บทที่ 172 ถอดยศ ลดฐานะเป็นสามัญชน

คนของจวนจี้กั๋วกงเองก็ตกตะลึงเช่นกัน

คนเหล่านี้เป็นคนดูแลเรือนต่าง ๆ ในจวนของพวกเขามาก่อนไม่ใช่หรือ? และพวกเขายังมีวรยุทธ์เล็กน้อยอีกด้วย เหตุใดถึงกลายเป็นคนของจี้จือฮวนไปได้? มิน่าเล่าถึงไม่เห็นคนพวกนี้มาพักใหญ่!

ไม่ใช่สิ เมื่อครู่จี้จือฮวนบอกว่าจะทำอะไรนะ? ไปห้องบัญชีอย่างนั้นหรือ?

จี้เม่าซวินจึงเอ่ยด้วยความร้อนใจขึ้นมา “นางลูกทรพี เจ้าคิดจะพลิกฟ้าหรืออย่างไร”

จางตงไหลแค่นเสียงเย็นออกมา “จี้กั๋วกง พูดอะไรควรจะใช้สมองด้วย พลิกฟ้าอย่างนั้นหรือ? ผู้ที่เป็นฟ้าของต้าจิ้นนั่งอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้วอย่างไรเล่า ไท่ซ่างหวงทรงประทับอยู่ตรงนี้แล้ว ดังนั้นคิดให้ดีก่อนจะพูดดีกว่า”

จี้เม่าซวินราวกับเป็ดที่ถูกบีบคอก็ไม่ปาน ไม่กล้าส่งเสียงออกมาอีกแม้แต่แอะเดียว

คนของจวนจี้กั๋วกงต่างก็กำลังคิดว่าจี้จือฮวนจะทำอะไรกันแน่ เอาบัญชีของพวกเขามาทำไม? คงไม่ใช่เพราะอยากได้เงินหรอกกระมัง

ไม่นาน ซาน ซื่อ อู่ ลิ่ว ก็กลับมา ทั้งยังพาคนดูแลบัญชีของจวนจี้กั๋วกงออกมาด้วย บัญชีเสียเก่าเก็บหีบแล้วหีบเล่า ทำให้ขุนนางของกรมพระคลังหนังตากระตุกไม่หยุด

น่าเสียดายที่ใครใช้ให้ไท่ซ่างหวงเป็นคนเอาแต่ใจกันเล่า เช่นนั้นก็ขยับแขนแล้วทำงานไปซะ

หน้าประตูใหญ่ของจวนจี้กั๋วกงมีเสียงดังเช่นนี้ ไม่นานก็ดึงดูดผู้คนจำนวนมาก ทุกคนยังไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรกัน จึงได้ชะโงกหัวเข้ามาด้อม ๆ มองๆ

แต่ดูแล้วเหมือนไม่ใช่เรื่องดี เพราะเจ้านายของจวนล้วนคุกเข่าอยู่บนพื้น ดูน่าเกลียดไม่น้อยเลย

คงไม่ได้ติดเงินใครไว้หรอกกระมัง?

สายตาของเหล่าชาวบ้าน ทำให้คนของจวนจี้กั๋วกงอับอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี นางสารเลวจี้จือฮวนนั่งอยู่ตรงนั้น คิดว่าตัวเองเป็นผู้สูงศักดิ์จริง ๆ หรืออย่างไรกัน! อย่าให้พวกเขามีโอกาสนะ ถึงเวลานั้นนางจะต้องอยู่ก็ไม่ได้จะตายก็ไม่ได้เลยคอยดู!

เผยยวนนั่งอยู่ข้าง ๆ จี้จือฮวนด้วยท่าทางน่าเกรงขาม หากคนของจวนจี้กั๋วกงคนใดกล้ามองค้อนมา ทุกคนก็จะถูกเขาถลึงตาจ้องกลับไป

ทำให้พวกเขาตกใจกลัวและได้แต่ก้มมองหัวเข่าของตัวเอง โดยไม่รู้ว่าเหตุการณ์นี้จะจบลงเมื่อใด

จี้จือฮวนมีคนปกป้องมากมายเพียงนี้และกลายเป็นสมบัติล้ำค่าไปตั้งแต่เมื่อใดกัน! นี่มันเรื่องอะไรกันแน่!

เซี่ยชิงหรูแต่งเข้าจวนจี้กั๋วกงในปีหย่งซุ่นที่สิบสาม ถัดมาปีหย่งซุ่นที่สิบสี่ก็ตายจากการคลอดลูก ตระกูลเซี่ยไม่อยู่แล้ว การจะหารายการสินเดิม ต้องเริ่มตั้งแต่บัญชีของเมื่อสิบหกปีก่อน

และก็เป็นความจริงที่หลังจากตระกูลเซี่ยถูกกำจัด เงินจำนวนมากมายก็ไหลเข้าสู่บัญชีของจวนจี้กั๋วกง

สมบัติของตระกูลเซี่ยหลังจากการตรวจค้นและยึดทรัพย์ กรมพระคลังมีจดบันทึกเอาไว้ สมบัติที่เหลือไม่ได้มากมายเพียงนี้ หลังจากเปรียบเทียบบัญชีของทั้งสองฝ่ายแล้วจึงพบว่า มีจำนวนมากที่ถูกจวนจี้กั๋วกงยักยอกมาเป็นของตัวเอง

ขณะนี้สีหน้าของเสมียนกรมพระคลัง เมื่อเทียบกับจี้เม่าซวินก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าใด

ไท่ซ่างหวงไม่แปลกใจแต่อย่างใด หลายปีที่ผ่านมา คนชั่วช้าเช่นไรบ้างที่เขาไม่เคยเห็น พวกที่เกาะผู้หญิงกินอย่างหน้าไม่อายมีน้อยเสียเมื่อไร หากออกไปหาคงเจอคนประเภทนี้เป็นกอง

จี้เม่าซวินก็พอมองออกแล้ว เมื่อเห็นพวกเขาพลิกหารายการสินเดิมของเซี่ยชิงหรูจากในบัญชี ก็เข้าใจจุดประสงค์ของจี้จือฮวนได้ทันที

ช่างกล้าดียิ่งนัก นางมาเพื่อทวงความยุติธรรมให้เซี่ยชิงหรู

สตรีผู้นั้นตายไปแล้ว มีสิทธิ์อะไรจะมาเอาสินเดิมคืนกลับไป

เสมียนกรมพระคลังถือรายการสินเดิมเดินมาตรงหน้าไท่ซ่างหวง พลางเอ่ยเสียงเบา “ทูลไท่ซ่างหวง รายการนี้มีเพียงครึ่งเดียวพ่ะย่ะค่ะ”

จี้เม่าซวินใจหล่นวูบ จึงแสร้งทำราวกับตายไปแล้ว

จางตงไหลจึงเอ่ยเสียงเย็นออกมา “จี้กั๋วกง คงไม่ได้หูหนวกกระมัง ข้าถามท่านอยู่ว่ารายการสินเดิมที่สมบูรณ์อยู่ที่ใด!”

จี้เม่าซวินเมื่อถูกเอ่ยชื่อ ย่อมต้องเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “ผ่านมาหลายปีแล้ว ข้านึกไม่ออกจริง ๆ ขอรับ”

จางตงไหลหันหน้าไปเอ่ยกับไท่ซ่างหวง “ฝ่าบาท เขาบอกว่านึกไม่ออกพ่ะย่ะค่ะ”

ไท่ซ่างหวงเอ่ยออกมาช้า ๆ “อืม นึกไม่ออกก็ดี เช่นนั้นต่อไปก็ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว ลากออกไปตัดหัวซะ ข้าดูแล้วเขามีหัวไปก็ไม่มีประโยชน์”

จี้เม่าซวินตกตะลึง จะ…จะตัดหัวเขาได้อย่างไรกัน!

เมื่อเห็นยอดฝีมือกำลังจะเข้ามาลากตัวพร้อมสีหน้าเรียบนิ่ง จี้เม่าซวินก็รีบตะโกนออกมาทันที “นึกออกแล้วพ่ะย่ะค่ะ นึกออกแล้ว”

จางตงไหลเอ่ยพร้อมฉีกยิ้มเย้ยหยันออกมา “อ้อ เขาบอกว่าเขานึกออกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ไท่ซ่างหวงเล่นจุกผมบนศรีษะของอาชิงไปมา “อ่อ ตอนนี้หัวสมองมีประโยชน์แล้ว? แต่วางไว้ตรงนั้นจะสูงเกินไปหรือไม่?”

อาชิงล้วงงูสองตัวออกมา “อาจารย์บอกว่า คนไม่พูดความจริงเพราะไม่ได้รับการสั่งสอน ไปขู่เขา”

อารมณ์ของจี้เม่าซวินที่เพิ่งผ่อนคลายลงพลันถูกงูสองตัวที่อาชิงเล่นอยู่ในมือทำให้ตกใจกลัวจนตัวสั่น

คนของจวนจี้กั๋วกงก็คิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะทำเช่นนี้ นี่เท่ากับไม่เปิดโอกาสให้คนตอบโต้ได้เลย

“ในเมื่อนึกออกแล้วเหตุใดยังไม่พูดอีก ต้องให้ไท่ซ่างหวงรอเจ้าเอื้อนเอ่ยอย่างนั้นหรือ?” นิ้วเรียวยาวของเผยยวนเคาะลงบนโต๊ะเบา ๆ น้ำเสียงไม่เป็นมิตรเท่าไรนัก

จี้กั๋วกงแอบก่นด่าในใจ อย่างน้อยข้าก็เป็นพ่อตาของเจ้า เหตุใดถึงไม่ไว้หน้ากันบ้างเลย

“อยู่ที่อนุของข้า” จี้เม่าซวินเอ่ยประโยคนี้ออกมา ราวกับยอมจำนน

ฟางจวิ่นเหมยกลอกตามองบน “เห็นหรือไม่ ข้าบอกว่าอย่างไร บนเวทีงิ้วล้วนร้องกันแบบนี้ ตระกูลสูงศักดิ์ ตระกูลปัญญาชน ใครบ้างให้ความสำคัญกับอนุ เหยียบย่ำลูกสาวของภรรยาเอก ทำเช่นนี้เจ้าหย่าเสียเถอะ มีใครเขาทำเช่นเจ้ากันบ้าง? เอารายการสินเดิมของภรรยาเอกไปให้อนุ ข้าว่าเจ้ามันจิตใจไร้คุณธรรม คนอย่างเจ้ายังจะเป็นกั๋วกงได้อีกอย่างนั้นหรือ ข้าว่าเจ้ามันเลวยิ่งกว่าอดีตหัวหน้าหมู่บ้านของเราเสียอีก”

พวกท่านป้าหยางต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย “เหตุผลที่คนบ้านนอกยังรู้ เช่นนี้ยังอ้างตัวว่าเป็นตระกูลผู้ดีอะไรอีก ถุย”

“ไม่ใช่สินเดิมของครอบครัวพวกเจ้า พวกเจ้าก็ยังกล้ายักยอกเอาไป นายท่าน ข้าว่าพวกเขาต้องเป็นเจ้าหน้าที่ที่ทุจริตอย่างแน่นอน”

คนบ้านนอกไม่รู้ว่าขุนนางอะไรใหญ่โตแค่ไหน พวกนางรู้แค่ว่าที่นี่ต้องมีลับลมคมในอย่างแน่นอน คิดว่าฮวนฮวนไม่มีใครแล้วอย่างนั้นหรือ?

คนของจวนจี้กั๋วกงเคยถูกคนชี้หน้าเช่นนี้ที่ใดกัน แต่ก็ยังฝืนยิ้มประจบออกมา

จี้คังซื่อเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ใช่ที่ใดกันเล่า ไท่ซ่างหวงเพคะ ท่านอย่าคิดเช่นนั้นเด็ดขาดนะเพคะ ไป๋ซื่อมีนิสัยอ่อนโยน แม้จะเป็นอนุแต่ว่านิสัยไม่เลวเลย พวกเราก็ไม่ควรปฏิบัติไม่ดีกับอนุหรือบุตรอนุมิใช่หรือเพคะ”

ความจริงแล้วหากไม่ใช่เพราะจี้หมิงซูอาศัยที่ตัวเองมีความทรงจำของสองชาติและคอยวางแผนอยู่เบื้องหลัง จี้กั๋วกงคงแต่งงานใหม่ไปนานแล้ว สองคนแม่ลูก คนหนึ่งควบคุมเรือนหลัง อีกคนสร้างชื่อเสียงอยู่ด้านนอก ทำให้จี้เม่าซวินที่อยากแต่งภรรยาเอกจึงล่าช้าออกไป แต่จี้เม่าซวินก็ไม่อยากดันอนุขึ้นเป็นภรรยาเอก หากเรื่องนี้แพร่ออกไปต้องเป็นที่หัวเราะเยาะเป็นแน่ ทว่าไป ๆ มา ๆ ผลจึงเป็นเช่นตอนนี้

คำพูดของจี้คังซื่อ ไท่ซ่างหวงไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว เขาเดาะลิ้นแล้วเอ่ยขึ้น “อย่าเปลืองเวลากินข้าวกลางวันของข้า ทำอะไรให้เร็ว ๆ หน่อย ไปเอาตัวอนุผู้นั้นมา”

เมื่อครู่จางตงไหลสั่งให้ทุกคนในจวนมารวมตัวกันหมดแล้ว ตามหลักแล้วไป๋อี๋เหนียงก็ควรอยู่ที่นี่ด้วย

แต่น่าเสียดายที่ไป๋อี๋เหนียงไปที่เรือนของจี้หมิงซู จึงไม่ได้มาด้วย

คนของตระกูลจี้มองหานางในกลุ่มคน ทว่ากลับไม่พบนางแต่อย่างใด จึงให้คนรีบไปตามด้วยความโมโห

ฟางจวิ่นเหมยราวกับจับจุดอ่อนของพวกเขาได้อย่างไรอย่างนั้น “นายท่าน ท่านดูพวกเขาสิเจ้าคะ พวกเขาไม่เห็นความสำคัญของท่านเลย เหมือนกับคำพูดของท่านเป็นเพียงการผายลมก็เท่านั้น! เช่นนี้ยังไม่ลงโทษอีกหรือเจ้าคะ?”

ไท่ซ่างหวงเอ่ยด้วยสีหน้าบึ้งตึง “เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล เช่นนั้นก็ถอดตำแหน่งจวนกั๋วกงของพวกเขา และปลดเป็นสามัญชนเสีย”

“อะไรนะ!?” คนของจวนจี้กั๋วกงคิดไม่ถึงเลยว่า คนที่ตัดสินความรุ่งโรจน์ของครอบครัวตนเอง จะเป็นแค่หญิงชาวบ้านคนหนึ่ง!!!