วารุณีเลิกคิ้ว

ดันเป็นห้องนั้นที่เธอเตรียมจะเข้าพัก

ผู้จัดการเอาแต่สังเกตวารุณี มองเห็นการแสดงออกของเธอ ก็รู้ว่าพนักงานทำความสะอาดชี้ถูก

และโชคดีที่โรงแรมพวกเขามีกฎว่า ตอนที่ไม่มีแขก ประตูห้องนอนต้องเปิดไว้ ไม่อย่างนั้นก็จะถูกเปิดเผยออกมา

“คุณผู้หญิง ห้องนอนนี้เดี๋ยวพวกเราต้องหาคนมาซ่อมแซมอุปกรณ์ ไม่อาจเข้าพักได้ชั่วคราว ขอโทษนะครับคุณหรือเพื่อนคุณจะไปห้องสูทอื่นครับ?”ผู้จัดการถามอย่างเกรงใจ

วารุณีหยิบกระเป๋าขึ้นมา ลากกระเป๋าเดินทาง“ฉันไปละกัน เพื่อนฉันเมาเครื่อง พักผ่อนไปแล้วค่ะ ไม่อยากปลุกเขาอีก”

“ครับ งั้นเชิญตามผมมา”จัดการทำท่าผายมือเชิญ

วารุณีตอบรับอือ ตามพวกเขาไปห้องสูทที่จัดไว้อีกห้อง

พอเข้าไป วารุณีพบว่าห้องสูทห้องนี้หรูหรายิ่งกว่าห้องเมื่อกี๊อีก ถ้าไม่ใช่ว่าพื้นที่เล็กกว่าหน่อย ก็ถือว่าเป็นห้องเพรสซิเดนสูทแล้ว

“คุณผู้หญิง งั้นก็ไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของคุณแล้ว พวกเราขอตัวก่อนนะครับ”ผู้จัดการเห็นวารุณีมองสำรวจห้อง ก็เรียกพนักงานทำความสะอาดไป

ที่จริงวารุณีอยากถามเขาว่าจัดห้องผิดหรือเปล่า แต่มองประตูที่ปิดลง ก็ได้แต่กล้ำกลืนคำนั้นลงไป เกล้าผมขึ้นไปแช่น้ำอย่างสวยงามในห้องน้ำ ชำระล้างความเหนื่อยล้าของร่างกายเสร็จ ก็ล้มตัวลงไปนอนที่เตียง

ตอนที่ตื่นมา ฟ้าก็มืดลงแล้ว พงศกรโทรศัพท์มา น้ำเสียงร้อนใจอย่างกังวล“วารุณี คุณไปไหน?”

วารุณีขยี้ตานั่งลงบนเตียง ตอบกลับอย่างสะลึมสะลือ“ฉันอยู่ในห้องของโรงแรมไง”

“แต่ผมไม่เห็นคุณ”พงศกรกำโทรศัพท์ไว้แน่น

วารุณีจึงนึกเรื่องที่เปลี่ยนห้องสูทเมื่อตอนกลางวันได้ จึงตบหน้าผาก รีบพูดออกไป

พงศกรได้ยิน ความกังวลกับร้อนใจที่ใบหน้าก็จางลง แต่คิ้วกลับขมวดแน่น“อุปกรณ์ในห้องนอนมีปัญหา?”

“ใช่ ผู้จัดการพูดแบบนี้”

“เหรอ?”แว่นตาพงศกรสะท้อน หยิบโทรศัพท์เดินไปที่ห้องนอนข้างๆ ตรวจสอบสิ่งอำนวยความสะดวก

จากนั้นพบว่าสิ่งอำนวยความสะดวกไม่ได้มีปัญหา ทันใดนั้นก็เข้าใจทุกอย่าง มีคนจงใจแยกวารุณีออกจากเขา ไม่ให้พวกเขาอยู่ด้วยกัน

“พงศกร ทำไมคุณไม่พูดล่ะ?”เห็นที่ปลายสายไม่พูด วารุณีจัดผมที่ยุ่ง ถามออกไป

มือที่พงศกรถือโทรศัพท์ไว้ ยิ่งออกแรงมากขึ้น เหมือนจะบีบโทรศัพท์จนระเบิดออก แต่ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มแฝงไว้“ไม่มีอะไร ผมเพิ่งตรวจสอบอุปกรณ์ในห้อง”

“พังไปหมดแล้วมีอะไรให้ต้องเช็กล่ะ”วารุณีหาว แล้วเปิดผ้าห่มลงจากเตียง

ดวงตาพงศกรเป็นประกาย“ดังนั้นตอนนี้ผมเลยไม่ดูแล้ว หิวยัง?”

เขาเปลี่ยนเรื่อง

วารุณีลูบท้อง“นิดหน่อย”

“งั้นพวกเราไปกินอาหารค่ำที่ล็อบบี้กัน ผมรอคุณที่ลิฟต์นะ”

พูดจบ พงศกรก็วางสาย

วารุณีก็วางโทรศัพท์ เปิดกระเป๋าเดินทางแล้วหยิบชุดหนึ่งมาเปลี่ยน แต่งหน้าอ่อนๆเล็กน้อย แล้วออกไป

“พงศกร”มาตรงหน้าลิฟต์ วารุณีรวมตัวกับเขา

พงศกรพยักหน้า“ลิฟต์ถึงพอดี ไปเถอะ”

วารุณีตอบอือ เข้าไปในลิฟต์กับเขา

ในลิฟต์ พงศกรก้มหน้าลง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

วารุณีรู้สึกได้ว่าอารมณ์ของเขาไม่ค่อยดี กำลังจะถามเขาว่าเป็นอะไร เสียงลิฟต์ก็ดังแล้วเปิดออก

นัทธียืนอยู่ด้านนอก มองวารุณีพงศกรกับในลิฟต์ แปลกใจเล็กน้อย

เขาคิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญขนาดนี้ จู่ๆก็เจอพวกเขา

“ประธานนัทธี”วารุณีแปลกใจเล็กน้อย จู่ๆนัทธีก็พักอยู่โรงแรมนี้ ในใจรู้สึกแปลกใจ แต่ที่ใบหน้ายังคงไม่แสดงอาการออกมา

นัทธีก้มหน้าให้เธอเล็กน้อย ถือว่าตอบรับไป จากนั้นก้าวเท้าเข้ามาในลิฟต์

ตอนที่เขาเข้ามา วารุณีก็เขยิบห่างกับพงศกรเล็กน้อยจากจิตใต้สำนึก

นัทธีมองเห็น ริมฝีปากบางยกขึ้นอย่างไร้ร่องรอย อารมณ์ก็ดีขึ้น

มีแค่พงศกรที่เอามือล้วงใส่กระเป๋ากางเกง แววตาเต็มไปด้วยความบ้าระห่ำ“ประธานนัทธี เป็นคุณที่จัดการสินะ?”

นัทธีรู้ว่าเขาถามอะไร จึงเหลือบตามองเขา“ไม่เลวนี่”

“เหอะ ผมคิดไม่ถึงเลยจริงๆว่า ประธานนัทธีจะเล่นวิธีแบบนี้ได้”พงศกรดันแว่นแล้วเหน็บแนม

นัทธีมีใบหน้าเรียบเฉย“เทียบกับคุณที่ใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย แอบวางแผนชั่วร้ายไม่ได้หรอก”

ฟังชายหนุ่มสองคนพูดกัน วารุณีรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังฟังเรื่องที่เข้าใจยาก ปวดหัว จึงลูบขมับถามไปว่า“พวกคุณกำลังพูดอะไรน่ะ?”

อย่างไรก็ตามชายหนุ่มทั้งสองคนต่างเงียบ ไม่ได้ตอบเธอ

มุมปากวารุณีกระตุก“ไม่พูดก็ช่าง”

เธอไม่ถามแล้วโอเคไหม!

แต่ว่าทั้งสองคนก็แปลกจริงๆ ทั้งที่ตอนเพิ่งรู้จักกัน ก็ยังไม่เหมือนลิ้นกับฟันแบบนี้ พงศกรเกรงใจนัทธีมาก ทำไมตอนนี้พอเจอหน้าก็เย็นชาขึ้นมา ความขัดแย้งของพวกเขามาจากไหน?

ไม่รอให้วารุณีคิดออก ลิฟต์ก็มาถึงชั้นหนึ่ง

พงศกรดึงมือของวารุณีขึ้นมาแล้วออกไปจากลิฟต์

นัทธีออกไปหลังสุด มองมือพวกเขาที่กุมไว้ด้วยกันด้วยสายตาหม่นหมอง ริมฝีปากบางๆ เม้มอย่างเย็นชา มีแรงกระตุ้นที่อยากเข้าไปแยกออก

แต่ที่ทำให้เขาไม่พอใจที่สุดคือ วารุณีดันไม่สะบัดมือออก

เหมือนจะรู้สึกถึงความคิดของนัทธี พงศกรที่เดินไประยะหนึ่งแล้วจู่ๆก็หันหน้ามา ยิ้มอย่างยั่วยุใส่เขา

รอยยิ้มนี้ทำให้ในใจนัทธีโมโหมากขึ้น แววตาเต็มไปด้วยความทุกข์

“ประธาน”เวลานี้ มารุตถือโทรศัพท์เดินเข้ามา

นัทธีเก็บอารมณ์ทั้งหมดทันที มองเขาด้วยใบหน้าเยือกเย็น“เรื่องอะไร?”

“คุณนวิยาจะคุยกับคุณ”มารุตเอาโทรศัพท์ยื่นให้เขา“คุณนวิยาบอกว่าโทรหาคุณไม่ติด เลยโทรมาหาผมโดยเฉพาะ”

นัทธีรับโทรศัพท์ไป“ผมทราบแล้ว คุณไปพูดกับคนของตระกูลฮิลล์หน่อย เดี๋ยวผมไปเจอพวกเขา”

“ครับ”มารุตพยักหน้า

นัทธีจึงเอาโทรศัพท์ไว้ข้างหู คุยโทรศัพท์กับนวิยา

โทรคุยเสร็จ เขาก็ถือโทรศัพท์เดินไปที่ห้องส่วนตัว

ตอนผ่านล็อบบี้ เขามองเห็นบนโซฟาของโซนรับรองในล็อบบี้ มีวารุณีกับพงศกรนั่งอยู่ข้างกัน

ในมือเธอถือเจลเก็บความเย็นกำลังประคบหน้าให้พงศกร ส่วนพงศกรกลับหลับตาลงแสดงใบหน้ามีความสุข

ฉากนี้ ทำให้นัทธีรู้สึกขัดตาอย่างมาก

บนเครื่องบิน เธอประคบหน้าให้เขา ตอนนี้ประคบให้ชายคนอื่นอีก

เธอช่างธุรกิจรัดตัวจริงๆเลยนะ!

สายตาของนัทธีไม่ปิดบังเลยสักนิด วารุณีตระหนักได้ว่ามีคนกำลังมองตัวเองทันที

เธอค่อยๆหันหน้าไป ก็สบตาเข้ากับดวงตาที่เย็นชาคู่นั้นของนัทธี อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น

แต่ดวงตาของเขา นอกจากเย็นชาแล้ว ยังปนไปด้วยสายตาที่ทำให้เธอดูไม่ออกเล็กน้อย

“ประธานนัทธี!”วารุณีโบกมือให้นัทธี

พงศกรได้ยินเสียงเรียกของเธอ ก็ลืมตาข้างหนึ่งมองนัทธี

นัทธีไม่ตอบ ละสายตากลับไปอย่างเย็นชา ออกไปด้วยใบหน้าเรียบเฉย

มือที่วารุณีโบกค้างอยู่กลางอาการเช่นนี้ สุดท้ายจึงละกลับมาอย่างเขินอาย“ฉันรู้สึกเหมือนว่าประธานนัทธีกำลังโกรธฉัน”

“ผมมองไม่ออกเลย,เขาก็เป็นแบบนี้มาตลอดไม่ใช่เหรอ?”พงศกรยกมุมปากขึ้น

วารุณีส่ายหน้า เหมือนว่ากำลังคัดค้านสิ่งที่เขาพูด แล้วก็เหมือนจะไม่ใช่ แล้วจึงถอนหายใจเล็กน้อย ประคบหน้าให้เขาต่อไป

พอประคบได้พอประมาณแล้ว ทั้งสองคนก็ไปสั่งอาหารกิน

เช้าวันถัดมา ตระกูลฮิลล์ก็ส่งคนมารับ

งานแต่งของทายาทตระกูลฮิลล์ จัดขึ้นที่เรือสำราญ เวลาจัดงานคือเที่ยงวันพรุ่งนี้ แต่คนนี้กลับมีงานเลี้ยง ดังนั้นแขกเลยมาที่เรือสำราญล่วงหน้า

ไปถึงท่าเรือ วารุณีลงจากรถ มองเห็นเรือสำราญที่ใหญ่มโหฬารจอดอยู่ด้านนอกท่าเรือ มองไปแล้ว อย่างน้อยก็น่าจะยาวเกือบร้อยเมตร กว้างหลายสิบเมตร

“ใหญ่จัง!”เธอชื่นชมด้วยใบหน้าตกตะลึง

นัทธีที่เพิ่งลงจากรถอยู่ไม่ไกลได้ยินสองคำนี้ ฝีเท้าจึงหยุดลงอย่างไม่แคร์