บทที่ 163 ข้าไม่สนใจคนไร้สมอง

ระบบวายร้ายแห่งโชคชะตา

บทที่ 163 ข้าไม่สนใจคนไร้สมอง

บทที่ 163 ข้าไม่สนใจคนไร้สมอง

ในที่สุดเสียงตะโกนของเสวียนหลีก็หยุดลง ทุกคนจึงละสายตาไป

ยามนี้เสวียนเทียนชวนมีร่างกายอ่อนแอ เขาไอสองสามครั้งก่อนพิงพนักรถเข็น “ในเมื่อผู้อาวุโสอยู่ที่นี่ ทำไมต้องหลบซ่อนด้วย?”

ร่างที่อยู่ไกลออกไปกางมือขนาดใหญ่ออก ก่อนจะออกแรงบีบ

แสงดวงดาวเจิดจ้าดับลงทันที ร่างดังกล่าวปรากฏขึ้นในที่สุด เป็นอวี๋ฉู่ที่มาเยือน

ตอนผู้มาใหม่ปรากฏตัวขึ้น ทุกคนนอกจากลู่หยวนต่างพากันตกตะลึง

ไม่เว้นแม้แต่เสวียนเทียนชวนผู้ชะงักงันไป

ตั้งแต่ก้าวเข้ามาที่นี่ เขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของยอดฝีมืออยู่ใกล้ ๆ แต่มันไม่ใช่ของผู้อาวุโสจากสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ จนชายบนรถเข็นไม่มั่นใจนักว่ามาจากแขกผู้มีเกียรติที่เดินผ่านที่นี่หรือไม่

แต่ตอนเสวียนหลีโจมตีบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ แม้กระทั่งตอนที่ลงมือ สายตาของยอดฝีมือปริศนายังจับจ้องมาที่นี่ตลอด เขาถึงขั้นมุ่งความสนใจมาที่นางเพียงคนเดียวด้วยซ้ำ

นั่นทำให้ศิษย์พี่ใหญ่สำนักบรรพชนเสวียนทราบดีว่า อีกฝ่ายตั้งใจมาปกป้องลู่หยวน!

หากต่อสู้เพียงลำพัง บุตรศักดิ์สิทธิ์ยังเป็นเพียงเทียมเซียน ถึงแม้ชื่อเสียงเรื่องการทำลายบันไดสวรรค์สิบขั้นจะดังกระฉ่อน แต่อาจจะเป็นเพราะพึ่งสมบัติศักดิ์สิทธิ์ก็ได้

ส่วนเสวียนหลีใช้ฐานการบ่มเพาะที่แท้จริง ตอนนี้นางก้าวเข้าสู่ขั้นเทียมเทพ หากเผชิญหน้ากับเขาย่อมมีโอกาสชนะ ทว่าหากมียอดฝีมือเช่นนั้นอยู่ที่นี่ ย่อมไม่สามารถทำร้ายศัตรูในวันนี้ได้อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ถึงพี่ใหญ่ของสำนักบรรพชนเสวียนจะคิดเช่นนั้น แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่า ยอดฝีมือที่ซ่อนอยู่จะเป็นถึงอดีตเจ้าสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ อวี๋ฉู่!

เสวียนเทียนชวนเป็นคนแรกที่ตอบสนอง เขายืดหลังตรง เผยสีหน้าจริงจัง ก่อนเอ่ยคำนับ “คารวะเจ้าสำนัก!”

คนที่เหลือตอบสนองเช่นกัน พวกเขาพากันทำความเคารพยอดฝีมือคนแล้วคนเล่า

อวี๋ฉู่ยืนเอามือไพล่หลัง สายตาชำเลืองมองมาที่ลู่หยวน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะคารวะ เขาก็กระแอมไอ ยกมือขึ้น สร้างแรงกระเพื่อมช่วยพยุงทุกคนขึ้นมา

เมื่อเสวียนเทียนชวนลุกขึ้นได้ก็เอ่ยถามตามตรง “ขอบังอาจถามเจ้าสำนัก ท่านรู้หรือว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่?”

ดวงตาของผู้ถามร้อนผ่าวจ้องตรงไปที่อีกฝ่ายอย่างรอคำตอบ ในใจเขาแทบจะสรุปได้ว่า อวี๋ฉู่กำลังปกป้องลู่หยวน! ถึงกระนั้นก็ไม่ทราบอยู่ดีว่าทำไมผู้เป็นอดีตเจ้าสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ถึงทำเช่นนี้

แต่ถ้าข่าวในวันนี้แพร่งพรายออกไป นอกจากประกาศิตแห่งความเป็นความตายจากการแข่งขันภายในแล้ว บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ย่อมไม่สามารถถูกฆ่าโดยง่ายแน่

อวี๋ฉู่อับอาย ตามข้อตกลง เขาต้องปกป้องเป็นผู้พิทักษ์ให้บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ในเงามืด ด้วยรากฐานการบ่มเพาะของเขา คู่ต่อสู้ย่อมไม่สังเกตเห็น ไม่คาดคิดมาก่อนว่าเสวียนเทียนชวนผู้ฝึกฝนวิถีเร้นลับจะพบร่องรอยไวขนาดนี้

ส่วนหนึ่งเป็นความผิดของเขา เพราะแค่ยืนเฉย ๆ พระพุทธองค์เพียงใช้กลิ่นอายปิดบังเท่านั้น ไม่ได้ระวังมากนัก จึงง่ายที่อีกฝ่ายจะตรวจจับได้

“แค่ก ๆๆ”

อดีตเจ้าสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ยืดหลังตรง วางท่าให้เหมือนกับผู้อาวุโส ชำเลืองมองลู่หยวน จากนั้นกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ข้า ออกมาเดินเล่นน่ะ”

เขาจะไม่มีวันยอมรับว่าตนเองเป็นผู้พิทักษ์ของลู่หยวนเด็ดขาด!

พี่ใหญ่แห่งสำนักบรรพชนเสวียนหรี่ตา เมื่อครู่คู่สนทนาชำเลืองมองชายหนุ่ม เขาจึงมั่นใจว่า อีกฝ่ายได้รับการปกป้องจากยอดฝีมือลี้ลับผู้หนึ่ง

ผ่านไปนานพอดู เสวียเทียนชวนก็ลืมตาขึ้นก่อนจะตัดสินใจได้ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก คลายแรงกดดันที่กดข่มเสวียนหลี แล้วพานางมายืนขนาบข้าง

เขายกมือขึ้นคารวะชายหนุ่ม “เสวียนหลีทำให้บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ไม่พอใจเมื่อครู่ ข้าขอโทษแทนแล้ว หวังว่าท่านจะไม่กล่าวโทษนาง”

ลู่หยวนยืนอยู่ข้างเสวียนเทียนชวน ถึงแม้อีกฝ่ายจะขอโทษด้วยความเคารพ แต่หลังของเขายังคงตั้งตรงไม่โค้งงอแต่อย่างใด ดวงตาก็ใสกระจ่าง ปราศจากความสั่นคลอน

คนแบบนี้รับมือยากที่สุด

ชายหนุ่มพลันคิดถึงหลี่เจียงหนาน สองคนนี้เหมือนกันไม่มีผิด เขาเป็นพวกเจ้าแผนการ ภายใต้ใบหน้าที่กำลังยิ้มแย้ม เกรงว่าคงมีแรงจูงใจนับพันซ่อนอยู่เป็นแน่

แต่เห็นได้ชัดว่าชายผู้นี้แข็งแกร่งแถมยังมีความยับยั้งชั่งใจมากกว่า

อีกทั้งหลี่เจียงหนานก็เป็นเพียงคุณชายจากแดนเหนือคนหนึ่งเท่านั้น ในแผ่นดินหยวนหง ผู้มีสถานะคล้ายกับหลี่เจียงหนานมีจำนวนไม่มากนัก

ถึงแม้จะได้รับประโยชน์จากสถานะนี้ แต่สิทธิรวมถึงทรัพยากรที่ได้รับนั้นช่างน้อยจนน่าเวทนา

นี่ยังเป็นการกำหนดอีกว่า หลี่เจียงหนานมีโชคชะตาที่จะสร้างวาสนาครั้งใหญ่ด้วยจิตใจอันดีงาม

เพราะพละกำลังอ่อนแอ เขาจึงถูกบังคับให้ทำความเข้าใจกับธรรมชาติของมนุษย์อย่างดีที่สุดเพื่อพยายามนำกองกำลังรอบข้างทั้งหมดมาอยู่เคียงกาย

ทว่าชายตรงหน้าเขาต่างออกไปมาก เขาคือศิษย์ของบรรพชนเสวียน เป็นพี่ใหญ่ของยอดเขาเสวียน เป็นตัวตนที่ศิษย์ทั่วทั้งสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ไม่กล้าดูหมิ่น

ถึงแม้ขาของเขาจะใช้การไม่ได้ แต่มองปราดเดียวก็เข้าใจทันทีว่า ผ้าเสี่ยงทายที่อยู่บนตักไม่ใช่ของธรรมดา อย่างน้อยก็เป็นของระดับจักรพรรดิ

คนอย่างเขา จะมองสถานการณ์ในภาพรวม

ความรัก ความเกลียด ความรู้สึกและความเป็นศัตรู ไม่ใช่สิ่งสำคัญในสายตาของคนแบบนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือผลประโยชน์ที่จะได้รับต่างหาก

เหมือนอย่างเมื่อครู่ ตอนอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น เขาถึงกับทำความเคารพลู่หยวน กลุ่มศิษย์ที่อยู่รอบข้างเห็นดังนั้น สายตาของพวกเขาก็ลุกเป็นไฟ แต่กลับถูกเสวียนเทียนชวนจับไว้แน่น ทำให้ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ จึงทำได้เพียงมองพี่ใหญ่ทำความเคารพจากใจจริง!

หลังจากทำความเคารพแล้ว เขาก็ยืนตระหง่านด้วยสายตาไม่สั่นคลอน

ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ผู้รับการคารวะยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม …แบบนี้ชักจะน่าสนใจแล้วสิ

การโต้เถียงกับเด็กไร้วาสนาและสมองกลวงตลอดทั้งวันชวนให้น่าเบื่อยิ่งนัก แต่ถ้าเป็นคนฉลาดเช่นนี้จะต้องสนุกอย่างแน่นอน

“ไม่มีปัญหา”

บุตรศักดิ์สิทธิ์คลี่ยิ้ม เขาชำเลืองมองสตรีที่จ้องจะฆ่ากันเมื่อครู่ จากนั้นกล่าว “ข้าไม่สนใจคนทรวงอกใหญ่ไร้สมองน่ะ”

เสวียนหลีผู้อยู่ไม่ไกลกำลังจมอยู่ในอารมณ์ซับซ้อน เพราะเสวียนเทียนชวนขอโทษลู่หยวนเรื่องที่นางก่อ พอได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนี้ ในใจก็อัดแน่นไปด้วยเปลวเพลิง

“เจ้าหนู เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ?!”

คนโดนหาเรื่องเกียจคร้านเกินกว่าจะให้ความสนใจสตรีไร้สมองตรงหน้า เขาเพียงยืนเอามือไพล่หลัง กล่าวกับอวี๋ฉู่ผู้อยู่ด้านข้าง “ไปที่ยอดเขาด้วยกันเถอะ”

อีกฝ่ายส่งเสียงอืมตอบรับ ก่อนจากไปพร้อมกัน

พี่ใหญ่สำนักบรรพชนเสวียนคลายพลังออกทำให้เสวียนหลีเป็นอิสระ เขาระงับโทสะเอาไว้ไม่ไล่ตามต่อ ก่อนจะชี้นิ้วไปที่รถเข็น ทุกท่วงท่ามั่นคงสะท้านจิตใจผู้คนจำนวนมาก

พวกเขาชำเลืองมองชายบนรถเข็นอย่างละเอียด เห็นเพียงแค่สีหน้าที่บึ้งตึงของอีกฝ่าย ถึงแม้ความใจดีจะยังไม่หายไปจากใบหน้า แต่แววตาของเขาก็เริ่มให้ความรู้สึกเย็นชา

ตามนิสัยของพี่ใหญ่แล้ว เมื่อคนส่วนใหญ่มอบความห่วงใยให้ในตอนนี้ มันอาจจะกลายเป็นการกระทำที่เปล่าประโยชน์!

ผ่านไปครู่หนึ่ง เสวียนเทียนชวนนั่งลง หลับตา จากนั้นกล่าว “กลับยอดเขาเสวียน ข้าอยากทำนายอะไรสักหน่อย”

เสวียนหลีย่อมรู้ว่าเขาต้องการจะสรุปอะไร นางจึงพึมพำ “เรื่องสู้กับลู่หยวน อย่างไรข้าก็ชนะอยู่แล้ว ยังต้องทำนายอะไรอีก?”

คนถูกถามไม่ลืมตา “ข้าไม่เคยทำนายถึงชะตาชีวิต แค่จะทำนายตัวแปรเสียหน่อย”

“ไปกันเถอะ”