บทที่ 159 เอาชนะใจหนุ่มน้อย

เมื่อมองเข้าไปในดวงตาสีดำขนาดใหญ่ของเด็กหนุ่มแล้ว มันยังคงฉายแววลังเลขี้อายอยู่ชัดเจนนัก

ชิงอวี่ยิ้มอ่อนโยนพลางกล่าว“จะกลัวอะไรเล่า? เจ้าหน้าตาหล่อเหลากว่าคนอื่น ๆ มาก รอยบนหน้าเจ้าเป็นสัญลักษณ์แสดงพลังวิญญาณที่มีมาแต่กำเนิด เจ้าควรจะภูมิใจกับมันต่างหาก!”

ทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็ตกตะลึง ร่างแข็งค้างไป ใบหน้าขาวพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงลามไปจนถึงใบหูด้วยความเร็ว

นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนไม่คิดดูถูกหน้าตาเขา แต่กลับเอ่ยชมว่าเขาดูดี

แม้แต่อสูรวิญญาณที่ถูกผูกสัญญาไว้ในร่างของเขาก็ยังรู้สึกดีใจมากจนห้ามใจไม่ให้กระโจนออกจากร่างของเด็กชายแทบไม่ได้

เมื่อเด็กสาวใบหน้าคล้ายตุ๊กตาที่อยู่ด้านข้างเห็นเข้าก็ยกยิ้มเยาะเย้ยขึ้น “เสียสติไปแล้วกระมัง! เหตุใดจู่ ๆ นางจึงไปเอาใจเจ้าใบ้ตัวน้อยแบบนั้น? ไม่เข้าใจเลยว่านางคิดอะไรอยู่”

ชายหนุ่มร่างผอมสูงพลันดึงแขนเสื้อนาง ส่งสัญญาณไม่ให้นางพูดมาก เด็กสาวเป็นคนที่พี่ใหญ่โปรดปราน หากล่วงเกินเข้าคงไม่มีอะไรดี

ชิงอวี่ดูเหมือนจะชอบเด็กน้อยขี้อายคนนี้มาก เอ่ยคำหลายคำกับเขา สุดท้ายเมื่อชิงอวี่ยื่นมือออกไป หมายจะสัมผัสรอยบนใบหน้าอีกฝ่าย เด็กชายกลับตกใจนัก รีบถอยไปหลายก้าวราวกับกลัวว่านางจะแตะโดน ใบหน้าเขาซีดขาว พลันเอ่ยขึ้นอย่างกระดากอาย “เจ้า… .. ห้ามแตะตัวข้า… .. ”

“ทำไมเล่า?” ชิงอวี่ถามเสียงฉงน

สีหน้าเด็กชายกลายเป็นเศร้าโศก จากนั้นเอ่ยขึ้นว่า “ข้าควบคุมพลังไม่ได้… .. จะทำเจ้ากลายเป็นตัวประหลาดไป… .. ”

เขาเป็นศิษย์ที่จืดจางที่สุดในภาควิชาพิเศษ ไม่มีใครกล้าพูดคุยกับเขา เขาเองก็พยายามไม่ปรากฏสู่สายตาใคร ไม่อยากให้ใครเห็น เขาไม่อยากเผลอทำเรื่องที่ไม่อาจแก้ไขได้ลงไปเพราะเขาไม่อาจคุมพลังตนเองได้

เพราะแม้แต่ตัวเขาเองยังไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนสัตว์ประหลาดที่เขาสร้างขึ้นให้กลับเป็นเหมือนเดิมอย่างไร

มีเพียงพี่ใหญ่ที่เข้าใกล้เขาได้และยังอยู่รอดปลอดภัย แม้ว่าพี่ใหญ่จะคอยปลอบใจเขามาตลอด แต่เขาก็ยังไม่ลืมว่าตนเคยเปลี่ยนคนให้กลายเป็นต้นไม้

ดูเหมือนเด็กน้อยจะกลับเข้าไปอยู่ในเปลือกที่ใช้ซ่อนตัวแล้ว ไม่เพียงแต่ปกป้องคนอื่น ๆ จากเขา แต่เพื่อปกป้องตนเองด้วย เขากลัวว่าจะทำร้ายคนอื่น แต่กลัวว่าคนอื่นอาจจะมาทำร้ายเขามากกว่า

ชิงอวี่ถอนหายใจ พยายามเผยท่าทีเป็นมิตรให้ได้มากที่สุด น้ำเสียงนางอ่อนโยนเป็นพิเศษยามเอ่ย “เจ้าชื่ออะไรหรือ?”

ดวงตาของเด็กหนุ่มเป็นประกายแวววาวดูระแวดระวัง กว่าชั่วอึดใจเขาจึงเอ่ยปากพูดคำสั้น ๆ สองคำ “ซิงถง” (ซิงถง เแปลว่าดวงตาประกายดารา)

ทุกคนที่นี่มักเรียกเขาว่าเจ้าใบ้น้อย ไม่มีใครรู้จักชื่อเขาเพราะไม่มีใครเคยถาม

แม่นางคนงามผู้นี้เป็นคนแรกที่เอ่ยถามชื่อเขา

แต่ในชั่วพริบตาถัดมา เด็กสาวท่าทางเป็นมิตรที่ทำให้เขารู้สึกวางใจจนกล้าคุยด้วยก็ทำเรื่องน่าตกใจ

ทันใดนั้น ชิงอวี่ก็เอื้อมมือไปประคองแก้มเด็กน้อยไว้ ก่อนเผยรอยยิ้มงามกว่าบุปผาใดพลางเอ่ยคำ “ชื่อนี้เหมาะกับเจ้ามาก ฟังดูไพเราะงดงามราวกับดวงตาของเจ้า”

ซิงถงตะลึงงันไม่ขยับเขยื้อนร่างกายแม้เพียงนิด ที่แก้มสัมผัสได้ถึงไอเย็น แต่กลับไม่ได้รู้สึกอึดอัดเลย อสูรวิญญาณที่ถูกผูกไว้ในร่างของเขานั้นดีใจราวกับเด็กตัวน้อย อยากได้รับสัมผัสห่วงใยจากเด็กสาวให้มากขึ้นอีก เพลิดเพลินกับสัมผัสนี้มากเหลือเกิน

เหตุใดเขาจึง….. ชอบมันมากเช่นนี้?

เขาควรจะหวาดกลัว เกรงว่าพลังที่ตนคุมไม่อยู่จะเปลี่ยนนางให้กลายเป็นสัตว์ประหลาดไปไม่ใช่หรือ?

แล้วเหตุใดเขาจึงไม่คิดรังเกียจต่อต้านสัมผัสนางเลยเล่า?

“สวรรค์! ตาข้าบอดแน่ ๆ !” ไม่รู้ว่าเป็นเสียงใครเอ่ยขึ้นมา ฉับพลันก็กลืนน้ำลายเอื้อกด้วยความหวาดกลัว

“จู่ ๆ เจ้าใบ้น้อยก็หายดีงั้นหรือ”

“ใครจะไปรู้เล่า! เจ้าไม่ลองไปให้เขาแตะดูล่ะ!?”

“เจ้าบ้าหรือเปล่า? เจ้าก็ไปเองสิ!”

เด็กหญิงหน้าตุ๊กตาก็อยู่ในอาการตกใจเช่นกัน หลังจากได้ยินสิ่งที่คนอื่น ๆ พูด สายตานางก็พลันเห็นนกตัวหนึ่งบินผ่านเหนือศีรษะไป นางจึงซัดพลังใส่มันจนร่วงลงมาแล้วโยนใส่ซิงถง

สุดท้ายเด็กน้อยก็เปลี่ยนสีหน้า พริบตาต่อมานกตัวนั้นก็กลายเป็นคางคกหน้าตาน่าเกลียด ร้อง “อ๊บ ๆ” ไม่หยุด

เจ้านกรู้สึกไม่สบายตัวนัก พยายามกางปีกเพื่อบินหนีไป แต่มันกลับพบเรื่องน่าสยองว่าปีกของมัน… .. หายไปแล้ว!? และเมื่อมันร้องออกมาเสียงร้องก็กลายเป็นเสียง “อ๊บ ๆ” ฟังดูน่ากลัว!

มันแค่บินผ่านมาเท่านั้น แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน!?

ใบหน้าของทุกคนซีดขาวลงทันที โชคดีที่พวกเขาไม่ได้แตะเจ้าใบ้น้อยเพราะความอยากรู้อยากเห็น ไม่เช่นนั้นคงได้เกิดโศกนาฏกรรมไปแล้ว!

ศิษย์น้องคนใหม่ผู้นี้เป็นเทพเซียนหรือไร? เหตุใดนางจึงไม่เป็นอะไร!?

หรือเพราะใบหน้างดงามมากเลยมีผลพิเศษด้วยกระนั้นหรือ?

น่าแปลกใจอย่างยิ่งที่ศีรษะของซิงถงที่มักจะก้มงุดอยู่ตลอดตอนนี้กลับเงยขึ้น เผยให้เห็นทุกส่วนของใบหน้าอย่างชัดเจน

หากไม่ใส่ใจครึ่งซีกซ้ายที่มีลวดลายอสูรผูกวิญญาณอยู่จนทั่ว อีกครึ่งหนึ่งมีผิวพรรณงดงามนัก อีกทั้งยังเป็นใบหน้างามที่แต้มด้วยรอยเศร้าจาง ๆ โดยเฉพาะเมื่อจ้องนัยน์ตาคู่นั้น พวกมันงดงามสมชื่อของเด็กชาย สีดำสนิทเป็นประกายสดใส น่ามองจนไม่อาจละสายตา

เจ้าใบ้น้อยหน้าตาหล่อเหลาไม่น้อยเลย! ทุกคนคิดอยู่ในใจ

“เจ้า… .. เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?” ซิงถงถามเสียงกระวนกระวาย ลิ้นพันเล็กน้อยหากแต่สายตาจับจ้องอยู่ที่นางไม่ไปไหน

ชิงอวี่เห็นเขากังวลนักก็รู้สึกจั๊กจี้ ก่อนจะหัวเราะออกมา นัยน์ตาหงส์ของนางเผยเล่ห์กล “ดูแล้วลึก ๆ เจ้าก็ชอบข้าอยู่ไม่ใช่น้อย แล้วเจ้าดู เจ้าก็ไม่ได้เปลี่ยนข้าเป็นสัตว์ประหลาดไม่ใช่หรือ?”

ซิงถงและคนอื่น ๆ ท่าทางประหลาดใจนัก หากแต่ชิงอวี่กลับรู้สาเหตุเบื้องหลังดี

นางมีสายเลือดที่บริสุทธิ์ที่สุด เป็นที่รักของวิญญาณทั้งหลาย และเป็นสายเลือดที่สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ จะรู้สึกถูกดึงดูดให้อยากเข้าใกล้ ดังนั้นเมื่ออสูรผูกวิญญาณในร่างซิงถงได้รับสัมผัสจากนาง มันก็ดีใจนัก จิตใจถูกนางดึงดูด อยากจะอยู่ใกล้ ๆ นาง

“พวกเจ้าไปจับกลุ่มอะไรอยู่ตรงนั้นกัน?”

ตอนนี้ถึงเวลาเรียนคาบเช้าแล้ว แต่ชั้นเรียนภาควิชาพิเศษยังคงว่างเปล่าไร้เงาคน ลั่วหลานจือตามเสียงทั้งหลายมา ระหว่างทางก็พบเข้ากับเฟิ่งเทียนเหิงโดยบังเอิญ

เมื่อได้ยินเสียงของเขา ศิษย์คนหนึ่งจึงไม่รีรอ รีบวิ่งรี่ไปหา “ศิษย์พี่ พี่ใหญ่ แย่แล้ว! ศิษย์น้องเล็กของเราจะเก่งเกินไปแล้ว! นางแตะตัวเจ้าใบ้น้อยแต่กลับไม่เป็นอะไรเลย!”

ชายหนุ่มทั้งสองได้ยินก็ชะงักไป

พวกเขาเงยหน้าขึ้น เห็นว่าที่ใต้ต้นไม้สูงมีเด็กชายคนหนึ่งนั่งนิ่งอยู่อย่างเชื่อฟัง ท่าทางขลาดกลัว ชิงอวี่นั่งยอง ๆ อยู่ตรงหน้าเขา พูดกับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม ยังยื่นมือไปหยิกแก้มเขาอีกด้วย

เด็กน้อยไม่ได้สะดุ้งหรือหลบแต่อย่างใด เพียงนั่งหน้าแดงปล่อยให้นางทำตามอำเภอใจ

เฟิ่งเทียนเหิงหรี่ตาลง จากนั้นเดินเข้าไปหา ก่อนคว้าแขนเด็กสาวให้นางลุกขึ้นมา น้ำเสียงเขาไม่อ่อนโยนเช่นแต่ก่อน กลับเจือไว้ด้วยแววมืดมิด เขาเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าทำอะไรอยู่?”

ซิงถงเบิกตากว้างเหมือนกวางตัวน้อยผวาตกใจ “พี่ใหญ่…..”

ชิงอวี่ย่นคิ้ว ปัดมือเขาออกด้วยความไม่พอใจ “ศิษย์พี่ไม่รู้หรือว่าจู่ ๆ ปรากฏตัวขึ้นเช่นนี้ทำคนตกใจตายได้?”

เทียบกับนางที่ก่อนหน้ามีท่าทีเป็นห่วงซิงถง ท่าทางที่นางแสดงเมื่อครู่นั้นแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

ศิษย์น้องเล็กดูท่าจะเป็นที่โปรดปรานจริง ๆ ถึงกับกล้าตอกกลับพี่ใหญ่ด้วยท่าทางเช่นนี้ได้

“เหตุใดข้าจึงไม่รู้มาก่อนว่าเจ้าขี้ตกใจเช่นนี้?” ได้ยินดังนั้นเฟิ่งเทียนเหิงจึงกล่าวกลั้วหัวเราะ จากนั้นหันมองซิงถงที่กำลังตกใจ “ไม่รู้หรือว่าเจ้าควรอยู่ห่างจากนาง?”

ใบหน้าเด็กชายยิ่งซีดเซียว ร่างสั่นสะท้านน้อย ๆ

ชิงอวี่เห็นดังนั้นก็ยืนขวางเฟิ่งเทียนเหิง ปกป้องเด็กน้อยไว้ “ท่านจะรังแกเขาไปเพื่ออะไร? ข้าเป็นคนเข้ามาคุยกับเขาก่อนต่างหาก เขาไม่ได้ทำอะไรเลย”

เห็นนางกางปีกปกป้องอีกฝ่ายราวกับแม่ไก่ เฟิ่งเทียนเหิงก็ทำอะไรไม่ถูก “ในภาควิชาพิเศษมีอันตรายหลากหลายนัก ข้าเพียงกังวลว่าเจ้าจะยังไม่คุ้นชินกับที่นี่ดี อาจได้รับบาดเจ็บได้ เจ้าเองก็เพิ่งเข้ามาได้ไม่นานเท่าไร”

“ตอนนี้ข้าก็ยังสบายดีอยู่ไม่ใช่หรือ? ศิษย์พี่เป็นห่วงเกินไปแล้ว”

คำพูดเหล่านั้นเขากล่าวด้วยความเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่รู้ทำไมนางจึงรู้สึกว่าภายในมีความรู้สึกประหลาด เป็นความรู้สึกสะอิดสะเอียนอยู่ในใจ

พูดกันตามตรง นับแต่แรกมานางก็รู้สึกรังเกียจเฟิ่งเทียนเหิง แต่กลับหาสาเหตุไม่พบ เพียงแต่ร่างกายนางดูไม่อยากให้เขาเข้าใกล้

ยามต้องเผชิญหน้ากับความเย็นชาเช่นนั้นของนาง ไม่เพียงเฟิ่งเทียนเหิง แต่คนอื่น ๆ ในภาควิชาพิเศษต่างก็สัมผัสได้ พากันหลั่งเหงื่อเย็นเต็มแผ่นหลัง ศิษย์น้องเล็กกล้าหาญจริง ถึงกับกล้าต่อกรกับพี่ใหญ่เช่นนี้ได้

เฟิ่งเทียนเหิงมีท่าทีอ่อนโยนเสมอ โดยเฉพาะต่อหน้าชิงอวี่ เขาไม่เคยแสดงอาการโกรธออกมาเลย

เขาหันไปหาคนอื่น ๆ พร้อมรอยยิ้มบาง “หลายปีที่ผ่านมา ภาควิชาพิเศษมีอิสระนัก แต่ตอนข้าอยู่กับท่านเจ้าสำนักและคนอื่น ๆ ในห้องโถงใหญ่ ข้าได้ยินว่าจะมีอาจารย์ระดับสูงสองท่านมายังภาควิชาพิเศษภายในสิ้นปีนี้ ทั้งสองท่านจะมาทำการสอนพวกเจ้า ดังนั้นแต่นี้ไปพวกเจ้าจะได้รู้จักยับยั้งชั่งใจบ้าง ต่อไปจะได้ไม่สร้างปัญหา”

น้ำเสียงของเขายังคงอ่อนโยนและไพเราะเสนาะหู แต่ทุกคนกลับเข้าใจความหมายเบื้องหลังของมันดี หรือพี่ใหญ่จะรู้เรื่องที่พวกเขาแกล้งศิษย์น้องเล็กเมื่อครั้งนั้น ตอนนี้จึงกล่าวเตือนทางอ้อมใช่หรือไม่?”

ทุกคนเหงื่อแตกพลั่ก ส่งสายตาเศร้าสร้อยไปหาลั่วหลานจือ ศิษย์พี่สัญญาแล้วว่าจะเก็บเป็นความลับไม่ใช่หรือ?

ชิงอวี่ได้ยินก็มีสีหน้าประหลาดใจ

โหลวจวินเหยาเคยบอกนางก่อนหน้านี้ว่าเขาจะเข้ามาเป็นอาจารย์ในสำนักเพื่อช่วยนางค้นหาชิ้นส่วนวิญญาณของท่านแม่ แต่เขาไม่ได้บอกว่าจะมีอีกคนตามมาด้วย

อาจารย์ระดับสูงเข้าสำนักมาถึงสองคนพร้อมกันเช่นนี้ ไม่เป็นที่สะดุดตาเกินไปหรอกหรือ? หากมีคนสงสัยขึ้นมาจะทำอย่างไร?

แต่นางไม่ล่วงรู้ว่าเรื่องนี้โหลวจวินเหยาก็ไม่รู้เช่นกัน อาจารย์ที่จะเข้าสำนักมาอีกท่านนั้นเป็นคนที่นางไม่คาดคิดมาก่อน

————————-

เมื่อสำนักละอองหมอกจัดการทดสอบเข้าสำนักก็เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว พริบตาเดียวอากาศก็เริ่มหนาวเย็นขึ้นเรื่อย ๆ หมุนเข้าสู่ฤดูหนาวเมื่อหิมะแรกเริ่มโปรย

หากไม่รวมปีที่นางเป็นวิญญาณร่อนเร่อยู่ ก็นับเป็นปีที่เจ็ดแล้วที่ชิงอวี่มายังโลกใบนี้ หากแต่ในปีนี้ นางไม่จำเป็นต้องเก็บตัวอยู่แต่ในเรือนสงบเงียบภายในจวนหย่งอันอ๋องอีกต่อไป

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว นางอยู่ในสำนักมากว่าครึ่งเดือนแล้ว เริ่มรู้จักคนทั้งหลายมากขึ้นกว่าเดิม

นอกจากชิงอวี่แล้ว ไม่ว่าจะจริงใจหรือแสร้งทำ แต่ศิษย์คนอื่น ๆ ในภาควิชาพิเศษก็ไม่คิดกลั่นแกล้งนางอีกต่อไป พวกเขาหาเรื่องให้เกลียดชังนางไม่พบจริง ๆ

นางเป็นคนประเภทที่เมื่อได้รู้จักแล้วก็จะอดรักและทะนุถนอมไม่ได้

“ศิษย์น้องเล็ก ศิษย์น้องเล็ก เจ้ามาดูนี่เร็ว เหตุใดเช้าวันนี้ข้าตื่นมาจึงมีจุดแดงบนใบหน้ามากมายเช่นนี้เล่า?!” มีเสียงกรีดร้องโหยหวนเกินจริงดังขึ้นเบื้องหลัง

ชิงอวี่ที่กำลังเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ที่เต็มไปด้วยหิมะด้านนอกแก้วหูเกือบทะลุยามได้ยินเสียงกรีดร้อง นางจึงหันไปไม่กล่าวคำใด หันไปแล้วก็พบกับร่างสูงที่เอามือกุมหน้าตนเองไว้ เหลือบมองซ้ายขวาท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ก่อนจะกระโดดมาทางนางราวกับเจอพระผู้มาโปรด

ไม่ว่าชิงอวี่จะมีความอดทนมากเพียงไหน นางก็อดเอ่ยเสียงเจือแววดูถูกออกไปไม่ได้ “เป็นอะไรไปอีกแล้วเล่า?”