ตอนที่ 168 ขอกอดคุณหน่อยได้ไหม
ตอนที่ 168 ขอกอดคุณหน่อยได้ไหม
อุณหภูมิในเดือนสิงหา ไต่ขึ้นสู่จุดสูงสุด
ซูเถานั่งอยู่ในรถที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศ เธอรู้สึกว่าร้อนและอบอ้าว จึงเปิดกระจกรถและรับลมเย็นๆ เพื่อให้รู้สึกดีขึ้น
เมื่อเธอมาถึงเถาหยางก็กลับไปที่ห้องของตัวเอง และเรียกเจียงอวี่ออกมา
“ตอนนี้ฉันยังไม่มีห้องว่าง สองสามวันนี้ฉันต้องขอโทษที่ต้องให้คุณอยู่ในห้องหนังสือไปก่อน”
เจียงอวี่ไม่ถือสา เขารู้สึกว่าห้องนี้ดีกว่าหอพักหลายแห่งรวมในกองทัพ มีหน้าต่างบานใหญ่ แสงแดดส่องผ่าน และไม่ร้อนเกินไป
เสวี่ยเตาที่กำลังนอนคว่ำหน้าอยู่ เมื่อเห็นคนแปลกหน้าเข้ามา มันจึงเดินเข้าไปช้า ๆ และดมกลิ่นของเจียงอวี่ เมื่อไม่รู้สึกถึงอันตรายหรือเป็นศัตรู มันจึงหันหลังกลับและหาที่สำหรับนอนลงและนอนหลับต่อ
ไป๋จือหม่ากระโดดขึ้นไปบนโต๊ะอาหารด้วยความอยากรู้อยากเห็น จ้องมองเจียงอวี่ด้วยดวงตากลมโต
เจียงอวี่ไม่สนใจเจ้าขนปุยทั้งสอง
“คุณเก็บข้าวของที่นำมาก่อน เดี๋ยวฉันจะไปห้องข้าง ๆ เดี๋ยวจะรีบกลับ”
เธอต้องการถามป้าอู๋ที่อยู่ชั้นสองว่าสะดวกย้ายไปอยู่ชั้นบนหรือเปล่า
เธอต้องการให้เจียงอวี่อาศัยอยู่ข้าง ๆ เธอ เวลามีเรื่องอะไรเธอจะได้ตะโกนเรียกเขาง่าย ๆ
เธอไม่ได้พิจารณาที่จะให้เขาอยู่ร่วมกันกับเธอ เพราะถึงยังไงเจียงอวี่ก็เป็นผู้ชายและเป็นผู้ใหญ่แล้ว
และแน่นอนว่าเธอไม่ได้เหมารวมฟางจือ
เธอรู้ว่าจิตใจของเขายังเป็นเด็ก
ทันทีที่เธอเข้าไปในห้องของป้าอู๋ หลินฟางจือที่เพิ่งเรียนรู้งานเสร็จก็กลับมา
เมื่อเขาเห็นชายแปลกหน้าที่มีอายุไล่เลี่ยกับเขา ฟางจือก็ถามขึ้นมา “ใคร?”
เจียงอวี่มีบุคลิกเย็นชา เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่คบกับใครนอกจากซูเถา เขาไม่ตอบหลินฟางจือ และรีบเก็บข้าวของพร้อมกับหายไปในเงามืด
หลินฟางจือ มองดูคนตัวใหญ่หายตัวไปในตอนกลางวันแสกๆ เขายืนอยู่กับที่ด้วยความงุนงง
หลังจากมึนงงอยู่นาน ก็เริ่มมองหาเขาทั้งชั้นบนและชั้นล่าง
เจียงอวี่ที่หลบอยู่ในเงามืด เสวี่ยเตาถูกปลุกให้ตื่นจากนิทรา ไป๋จื่อหม่าที่กำลังเลียอุ้งเท้าของเขา คนหนึ่ง สุนัขหนึ่งและแมวหนึ่งตัวเฝ้าดูเขามองหาใครบางคนด้วยความตื่นตระหนก
จนกระทั่งซูเถากลับมาจากบ้านของเพื่อนบ้าน
เห็นหลินฟางจือเกาะอยู่บนหน้าต่างมองไปรอบ ๆ เธอถามเขาอย่างสงสัย “นายมองหาอะไร”
ทันทีที่พูดจบ เจียงอวี่ก็ปรากฏตัวขึ้น โดยยืนพิงประตูห้องหนังสือด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ซูเถาไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอรีบดึงฟางจือเพื่อแนะนำให้ทั้งสองคนรู้จักกัน
หลินฟางจือเข้าใจ
ชายคนนี้อยู่ที่นี่เพื่อปกป้องเถาจื่อ
ชายคนนี้จะอาศัยอยู่กับเขาและเถาจื่อ
ผู้ชายคนนี้ใช้เวลากับเถาจื่อมากกว่าที่เขาทำ
เขามองเข้าไปในห้องหนังสือ มีเตียงเดี่ยวอยู่ข้างใน และข้าวของเครื่องใช้ของชายคนนั้นยังคงแขวนอยู่บนผนัง
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าสิ่งของของเขาถูกคนอื่นขโมยไป
ชีวิตของเขากับเถาจื่อถูกแทรกแซงโดยคนแปลกหน้า
เขารับไม่ได้อยู่พักหนึ่ง
เขานึกถึงวันที่เถาจื่อพาเขามาที่นี่และสอนวิธีใช้เครื่องใช้ในบ้านทุกชนิด เหมือนกับการสอนเจียงอวี่ให้ใช้มันในตอนนี้ มันทำให้เขายิ่งตื่นตระหนกมากขึ้น
เขาสั่นสะท้าน เขานำผ้าห่มผืนเล็กของตัวเองและกอดมันแน่นในอ้อมแขน เพราะเขารู้สึกว่าความอบอุ่นที่เขาเคยได้รับมันลดน้อยลง
เขาไม่กล้ามองไปที่เจียงอวี่ ไม่กล้าฟังเสียงของเถาจื่อ เขาย่องตัวออกไปเงียบๆ และเข้าไปเก็บตัวอยู่ในห้วงมิติ
หลังจากที่ซูเถาอธิบายสิ่งต่าง ๆ เสร็จแล้ว เธอต้องการพาทั้งสองคนไปทานอาหารเย็นด้วยกัน แต่เมื่อเธอหันกลับมา เธอก็พบว่าฟางจือได้หายตัวไปแล้ว
เธอพยายามตะโกนเรียกอยู่นานเขาก็ไม่ออกมา ก็นึกว่าเขามีเรื่องให้ทำก็เลยออกไปข้างนอก
ปกติแล้วเวลาเขาเข้าไปอยู่ในมิติ เมื่อเขาได้ยินเธอเรียก เขาก็จะปรากฏตัวในไม่ช้า
ซูเถาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้ เธอทิ้งข้อความไว้ในเครื่องสื่อสารของฟางจือและพาเจียงอวี่ไปทานอาหารเย็น
แม้ว่าเจียงอวี่จะเคยได้ยินเกี่ยวกับความมั่งคั่งและความมั่นคงของเถาหยาง แต่เขาก็ยังตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นผู้สูงอายุนั่งคุยกันและเล่นหมากรุกอยู่ชั้นล่าง ในบริเวณรอบ ๆ ก็มีเด็ก ๆ กำลังเล่นน้ำอย่างสนุกสนาน
ระหว่างทางที่เดินไป ทุกคนที่เห็นซูเถาก็กล่าวทักทายเธอ เจียงอวี่ที่ปรากฏตัวข้างเธอก็ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นเช่นกัน
บรรยากาศแบบนี้เป็นสิ่งที่เจียงอวี่ไม่เคยรู้สึก
เขายังรู้สึกมึนงงเล็กน้อย ในระหว่างการกินมื้อค่ำ
ข้าวไม่อั้น ผักสดกรอบ ขนมและเครื่องดื่มต่าง ๆ…
น้องสาวของเขาไม่เคยกินสิ่งเหล่านี้
ในคืนก่อนที่เธอจะถูกพาตัวไป เธอยังทำตัวอ้อนเขาเหมือนเด็ก ๆ โดยบอกว่าเธออยากได้กลิ่นของอาหารหรือธัญพืช ถึงเธอจะไม่ได้กินแต่ก็อยากดมให้ชื่นใจ
เขาสัญญาว่าจะข้ามกำแพงไปที่บ้านของกองกำลังแบ่งแยกดินแดนในวันรุ่งขึ้นและขโมยข้าวหนึ่งกำมือมาให้เธอ…
แต่เมื่อเขาขโมยข้าวได้สำเร็จ น้องสาวของเขาก็กลับมาถูกลักพาตัวไป
เจียงอวี่หลับตาและกลืนน้ำลายก้อนใหญ่เข้าไปในคอ
เขาปกปิดมันอย่างดี ซูเถาไม่ได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ใด ๆ ในตัวเขาเลย เธอบอกให้เขากลับไปพักผ่อน ในขณะที่เธอไปประชุมประจำสัปดาห์กับจวงหว่านและคนอื่น ๆ
เธอสรุปยอดเช่าของเดือนที่แล้วออกมา เฉียนหรงหรงเก็บรอยยิ้มของเธอไว้ไม่อยู่
ซูเถาหยิบรายงานทางการเงินของเธอยื่นให้ รายได้จากค่าเช่าเดือนที่แล้ว 1.05 ล้านเหลียนปัง
เมื่อรวมยอดคงเหลือแล้วสินทรัพย์รวมสูงถึง 2.16 ล้านเหลียนปัง
จวงหว่านรายงาน
“ปัจจุบันเถาหยางมีผู้เช่า 210 ราย รวมกับลูกค้าที่เขาผานหลิว ก็ใกล้จะถึง 300 รายแล้ว เถ้าแก่ ตอนนี้มันไม่เพียงพอต่อความต้องการ ช่วงเวลากินข้าว ผู้เช่าจำนวนมากจะต้องเข้าคิวเพื่อรับประทานอาหาร มันไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่”
“คุณดูสิ… ตึกสำนักงานก็ขยายแล้ว ขยายโรงอาหารด้วยได้ไหม”
ซูเถา “ขอบคุณที่ช่วยเร่งนะคะ ฉันจะจัดการให้ค่ะ”
เฉียนหลินหัวเราะเสียงดัง “งั้นฉันไม่เกรงใจแล้วนะ เถ้าแก่ ขอห้องจำหน่ายสินค้าด้วยได้ไหม พืชผลที่เก็บเกี่ยวจะถูกขนส่งไปที่ห้องจำหน่ายโดยตรง มันจะสะดวกสำหรับผู้เช่าที่จะซื้อด้วย”
ซูเถา “ฉันสัญญาว่าฉันจะจัดการให้นะคะ”
หม่าต้าเพ่ากลืนคำพูดเรื่องกระตุ้นการขยายตัวของโรงแรมที่เขาผานหลิวในทันที
ชีอวิ๋นหลันรายงานปัญหาความปลอดภัยของสถานที่ทั้งสองแห่งตามปกติ ยกเว้นว่าเมิ่งเชียนซึ่งกำลังกางเต็นท์เพื่อประท้วงเรื่องพ่อของเธอที่ถูกกลั่นแกล้ง แต่ก็ยังไม่มีอะไรผิดปกติ
ซูเถาแสดงความเข้าใจและถามเรื่องเกี่ยวกับการรับสมัครคนมาช่วยเรื่องบริหารแล้วก็นักเรียนที่จะมาเรียนกับผู้อาวุโสเหม่ย
จวงหว่านถอนหายใจและพูดว่า “มีผู้สมัครค่อนข้างมาก แต่ฉันหาคนที่ใช่ไม่ได้ ฉันจะทำงานให้หนักขึ้นและพยายามสรุปผู้สมัครในเดือนนี้”
ในตอนท้ายของการประชุม ซูเถาทำงานอย่างหนักเพื่อเคลื่อนย้ายก้อนอิฐต่อไปอีกหนึ่งชั่วโมง โดยพยายามทำให้ตึกเถาหลี่มีชั้นที่สูงขึ้นให้ทันในวันรุ่งขึ้น
ตอนห้าทุ่ม เธอลงมาจากชั้นบนและกำลังจะกลับบ้านด้วยความเหนื่อยล้า
ขณะที่เธอก้าวออกจากอาคาร เธอก็เห็นสือจื่อจิ้นในชุดเครื่องแบบทหาร ซึ่งเธอไม่ได้เห็นมานาน
ภายใต้ดวงจันทร์สลัว ลมกลางคืนพัดมุมเครื่องแบบทหารของเขา เหมือนเขายังรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย ถึงหลังเขาจะยังตั้งตรง แต่ก็ดูออกว่าเขาคงอ่อนแรง
จู่ ๆ ซูเถาก็รู้สึกว่าคน ๆ นี้อยู่ใกล้เธอมาก แต่ก็เหมือนจะอยู่ไกล
เธอถามว่า “กลับมาแล้วเหรอ ทำไมคุณไม่กลับไปพักผ่อน”
สือจื่อจิ้นยิ้ม แต่รอยยิ้มนี้ดูห่างไกลไปหน่อย
หัวใจของซูเถาเต้นไม่เป็นจังหวะ และลางสังหรณ์ที่คุ้นเคยทำให้เธอรู้สึกว่าอาจมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น
สือจื่อจิ้นเป็นคนประเภทที่ไม่เคลื่อนไหวถึงแม้ว่าท้องฟ้าจะถล่มลงมา
ไม่ว่าจะลำบากหรือเหนื่อยยากเพียงใด เขาจะไม่แสดงท่าทางที่เปราะบางเช่นนี้ออกมาให้เห็น
“ทำไมเหรอ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า?”
แต่ชายคนนั้นส่ายหัวและเอื้อมมือไปหาเธอ
“ไม่มีเรื่องอะไรหรอก ผมแค่เหนื่อยนิดหน่อย ผมขอกอดคุณหน่อยได้ไหม ขอกอดคุณสักพัก”