็ยังส่องสว่างจนพานให้ปวดเศียรเวียนเกล้า
สิ่งที่ทำให้เขายังคงดึงดันไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ก็คงจะเป็นวันเวลาของเดือนนี้ที่ลดลงไปทีละวันๆ
……
เวลาของเดือนนี้นับถอยหลังลงทีละวันจริง
โดยเฉพาะกับฟ่านหลงเหอและสตาร์ไลท์มิวสิก ความกดดันค่อยๆ โอบล้อมเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว
มีเพียงตัวละครหลักอย่างหลินเยวียน ที่ไม่ว่าจะเรียนหรือทำงาน ก็ยังอยู่ในสภาพเดิมเฉกเช่นที่ผ่านมา
กู้ตงหมดหวังไปเป็นที่เรียบร้อย
โดยเฉพาะหลังจากที่เธอได้เห็นภาพของหลินเยวียนทำเรื่องอื่นในเวลางาน
แต่เธอก็บอกสิ่งที่เธอคิดกับกู้เฉียงอวิ้นเพียงคนเดียว ไม่ได้นำเรื่องในใจไปเล่าให้คนอื่นในบริษัทฟัง
เธอไม่อย่างทำลายขวัญกำลังใจของเหล่ากำลังพล
ส่วนกู้เฉียงอวิ้นกลับไม่ยอมแพ้ เขายังคงยืนหยัดในความคิดที่ว่า ‘หลินเยวียนกำลังหาแรงบันดาลใจ’
แต่หากถามว่ากู้เฉียงอวิ้นเชื่อมั่นในความคิดนี้มากแค่ไหน แม้แต่กู้เฉียงอวิ้นเองก็ยังตอบไม่ได้
เขาเพียงแค่ไม่กล้าคิดไปในทางเดียวกับกู้ตง นี่เป็นประสบการณ์และความรู้สึกที่สั่งสมจากการดูแลบริษัทย่อยมานานหลายปี
ก่อนที่จะเผชิญกับหายนะ ทางที่ดีควรมองโลกในแง่ดีเข้าไว้
จะตายไปท่ามกลางความทรมาน หรือจะตายไปท่ามกลางความหวัง ความรู้สึกเจ็บปวดก็ไม่ได้แตกต่างกันสักเท่าไหร่
แต่ถึงอย่างนั้นแล้ว
ยามที่ปลายเดือนใกล้เข้ามา เส้นตายบีบคั้นเข้ามาเรื่อยๆ ในที่สุดกู้เฉียงอวิ้นก็ไม่อาจคงสภาวะปิดหูปิดตาไม่รับรู้ได้อีกต่อไป
สิ่งที่จะเกิด ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเกิด!
ท้ายที่สุดเขาก็รวบรวมความกล้า พากู้ตงไปเคาะประตูห้องของหลินเยวียน
“เชิญครับ”
เสียงคงหลินเยวียนสุขุมเยือกเย็นดังเดิม สุขุมเยือกเย็นราวกับว่าเขาเป็นคนที่ไม่ได้เห็นออเดอร์ราคาสามล้านหยวนเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร สุขุมเยือกเย็นถึงขั้นที่เขาแลดูประหนึ่งลืมไปแล้วว่าตนยังมีภารกิจยังทำไม่สำเร็จ
ในตอนนั้น กู้เฉียงอวิ้นถึงขั้นรู้สึกนับถืออยู่บ้าง!
วิกฤตกำลังเข้าประชิดตัว แต่กลับไม่สะทกสะท้าน ตัวแทนหลินนี่สิถึงจะเรียกว่าทำการใหญ่ใจต้องนิ่งของจริง!
ถ้าหากไปอยู่ในสมัยโบราณ คนประเภทนี้ต่อให้ถูกผลักให้ไปอยู่กลางลานประหาร สีหน้าก็คงไม่ได้เปลี่ยนอะไร
เมื่อเทียบกับตนที่อยู่ในสภาวะปิดหูปิดตาหลอกลวงตนเอง ตัวแทนหลินย่อมนับว่าแข็งแกร่งกว่าอีกขั้น
เขาลงมือชงชาให้หลินเยวียน จากนั้นก็เอ่ยด้วยสีหน้าหดหู่ “ตัวแทนหลิน เราเหลือเวลาไม่มากแล้วนะครับ…”
“วันนี้วันที่เท่าไหร่นะครับ”
ช่วงนี้หลินเยวียนยุ่งอยู่กับการพิมพ์นิยาย ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท ถึงอย่างไรทุกวันทำงานเขาก็ต้องมาที่ออฟฟิศ กู้ตงเร่งเร้าในตอนแรกๆ หลังจากนั้นก็ไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก
วันนี้วันที่เท่าไหร่?
กู้ตงมองกู้เฉียงอวิ้นเงียบๆ ด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจ
กู้เฉียงอวิ้นแทบลมจับ ทำใจอยู่นานกว่าจะยอมรับความจริงที่ว่าหลินเยวียนจำวันที่ไม่ได้ด้วยซ้ำ “วันที่ยี่สิบหก กันยายน”
หลินเยวียนใจกระตุกวูบ
ใกล้ถึงเวลาแล้ว
กู้เฉียงอวิ้นพูดว่า “ตัวแทนหลินครับ ที่ผ่านมาพวกเราไม่ได้ถามความคืบหน้าของงาน เพราะกลัวว่าจะไปรบกวนจิตใจคุณ ตอนนี้เวลาเราเหลือไม่มากจริงๆ ต่อให้ต้องจู้จี้ไปสักหน่อย ผมก็จำเป็นต้องพูด คุณเอาเพลงออกมาเถอะครับ ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี อย่างน้อยก็จะได้ทำให้ธันเดอร์มิวสิกเห็นท่าทีของเรา ผมพูดมากขนาดนี้หวังว่าคุณจะไม่คิดรำคาญนะครับ…”
เขาพึมพำอยู่หลายนาที
หลินเยวียนไม่ตอบ แต่สีหน้าขุ่นเคืองนั้นไม่อาจถูกซ่อนงำภายใต้ใบหน้าหล่อๆ ของเขา กู้เฉียงอวิ้นพอจะอ่านออกเป็นคำว่า
น่ารำคาญ
แน่นอนว่ากู้เฉียงอวิ้นเข้าใจผิดไป หลินเยวียนไม่ได้รู้สึกรำคาญกู้เฉียงอวิ้น แต่กลับรู้สึกขอบคุณอีกฝ่ายที่เตือนความจำเขาเรื่องหนึ่งว่า
“รับออเดอร์ใหม่ได้เลยครับ”
สีหน้าของกู้เฉียงอวิ้นพลันกลายเป็นตื่นเต้นในชั่วพริบตา เขาอ้าปากค้าง นิ่งอึ้งอยู่นานกว่าจะเอ่ยว่า “ไม่มีผลงานจะส่งเหรอครับ”
ส่งงานมาหน่อยก็ได้ล่ะมั้ง
แม้แต่เดโมก็ไม่ทำ นี่มันไม่มากไปหน่อยหรือ
ถ้ารู้แต่แรกคงให้คนในแผนกประพันธ์เพลงลองเขียนสักหน่อย อย่างน้อยก็จะมีงานให้ธันเดอร์เอนเตอร์เทนเมนต์เห็นว่าพวกเราไม่ได้ไม่พยายาม แต่ความจริงแล้วไม่มีความสามารถมากพอ
หลินเยวียนเงยหน้ามองกู้เฉียงอวิ้น “ทำเสร็จแล้วครับ”
สารระบบความคิดของกู้เฉียงอวิ้นถูกตัดขาดอย่างสิ้นเชิง
เขาหลุดปากเอ่ยถามไปประโยคหนึ่ง “อะไรนะ”
ส่วนกู้ตงก็มองหลินเยวียนด้วยความสับสน ในใจเกิดคำถามประเดประดังมากมาย
อะไรอีกล่ะเนี่ย
คำพูดนี้ก่อนหน้านี้เคยพูดไปแล้วไม่ใช่เหรอ
ฉันย้อนเวลากลับไปวันนั้นที่ตัวแทนหลินมาที่บริษัท
แต่ฉันจำเลขล็อตเตอรี่ไม่ได้ สวรรค์ให้โอกาสฉันครั้งหนึ่ง จะให้ไปหยุดยั้งออเดอร์ของธันเดอร์เอนเตอร์เทนเมนต์ใช่ไหมนะ
ไม่สิ ไม่สิ…
วันนั้นตัวแทนหลินเหมือนจะเขียนสี่คำลงไปในกลุ่ม วันนี้กลับพูดต่อหน้า ฉันน่าจะไม่ได้ย้อนเวลาหรือเกิดใหม่สินะ
แต่ว่าครั้งก่อน เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากที่ตัวแทนหลินพูดจบ…
ลมหายใจของกู้ตงถี่กระชั้นขึ้นมา!
เห็นได้ชัดว่ากู้เฉียงอวิ้นก็ตระหนักบางอย่างได้
ในชั่วขณะนั้น สีหน้าของเขาราวกับอยู่ในภาพยนตร์สโลว์โมชัน ปากของเขาค่อยๆ อ้ากว้าง ดวงตาเบิกโต เผยให้เห็นรอยย่นบนหน้าที่เห็นได้ชัดอยู่แต่เดิมแล้ว
………………………………………….