ตอนที่ 162 สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไร้ผู้มีความสามารถ

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ตอนที่ 162 สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไร้ผู้มีความสามารถ

วาจานี้ทำให้ถังอี๋รู้สึกเป็นห่วงเขาอยู่บ้าง หากลองคิดแบบเอาใจเขามาใส่ใจเรา เขาถูกสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ปฏิบัติด้วยเช่นนั้น ทั้งๆ ที่ทั้งสองมีสถานะเป็นสามีภรรยากัน ทว่ายามนี้ต้องมาทำตัวต่ำต้อยคอยปรนนิบัตินางกับชายอื่น นางคิดว่าตัวเองพอจะเข้าใจความรู้สึกของเขา จึงรู้สึกละอายใจนัก

อันที่จริงตลอดเวลาที่ผ่านมา นางรู้สึกผิดต่อเขามาโดยตลอด แต่ยังคงเอ่ยอย่างสงบเยือกเย็นว่า “ข้าคิดว่าเจ้าเข้าใจผิดแล้ว”

“เข้าใจผิดหรือ?” หนิวโหย่วเต้ายิ้มเล็กน้อย เอ่ยว่า “วาจานี้แปลกพิกลอยู่บ้าง ข้าเข้าใจอันใดผิดหรือ?”

ถังอี๋กล่าวว่า “ข้ากับเซ่าผิงปอไม่ได้เป็นอย่างเจ้าที่คิด ไม่ได้มีความสัมพันธ์กันอย่างที่เจ้าเข้าใจ”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยไปว่า “พวกเจ้าจะมีความสัมพันธ์กันอย่างไร มันเกี่ยวอะไรกับข้าด้วยหรือ? ไม่จำเป็นต้องมาอธิบายอะไรกับข้าหรอก แล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายด้วย ความจริงพวกเราต่างรู้ดี ระหว่างเจ้ากับข้าไม่ได้มีอะไรกัน อีกทั้งระหว่างพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องแบกรับสถานะจอมปลอมที่ไม่มีอยู่จริงนั้นเอาไว้ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน สิ่งที่สมควรพูดข้าได้พูดกับผู้อาวุโสถังไปชัดเจนแล้ว เจ้าจะมีสัมพันธ์อย่างไรกับผู้ใด ล้วนไม่เกี่ยวอะไรกับข้าเลย”

ถังอี๋กล่าวว่า “ในอดีตสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ผิดต่อเจ้าจริงๆ ให้เวลาข้าสักหน่อยเถอะ เมื่อถึงเวลาข้าจะมอบคำอธิบายให้เจ้า สิ่งที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ติดค้างเจ้า ข้าจะชดใช้คืนให้เจ้าพร้อมดอกเบี้ย”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “เจ้าสำนักถังกล่าวหนักไปแล้ว สำนักสวรรค์พิสุทธิ์มิได้ติดค้างอันใดข้า ข้าเองก็ไม่ได้ติดค้างอันใดสำนักสวรรค์พิสุทธิ์เช่นกัน ต่างคนต่างไป ทางใครทางมัน!”

ถังอี๋เอ่ยว่า “โหย่วเต้า ข้ารู้ว่าเจ้าขุ่นเคืองที่ได้รับความไม่เป็นธรรม แต่มีผู้ใดบ้างที่ไม่เคยพานพบความอยุติธรรม สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ในปัจจุบันนี้มิใช่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์เหมือนอย่างเมื่อในอดีตอีกแล้ว เรื่องราวมากมายล้วนเป็นอดีตไปแล้ว กลับมาเถอะ ข้ารับรอง สำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะไม่มีผู้ใดมุ่งร้ายต่อเจ้าอีก!”

“กลับไปอย่างนั้นหรือ?” หนิวโหย่วเต้ายิ้มพลางย้อนถาม “กลับไปอย่างไร? ไม่ง่ายเลยกว่าข้าจะพาศพของตงกัวเฮ่าหรานส่งกลับไป แต่ทันทีที่พบหน้ากลับคิดจะสังหารข้า ข้าไปทำให้ผู้ใดโกรธเคืองอย่างนั้นหรือ? ชีวิตห้าปีในสวนดอกท้อ มีทั้งเรื่องที่ข้ารู้ แล้วก็มีเรื่องที่ข้าไม่รู้ด้วยเช่นกัน พวกเจ้าทำเรื่องงามหน้าอะไรเอาไว้ข้าขอไม่พูดถึง แต่ชีวิตคนเราจะมีช่วงเวลาห้าปีได้กี่ครั้ง? พวกเจ้ากักบริเวณข้าไว้ห้าปีเต็ม หากมิใช่เพราะข้ารู้ว่าอะไรควรไม่ควร ถูไถเอาตัวรอดมาได้ เกรงว่าข้าคงตายโดยไร้ที่ฝังไปนานแล้ว! ”

“หลังลงจากเขา ก็ยังไม่ยอมปล่อยข้าไป ใช้จดหมายฉบับหนึ่งหลอกข้าไปที่วัดหนานซาน ยังคงต้องการสังหารข้าให้ได้ เจ้าอย่าพูดเลยว่าเจ้าไม่รู้เรื่องพวกนี้ ทั้งสำนักสวรรค์พิสุทธิ์รวมถึงตัวเจ้า บ้างก็หวังให้ข้าตายไปโดยเร็ว บ้างก็มองดูข้าไปตายอย่างเย็นชา ข้าขอถามเจ้าหน่อยเถอะ หากเปลี่ยนเป็นเจ้ามาเป็นข้า อยู่ในสำนักเช่นนี้ เจ้าจะรู้สึกผิดหวังหรือเปล่า เจ้าจะกลับไปอย่างไร? เจ้าสำนักถัง มิใช่ว่าข้าคิดเล็กคิดน้อย แต่พวกเจ้าไร้ความปรานีเกินไป เลือดเย็นจนทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว…ตัดเยื่อขาดใยกันไปแล้ว กลับไม่ได้แล้ว!”

ถังอี๋ส่ายหน้าเบาๆ “สิ่งที่เจ้าพูดมาข้าล้วนเข้าใจ ความรู้สึกของเจ้าข้าเองก็เข้าใจเช่นกัน แต่สถานการณ์ของเจ้าในยามนี้อันตรายยิ่งนัก ราชสำนักแคว้นเยี่ยนไม่มีทางละเว้นเจ้า แต่ถ้าอยู่ที่นี่ อย่างน้อยราชสำนักแคว้นเยี่ยนก็ไม่กล้าวู่วามทำอะไรเจ้าง่ายๆ”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ฟังจากที่เจ้าพูดมา ความหมายของเจ้าคือถ้าแยกจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ ข้าคงไปไม่รอดกระมัง?”

ถังอี๋ตอบว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว อย่างน้อยข้าก็สามารถรับประกันความปลอดให้เจ้าได้ระดับหนึ่ง”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “กังวลมากไปแล้ว ข้าเอาตัวรอดจากสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มาได้ อยู่รอดมาจนถึงตอนนี้ได้ ข้าเองก็มิได้กระจอกอย่างที่เจ้าคิด”

ถังอี๋กล่าวว่า “โหย่วเต้า ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาถือทิฐิ”

หนิวโหย่วเต้าตอบกลับ “เป็นเจ้าต่างหากที่คิดมากไปแล้ว ข้าขอพูดตรงๆ แล้วกัน สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไม่คู่ควรให้ข้าถือทิฐิ ข้าไม่อยากกลับไป เป็นเพราะข้าไม่อยากแบกรับภาระอย่างสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ เรื่องที่คนทั้งสำนักสวรรค์พิสุทธิ์กระทำต่อข้า ข้าปล่อยวางได้ ถือเสียว่าตอบแทนน้ำใจตงกัวเฮ่าหราน แต่ข้าไม่อาจตอบแทนความแค้นด้วยเมตตาได้ คนอย่างพวกเจ้า ไม่คู่ควรให้ข้ากลับไปทุ่มเทแรงกายแรงใจให้!”

ถังอี๋ยังคงเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้ต้องการให้เจ้าทำอะไรเลย แล้วก็ไม่ได้ต้องการให้เจ้าทุ่มเทแรงกายแรงใจให้ด้วย เป็นสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ที่ผิดต่อเจ้า เจ้าอยู่อย่างสำราญใจได้เลย”

“สำราญใจงั้นหรือ?” หนิวโหย่วเต้าหัวเราะฮ่าๆ ราวกับได้ยินเรื่องน่าขันที่สุดในโลก เขาถอนใจพลางเอ่ยว่า “ถังอี๋ เจ้าสำนักถัง ดูเหมือนความเข้าใจระหว่างเจ้ากับข้าจะต่างกันไม่น้อยเลย การกลับไปที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ต่างหากล่ะที่จะเป็นจุดเริ่มต้นความเดือดร้อนของข้า เรื่องบางเรื่องหากเข้าไปยุ่งกับมันแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจหนีพ้นได้ ยังไม่ต้องมองไปไหนไกล เซ่าผิงปอไม่มีทางละเว้นข้าแน่!

ถังอี๋ขมวดคิ้ว “ข้าขอย้ำอีกครั้ง เจ้าคิดมากไปแล้ว ระหว่างข้าและเซ่าผิงปอมิได้เป็นอย่างที่เจ้าคิด ข้ากับเขามิได้มีความสัมพันธ์อันน่าอายอันใด ข้าซื่อตรงไร้เรื่องละอายใจ แล้วก็ไม่ได้ทำผิดต่อเจ้า…ไม่ได้ทำผิดต่อสถานะของพวกเรา เอาอย่างนี้แล้วกัน ที่เซ่าผิงปอแสดงน้ำใจต่อข้าอย่างเปิดเผยเพราะมีเป้าหมายอื่นอยู่ต่างหาก”

“โอ้!” คำพูดนี้ต่างหากที่ทำให้หนิวโหย่วเต้านึกสนใจขึ้นมาจริงๆ สายตาเป็นประกายขึ้นมา ถามด้วยความสนใจว่า “เขามีเป้าหมายอะไร?”

“ในเมื่อเจ้าเป็นกังวลถึงเพียงนี้ ข้าเองก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของเจ้าได้…” ถังอี๋ขยับเข้ามา เดินเข้ามาใกล้เขา เอ่ยกระซิบอยู่ข้างกายเขาว่า “เป้าหมายของเซ่าผิงปอมิใช่ตัวข้า หากแต่เป็นจ้าวสยงเกอแห่งยอดเขาภูตมาร จ้าวสยงเกอต่างหากคือเป้าหมายที่เขาต้องการ”

ทั้งสองอิงแอบแนบชิด ครั้งสุดท้ายที่ใกล้ชิดกันขนาดนี้เป็นตอนที่ทั้งสองเกี่ยวแขนดื่มสุรากันในสวนดอกท้อ กลิ่นกายหอมเจือจางของสตรีนางนี้ได้กระตุ้นความทรงจำบางอย่างของเขาขึ้นมา หนิวโหย่วเต้ามองนางที่อยู่ในระยะใกล้แวบหนึ่ง ร้องโอ้แล้วกล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้ว แต่เจ้าแน่ใจหรือว่าเขาไม่ได้หมายตาเจ้าด้วย?”

เหตุใดในวาจานี้ถึงคล้ายมีความรู้สึกหึงหวงแฝงเอาไว้อยู่? ถังอี๋ไม่รู้เช่นกันว่าควรจะดีใจหรือไม่ อดไม่ได้ที่จะมองเขาอีกครั้ง ตอบไปว่า “เขาจะคิดอย่างไร ข้าไม่สนใจทั้งนั้น ข้ามีขอบเขตของตัวเอง หากเจ้าเปิดเผยตัวตนกลับมา เขาย่อมต้องรู้ตัวแล้วถอยออกไป!”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “เจ้าสำนักถัง เจ้าโง่หรือข้าโง่กันแน่? ไม่ว่าเขาจะหมายตาเจ้าหรือต้องการตัวจ้าวสยงเกอ เขาก็ต้องคว้าตัวเจ้ามาให้ได้ก่อนถึงจะเข้าใกล้จ้าวสยงเกอได้ หากข้ากลับไปยังสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ นั่นมิเท่ากับกลายเป็นหินขวางเท้าเขาหรอกหรือ เกรงว่าเรื่องแรกที่เซ่าผิงปอจะทำก็คือกำจัดข้าทิ้ง จะปกป้องข้าอย่างนั้นหรือ เจ้าล้อเล่นอยู่หรือไง? ”

ถังอี๋ผงะไปเล็กน้อย นางเอาแต่คิดจะเกลี้ยกล่อมให้เขากลับมาจนมองข้ามเรื่องนี้ไปเสียได้ เมื่อทบทวนดูแล้ว พบว่ามีอันตรายอย่างที่อีกฝ่ายว่ามาอยู่จริงๆ “ข้าเพียงอยากให้เจ้าเข้าใจว่าเรื่องราวมันมิใช่อย่างที่เจ้าคิด ความคิดของเขาข้าทราบกระจ่างดี อีกทั้งสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ก็จำเป็นต้องอาศัยอำนาจของเขาในการฟื้นฟูสำนักด้วย!”

“เหลวไหลทั้งเพ เจ้าบอกว่ามีขอบเขตของตัวเอง ไม่มีทางปล่อยให้เขาได้สมหวัง แต่ขณะเดียวกันก็คิดจะอาศัยอำนาจของเขาไปด้วย เจ้าไม่คิดว่าสองเรื่องนี้มันย้อนแย้งขัดกันบ้างหรือ? ยามนี้เจ้ากำลังเล่นกับไฟอยู่ และข้าก็กล้ารับประกันเลยว่าเจ้าเอาชนะเขาไม่ได้แน่นอน ช้าเร็วก็จะกลายเป็นเนื้อที่ตกถึงปากเขา คิดจะทำให้สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ฟื้นฟูขึ้นมาด้วยมือพวกเจ้า ข้าว่ามันแทบจะไม่มีหวังเลย เพราะตอนนี้ข้ามั่นใจแล้วว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์ไร้ผู้มีความสามารถ ล้วนมีแต่คนธรรมดา ไม่แปลกที่จะตกต่ำจนมาถึงจุดนี้ได้!”

หนิวโหย่วเต้าถอนใจ “ก่อนหน้านี้ข้ายังแปลกใจอยู่ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเอาตัวรอดมาจนถึงตอนนี้ได้โดยไม่พลาดท่าเขา หลงนึกว่าสำนักสวรรค์พิสุทธิ์มีคนที่มีความสามารถอยู่ ตอนนี้ถึงได้เข้าใจแล้ว วุ่นวายมาตั้งนาน คิดไม่ถึงว่าปัญหามันจะอยู่ที่ตัวข้า”

ถังอี๋เอ่ยถาม “หมายความว่าอย่างไร?”

หนิวโหย่วเต้าส่ายศีรษะ “เจ้าว่ามันหมายความว่าอย่างไรล่ะ? เจ้าประกาศต่อภายนอกว่าเจ้าเป็นหญิงมีสามี ข้ายังไม่ตาย เซ่าผิงปอก็ไม่มีทางครอบครองเจ้าอย่างชอบธรรมได้ เนื่องเพราะเซ่าผิงปอหาตัวข้าไม่พบ ดังนั้นจึงไม่สะดวกลงมือกับเจ้า ไม่แน่ว่าเซ่าผิงปออาจจะรอให้แคว้นเยี่ยนกำจัดข้าอยู่ก็เป็นได้ หากว่าแคว้นเยี่ยนกำจัดข้าไม่ได้ เกรงว่าเขาคงต้องหาทางลงมือเองแล้ว เวรเอ้ย จู่ๆ ก็มีศัตรูเพิ่มขึ้นมาแบบนี้เสียได้ หากวันนี้ไม่รู้เรื่องนี้ เกรงว่าภายหน้าคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองตายอย่างไร”

“….” ถังอี๋สะอึกจนพูดไม่ออก รู้สึกว่าคนผู้นี้หลงตัวเองเกินไปหน่อยหรือเปล่า

“ถังอี๋ ข้าไม่สนว่าเจ้าจะจริงใจหรือเสแสร้ง แล้วก็ไม่สนว่าเจ้าจะฟังเข้าหูหรือไม่ เห็นแก่เจตนาดีของเจ้าในวันนี้ แล้วก็เห็นแก่บุญคุณของตงกัวเฮ่าหราน ข้าจะขอเตือนเจ้าไว้สักหน่อย คิดจะพึ่งพาผู้อื่น ย่อมต้องเสียค่าตอบแทน สำนักสวรรค์พิสุทธิ์จะพึ่งพาผู้ใดก็เหมือนกันทั้งนั้น แต่ว่า…พวกเจ้าอยู่ห่างๆ เซ่าผิงปอไว้สักหน่อยจะดีกว่า มิใช่เพราะว่าเซ่าผิงปอมีเจตนาอันใดต่อตัวเจ้า เจ้ากับเซ่าผิงปอจะมีความสัมพันธ์ที่เปิดเผยไม่ได้อะไรนั่นหรือไม่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้าเช่นกัน”

“ข้าขอเตือนให้พวกเจ้าไปพึ่งพากลุ่มอิทธิพลอื่นเสียจะดีกว่า จากประสบการณ์ของข้า เซ่าผิงปอคนนี้อันตราย ค่อนข้างอันตรายเลยล่ะ พวกเจ้าไม่มีทางเอาชนะเขาได้ อย่านึกว่าพวกเจ้าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรแล้วจะทำอันใดได้ เรื่องราวของจ้าวสยงเกอข้าเองก็พอรู้มาบ้าง มาตรว่าพลังของจ้าวสยงเกอจะแข็งแกร่ง แต่ข้าคิดว่าเมื่อต้องอยู่ในสถานการณ์ที่มีเงื่อนไขจำกัดแล้ว เกรงว่าจ้าวสยงเกออาจจะมิใช่คู่ต่อสู้ของเซ่าผิงปอ แต่ไหนแต่ไรมาสิ่งที่มนุษย์สามารถใช้สร้างความเสียหายให้แก่มนุษย์ด้วยกันเองได้รุนแรงที่สุดหาใช่พลังการต่อสู้ไม่!”

แต่ใครจะไปรู้ว่าถังอี๋กลับหยิบกระดาษแผ่นนั้นออกมา เดินไปหยุดข้างเตาไฟที่ต้มน้ำแกงอยู่ ยัดกระดาษใส่เข้าไปในเปลวไฟ มอดไหม้เป็นเถ้าถ่านในชั่วพริบตา

หนิวโหย่วเต้าย่อมจำได้ว่านั่นเป็นสิ่งที่ตนเขียนขึ้นมาก่อนหน้านี้

ถังอี๋หันหลังเดินกลับมา เอ่ยว่า “หากเจ้าต้องการเช่นนี้ข้าก็จะไม่ขวางเจ้า แต่ตอนนี้ข้าไม่อาจรับสิ่งนี้ไว้ได้ ข้าบอกไปแล้ว สิ่งที่สำนักสวรรค์พิสุทธิ์ติดค้างเจ้าข้าจะชดใช้คืนให้เจ้า ขอเวลาให้ข้าอีกสักหน่อย หากในอนาคตเจ้ายังอยากจะเขียนสิ่งนี้อยู่ ข้าค่อยรับเอาไว้ก็ยังไม่สาย!”

หนิวโหย่วเต้าเข้าใจแล้ว สตรีนางนี้ยังคงฟังไม่เข้าหัวอยู่ดี คิดๆ ไปก็พอจะเข้าใจได้ เส้นทางที่ทั้งสำนักลงมติเห็นพ้องต้องกันแล้วมิใช่สิ่งที่คำพูดเรื่อยเปื่อยไม่กี่ประโยคของเขาจะเปลี่ยนแปลงได้ เขายังดูอายุน้อยอยู่ สิ่งที่พูดไปไม่มีความน่าเชื่อถือ

ช่างเถอะ ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง อีกทั้งเขาก็ไม่ได้สนใจความเป็นความตายของคนกลุ่มนี้ด้วย ที่ไม่ลงมือล้างแค้นด้วยตัวเองก็นับว่าเมตตาอย่างมากแล้ว เขาถอนใจเอ่ยไปว่า “สิ่งนี้ทำให้เซ่าผิงปอยอมปล่อยข้าไปได้ เจ้าเผาทิ้งเช่นนี้ถือเป็นการทำร้ายข้า!”

ถังอี๋กล่าวว่า “เจ้าอายุยังน้อย อย่าได้ด่วนสรุปเรื่องราวต่างๆ เร็วเกินไป แล้วก็ไม่จำเป็นต้องกลัวเขาจนเกินไป”

“ข้าน่ะหรือกลัวเขา?” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยสีหน้าเย้ยหยัน จากนั้นเอ่ยต่อว่า “สำหรับบางคนแล้ว บางทีข้าอาจจะอันตรายยิ่งกว่าเขาเสียอีก! ข้าเพียงแค่ไม่อยากสร้างความวุ่นวายให้ตัวเองโดยไม่จำเป็นเท่านั้น”

ถังอี๋กล่าวว่า “เอาเถอะ ข้าไม่สะดวกรั้งอยู่ที่นี่นาน มีอะไรค่อยว่ากันทีหลัง”

“ช้าก่อน!” หนิวโหย่วเต้าเดินไปที่ริมหน้าต่าง กวักมือเรียกนาง ชี้ไปทางป่าเขาเขียวขจีที่อยู่อีกฟากฝั่งของแม่น้ำ “เห็นป่าแถบนั้นหรือไม่”

ถังอี๋ฉงน “เห็นแล้ว ป่าแถบนั้นมีอะไร?”

หนิวโหย่วเต้าเอ่ย “อีกเดี๋ยวจ้าจะเข้าใจเอง”

บนระเบียงชมทิวทัศน์ที่อยู่ริมแม่น้ำ เซ่าผิงปอกำลังคุยเรื่องงานกับนายทหารจำนวนหนึ่ง ผู้บำเพ็ญเพียรรายหนึ่งเดินเข้ามา ป้องปากกระซิบริมหูเขา รายงานเสียงแผ่ว “ถังซู่ซู่ ซูพั่ว ถังอี๋ผลัดกันเข้าไปในห้องครัวขอรับ”

สีหน้าเซ่าผิงปอราบเรียบ พยักหน้ารับนิดๆ สื่อว่าทราบแล้ว

ตอนอยู่ที่ท่าเรือ เขาก็สังเกตเห็นแล้วว่าพอเห็นจางซานคนนี้ สีหน้าของพวกถังอี๋ทั้งสามคนก็ดูผิดปกติไปเล็กน้อย จึงให้คนจับตามองเอาไว้

ถังอี๋ออกมาจากห้องครัวได้ไม่นาน ผู้บำเพ็ญเพียรที่ออกไปซื้อวัตถุดิบก็กลับมาเช่นกัน นำของไปโยนไว้ในห้องครัว

หลังจากให้คนปิดประตูห้องครัวแล้ว หนิวโหย่วเต้าก็กวักมือเรียกพวกเฮยหมู่ตานมาที่ริมหน้าต่าง ชี้ไปทางป่าที่ชี้ให้ถังอี๋ดูก่อนหน้านี้พร้อมเอ่ยว่า “เดี๋ยวพวกเจ้าหนีลงไปในแม่น้ำผ่านทางช่องทิ้งขยะก่อน ข้าจะตามไปทีหลัง หากหากันไม่พบ พวกเจ้าจงรีบกลับไปรอข้าที่จุดเดิมในอำเภอเป่ยซานแคว้นจ้าว”

เฮยหมู่ตานเอ่ยด้วยความแปลกใจ “หลังทำอาหารมื้อนี้เสร็จพวกเราก็ออกไปได้แล้ว ไยต้องแอบหนีด้วยล่ะเจ้าคะ เช่นนี้หากเซ่าผิงปอไม่พอใจขึ้นมาจะไม่เกิดปัญหาหรือ? หรือว่าเขาทราบตัวตนของเต้าเหยี่ยแล้วเจ้าคะ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ยังไม่ถึงขั้นรู้ตัวตนของข้าหรอก แต่สามคนนั้นผลัดเปลี่ยนเวียนกันเข้ามา เจ้าคิดว่าเซ่าผิงปอหูหนวกตาบอดอย่างนั้นหรือ? เซ่าผิงปอคนนั้นอันตรายเป็นอย่างยิ่ง ฉวยโอกาสตอนที่เขายังไม่รู้เรื่อง ไม่ได้จับตาดูพวกเราเป็นพิเศษ ฉวยโอกาสตอนที่เขายังไม่เฝ้าระวัง เรายังมีโอกาสหนีรอดไปได้อยู่ หากชักช้าล่ะก็ ถึงพวกเราอยากหนีก็คงหนีไม่รอดแล้ว จำเป็นต้องหนีทันที!”

………………………………………………………..