หลังจากที่เอริกะใช้เวลาอีกหนึ่งคืนในการจัดการเรื่องต่างๆ ที่ค้างคาอยู่ในเมืองรีมินัสจนเสร็จสิ้น เธอก็ได้ใช้เวลาอีกสามวันในการเดินทางไปยังเมืองแพนเทร่าด้วยรถม้าจนในที่สุดเธอก็มาถึงเมืองแพนเทร่าในช่วงเช้าของวันที่สามนั่นเอง
ซึ่งเอริกะที่โดยปกติแล้วมักจะใช้สิ่งประดิษฐ์ของเธอที่ถูกเรียกว่ารถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นรถกระบะคันใหญ่หรือว่ารถยนต์คันเล็กความเร็วสูงที่รวดเร็วแถมยังนั่งสบายในการเดินทางนั้นก็ได้กระโดดลงมาจากหลังรถม้าและยกมือขึ้นบิดขี้เกียจก่อนจะพูดบ่นออกมาแบบไม่เกรงใจใครเลยแม้แต่น้อย
“ฮึ๊บ—— เฮ้อ… ก็เข้าใจล่ะนะว่ามันต้องให้ม้ากับคนขับเขาพักผ่อนกันด้วย แต่ว่าการเดินทางแบบนี้มันจะเสียเวลาไปมั้ยเนี่ย… เอาเถอะ ไปจัดการเรื่องให้เสร็จก่อนแล้วค่อยหาที่พักก็แล้วกัน~”
เอริกะที่พูดบ่นออกมาเสร็จแล้วนั้นได้เดินผ่านเข้าประตูเมืองแพนเทร่าไปได้โดยที่ไม่ได้โดนตรวจสอบอะไรจากทหารยามประจำเมืองมากนักก่อนที่ทันใดนั้นเองเธอจะชะงักฝีเท้าลงไปเล็กน้อยเมื่อเธอนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้และหยิบเอาเครื่องมือสื่อสารส่วนตัวออกมา
“อ่ะ… จะว่าไปก็ติดต่อไปหาเซซิเรียเอาไว้สักหน่อยดีกว่า…”
ปิ๊บ ปิ๊บ ปิ๊บ
ตืด— ตืด— ตืด—
“…ไม่ว่างรับสายงั้นหรอ แปลกแฮะ”
เสียงรอสายที่ลากยาวไปได้สักพักหนึ่งก่อนที่มันจะถูกตัดไปเองนั้นได้ทำให้เอริกะต้องพูดพึมพำออกมาด้วยความแปลกใจ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก เพราะบางทีเซซิเรียที่ออกไปทำภารกิจอะไรอยู่เธอก็มักจะไม่ว่างรับการติดต่อและปล่อยให้สายการสื่อสารโดนตัดไปเองแบบนี้เช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าในครั้งนี้ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้บอกเธอเอาไว้ก่อนเพียงแค่นั้น
และนั่นก็ทำให้เอริกะตัดสินใจที่จะเดินมุ่งหน้าตรงไปทางวังหลวงของเมืองแพนเทร่าเพื่อที่จะได้รีบๆ จัดการธุระให้เสร็จสิ้นไปก่อนที่ทันใดนั้นเองเธอจะถูกหยุดเอาไว้ด้วยนายทหารสองคนที่ยืนประจำการอยู่เบื้องหน้าประตูทางเข้าเข้า
“หยุด! ตอนนี้ปราสาทแพนเทร่าไม่มีแผนการเปิดให้เยี่ยมชม หรือถ้ามีธุระอะไรก็โปรดแจ้งด้วย”
“ค่าๆ พอดีว่าฉันมีนัดกับคนในวังนิดหน่อยน่ะค่ะ พอจะให้ผ่านเข้าไปได้มั้ยคะ?”
“แขกของท่านขุนนางงั้นหรอครับ ไม่ทราบว่ามีเอกสารหรือว่าหนังสือแนะนำหรือเปล่า?”
นายทหารในตอนแรกมีท่าทีแข็งกร้าวนั้นได้เปลี่ยนไปใช้ท่าทีที่ค่อนข้างจะนอบน้อมขึ้นมากหลังจากที่เขาได้ยินว่าเอริกะมีธุระกับคนข้างในวังหลวง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงไม่ยอมปล่อยเอริกะให้ผ่านประตูเข้าไปได้ง่ายๆ หลังจากที่เมื่อสัปดาห์ก่อนมีผู้ต้องสงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับกบฏหลุดรอดเข้าไปด้านในวังหลวงแถมยังสามารถหลบหนีไปได้จนทำให้เหล่าทหารยามถูกตำหนิเอาไว้ไม่ใช่น้อย
ซึ่งท่าทีกลัดกลุ้มของทหารยามที่ดูแล้วไม่กล้าทำตัวแข็งกร้าวต่อหน้าคนที่น่าจะมีธุระกับพวกขุนนางในวังหลวงจริงๆ มากนักแต่ก็ไม่กล้าปล่อยให้ผ่านเข้าไปได้ง่ายๆ นั้นก็ได้ทำให้เอริกะหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดตอบคำถามของเขากลับไป
“ไม่มีหรอกค่ะ ที่ฉันน่าจะให้ได้ก็มีแค่ชื่อของขุนนางที่รับผิดชอบเรื่องนี้นั่นแหล่ะค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นผมขอทราบชื่อของขุนนางที่คุณต้องการจะพบ แล้วก็ขอตรวจค้นสัมภาระที่คุณนำมาด้วยก็แล้วกันนะครับ”
“เชิญเลยค่ะ ส่วนชื่อของคุณขุนนางที่ฉันมาขอพบนั่นชื่อว่า–”
“เหวอ—!?”
ในขณะที่เอริกะเพิ่งจะยื่นกระเป๋าหนังสีน้ำตาลใบใหญ่สำหรับเดินทางไปให้นายทหารอีกคนหนึ่งตรวจดูและกำลังพูดตอบนายทหารคนแรกกลับไปอยู่นั้นเอง อยู่ๆ นายทหารหนุ่มอายุน้อยคนที่ได้รับกระเป๋าของเอริกะไปตรวจค้นดูนั้นก็ได้หลุดเสียงร้องด้วยความตกใจออกมาเมื่อสิ่งแรกที่เขาได้เห็นเมื่อเปิดกระเป๋าออกมานั้นก็คือของใช้ส่วนตัวของเอริกะอย่างผ้าชิ้นบางที่เข้าชุดกันทั้งส่วนบนและส่วนล่าง ที่เหมือนเอริกะที่กำลังยิ้มเยาะนั้นจะจงใจวางมันไว้ด้านบนสุดเพื่อที่จะหาโอกาสแกล้งใครก็ตามที่กะจะเปิดมัน
ซึ่งเสียงร้องของนายทหารคนนั้นก็ได้ทำให้นายทหารคนที่อายุเยอะกว่าที่กำลังสอบถามเอริกะอยู่ต้องหันกลับไปมองดูก่อนที่เขาจะพูดบ่นออกมาเบาๆ ด้วยความเหนื่อยใจแล้วจึงหันกลับไปพูดสอบถามเอริกะต่อ
“ให้ตายสิ พวกเด็กสมัยนี้นี่นะ… ไหน เมื่อกี้นี้คุณว่าอะไรนะครับ”
“อ๋อ พอดีว่าฉันเป็นนักประดิษฐ์และนักวิจัยที่ถูกคุณขุนนางของที่นี่เรียกให้มาช่วยตรวจสอบเรื่องของหมอกพวกนี้น่ะค่ะ”
“ต้องการจะตรวจสอบส่วนไหนของเมืองล่ะ แล้วขุนนางคนที่เรียกคุณมาชื่อว่าอะไร?”
“ก็ตรวจสอบข้างในปราสาทนี่ล่ะค่ะ ส่วนคุณขุนนางคนนั้นเขาเหมือนจะเป็นเคาน์เตสที่ชื่อว่าอาริสะหรือว่าอะไรสักอย่างนึงนี่แหล่ะ”
“อ่ะ— รบกวนช่วยรอสักครู่นะครับ! เดี๋ยวผมจะรีบไปตามท่านอาริสะมาให้เดี๋ยวนี้ล่ะครับ! เฮ้ย ไม่ต้องตรวจแล้ว เก็บของให้เข้าที่ให้เรียบร้อยด้วย…!”
นายทหารวัยกลางคนที่ได้ยินว่าเอริกะมีธุระกับเด็กสาวหูจิ้งจอกผมสีแดงที่มีตำแหน่งเป็นถึงเคาน์เตสนั้นได้สะดุ้งไปเล็กน้อยก่อนที่เขาจะรีบพูดบอกเอริกะและนายทหารอีกคนแล้วจึงรีบวิ่งตรงเข้าไปภายในตัวปราสาทในทันที
และหลังจากนั้นอีกไม่นานนักเขาก็ได้เดินกลับมาพร้อมกับเคาน์เตสอาริสะที่ยังคงแต่งตัวด้วยชุดเดรสสีขาวที่ดูหรูหราเช่นเคย
ซึ่งในทันทีที่อาริสะได้สังเกตเห็นเอริกะนั้นดวงตาของเธอก็ได้เบิ่งกว้างขึ้นเล็กน้อยเหมือนกับกำลังตื่นเต้นก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดทักทายขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ เป็นทางการ
“คุณคงจะเป็นคุณเอริกะงั้นสินะคะ ก่อนหน้านี้ที่ผู้หญิงผมเขียวคนนั้นบอกว่าจะส่งคนมาช่วยดูห้องควบคุมให้ดิฉันก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าจะเป็นคุณนี่เอง”
“พวกเราเคยเจอกันมาก่อนด้วยหรอจ๊ะ?”
เอริกะที่ได้ยินเคาน์เตสอาริสะพูดเหมือนกับว่ารู้จักเธออยู่แล้วนั้นได้พูดถามกลับไปด้วยความแปลกใจ และนั่นก็ทำให้อาริสะต้องส่ายหน้ากลับมาให้เธอเล็กน้อยก่อนที่เด็กสาวจะพูดตอบกลับมา
“ไม่เคยหรอกค่ะ แต่ไม่ว่าใครที่ทำงานในสายนี้ก็ต้องเคยได้ยินชื่อของคุณเอริกะยอดนักประดิษฐ์ผมสีแดงคนนั้นมาก่อนอยู่บ้างอยู่แล้ว… ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนตามมาได้เลยค่ะ ส่วนกระเป๋านั่นเดี๋ยวจะมีคนนำไปไว้ที่ห้องพักรับรองให้เอง”
“โอ้ มีบริการห้องพักให้ด้วยหรอเนี่ย งั้นฉันฝากกระเป๋าเอาไว้ในมือนายด้วยก็แล้วกันนะคุณทหาร~”
เอริกะพูดตอบอาริสะกลับไปก่อนที่เธอจะหันไปพูดแหย่นายทหารหนุ่มเล็กน้อยแล้วจึงค่อยเดินตามหลังเด็กสาวเคาน์เตสที่กำลังส่ายหางจิ้งจอกฟูๆ สีแดงไปมาเข้าไปภายในตัวปราสาท ซึ่งภาพของหางจิ้งจอกสีแดงนุ่มฟูที่กำลังส่ายไปมาของเด็กสาวที่ดูแล้วคุ้นตาเอริกะอย่างบอกไม่ถูกนั้นก็ได้ทำให้เอริกะต้องพูดถามเด็กสาวขึ้นมาเพิ่มความแน่ใจ
“เอ… นี่พวกเราไม่เคยเจอกันมาก่อนจริงๆ หรอจ๊ะ?”
“ถึงดิฉันจะเคยได้ยินชื่อเสียงของคุณเอริกะมาบ้างแต่ดิฉันมั่นใจว่าพวกเราไม่เคยเจอกันมาก่อนแน่ๆ ค่ะ… ถ้าอย่างนั้นดิฉันขอแนะนำตัวก่อนก็แล้วกันนะคะ ดิฉันเคาน์เตส อาริสะ เป็นผู้ที่รับหน้าที่หัวหน้าหน่วยค้นคว้าและวิจัยของเมืองแพนเทร่า ผู้ดูแลห้องควบคุม และมีตำแหน่งเป็นเคาน์เตสของเมืองแพนเทร่าแห่งนี้ค่ะ”
“ฉัน เอริกะ ซิกมอร์ เป็นนักประดิษฐ์จ้ะ”
“เรื่องนั้นดิฉันรู้อยู่แล้วล่ะค่ะ เพราะว่านอกจากชื่อเสียงเรื่องงานประดิษฐ์ของคุณที่โด่งดังอยู่ในเมืองรีมินัสแล้วดิฉันยังเคยได้เห็นแล้วก็ศึกษาผลงานที่คุณเคยแอบมาร่วมกันออกแบบกับหัวหน้าหน่วยค้นคว้าและวิจัยรุ่นก่อนอย่างพวกไจโรสโคป ไอพ่นสำหรับทรงตัวกลางอากาศหรือแม้แต่ชิ้นส่วนของปืนใหญ่วิซที่คุณพยายามจะไม่เปิดเผยชื่อเอาไว้ในชิ้นงานด้วยน่ะค่ะ”
“อุ้ยแหม่ ที่แท้ก็เป็นแฟนคลับของฉันเองงั้นหรอเนี่ย ทำเอาเขินอยู่เหมือนกันนะ”
คำพูดชมของอาริสะนั้นได้ทำให้เอริกะต้องยกมือขึ้นมาเขี่ยแก้มของตนเองด้วยท่าทีเขินอาย เพราะว่านี่นับเป็นครั้งแรกที่มีคนมาพูดบอกเธอตรงๆ ว่าได้นำแบบแปลนสิ่งประดิษฐ์ของเธอไปศึกษาและพัฒนาต่อแทนที่จะเป็นการส่งคนรับใช้มาบอกว่าพวกเขาตัดสินที่จะเก็บอุปกรณ์สิ่งประดิษฐ์ชนิดใหม่ของเธอเข้าห้องเก็บผลงานและละเลยมันไปดั่งเช่นทุกครั้ง
“มันก็อะไรประมาณนั้นนั่นแหล่ะค่ะ…”
อาริสะพูดตอบเอริกะกลับไปสั้นๆ และเดินนำเอริกะลงไปตามบันไดที่ทอดยาวลงไปสู่ชั้นใต้ดินก่อนที่เธอจะเดินไปหยุดอยู่ที่ประตูเลื่อนที่ทำจากเหล็กบานหนึ่งที่อยู่ตรงสุดทางและพูดบอกเอริกะขึ้นมา
“ห้องนี้แหล่ะค่ะที่ท่านไมเคิลเขาคอยเฝ้าดูแลมาตลอดในช่วงที่เขายังมีชีวิตอยู่น่ะ…”
หลังจากที่อาริสะพูดบอกเอริกะเสร็จแล้วเธอก็ได้หยิบเอากุญแจดอกหนึ่งออกมาไขจนทำให้ประตูเหล็กถูกเลื่อนเปิดออกเผยให้เห็นห้องที่ดูเหมือนกับห้องนั่งเล่นธรรมดาๆ อันประกอบไปด้วยโต๊ะเหล็กทรงกลมและเก้าอี้โลหะสีเดียวกันสี่ตัว ในขณะที่ริมกำแพงด้านหนึ่งก็มีตู้เก็บของที่ดูธรรมดาๆ ถูกตั้งเอาไว้จนดูราวกับว่ามันเป็นเพียงแค่ห้องนั่งเล่นในบ้านของประชาชนธรรมดาๆ ที่ดูไม่เข้ากับสถานที่ที่มันถูกตั้งอยู่เลยแม้แต่น้อย
และถ้าจะมีอะไรที่จะสามารถเรียกได้อย่างสะดวกปากว่าผิดปกติสำหรับห้องนี้นั้นก็คงจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าหลอดไฟที่ไม่จำเป็นต้องใช้วิซแบบเดียวกับที่เอริกะใช้งานในบ้านและคฤหาสน์ตระกูลรีวิซที่ถูกติดตั้งเอาไว้ที่ตรงเพดานกลางห้องที่แตกต่างไปจากส่วนอื่นของปราสาทที่ยังคงใช้ตะเกียงวิซกันอยู่นั่นเอง
ซึ่งภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้านั้นก็ได้ทำให้เอริกะเผยรอยยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดีก่อนที่เธอจะเดินตรงเข้าไปนั่งที่หนึ่งในเก้าอี้ที่ถูกตั้งเอาไว้ภายในและเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“อื้มๆ เหมือนว่าทุกอย่างจะยังอยู่ในสภาพเดิมเลยสินะเนี่ย~”
“ค่ะ ท่านไมเคิลเคยบอกเอาไว้ว่าเขาพยายามที่จะคงสภาพของห้องนี้เอาไว้ตามเดิมน่ะค่ะ แล้วดิฉันเองก็ไม่มีแผนจะทำอะไรกับห้องนี้จนกว่าจะรู้ถึงสาเหตุที่ท่านไมเคิลพยายามจะรักษาสภาพห้องนี้เอาไว้เหมือนกัน”
“หืม~ พูดแบบนี้นี่แปลว่าเธอมีอะไรสักอย่างกับไมเคิลเขาหรือเปล่าเนี่ย~?”
เอริกะที่ได้ยินคำพูดของอาริสะนั้นได้พูดถามกลับไปด้วยท่าทีอารมณ์ดี แต่ว่าคำถามของเธอนั้นก็กลับทำให้อาริสะก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดตอบกลับมา
“ไม่หรอกค่ะ… ถึงเมื่อก่อนท่านไมเคิลจะเคยเป็นคนดูแลสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ดิฉันเคยอาศัยอยู่ แต่ว่าตอนนี้เขาก็เป็นแค่กบฏที่คิดจะล้มล้างราชวงศ์เท่านั้นล่ะค่ะ…”
“หว๋าย… เผลอไปเหยียบกับระเบิดเข้าให้แล้วล่ะสิเนี่ย… อ่ะ— ว่าแต่เธอบอกว่าเคยอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของไมเคิลเขามาก่อนงั้นหรอ?”
“มันก็… อะไรประมาณนั้นแหล่ะค่ะ แต่ถ้ายังไงตอนนี้เรากลับมาเข้าเรื่องของห้องนี้กันก่อนน่าจะดีกว่านะคะ”
อาริสะพูดตอบเอริกะกลับไปสั้นๆ ก่อนที่เธอจะพยายามดึงเอริกะกลับเข้าเรื่องงานราวกับว่าเธอไม่อยากจะพูดเรื่องอดีตของตัวเองสักเท่าไหร่นัก ซึ่งนั่นก็ทำให้เอริกะที่เห็นท่าทีลำบากใจของอาริสะตัดสินใจที่จะหยุดการพูดคุยเล่นกันและเริ่มต้นทำงานในทันที
“อื้ม ก็นั่นสิเนอะ เอาไว้เสร็จงานแล้วค่อยมานั่งคุยเล่นกันน่าจะดีกว่าจริงๆ นั่นแหล่ะ~”
หลังจากที่เอริกะพูดตอบอาริสะกลับไปเสร็จแล้วนั้นเอง เธอก็ได้กดไปที่ขาแว่นของเธอจนทำให้เลนส์ข้างหนึ่งของมันเรืองแสงจางๆ ออกมาก่อนที่เธอจะเงยหน้ามองไปมาเหมือนกับกำลังพยายามมองหาอะไรบางอย่างอยู่จนทำให้อาริสะที่เห็นแบบนั้นต้องพูดถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“เอ่อ… คุณเอริกะกำลังทำอะไรอยู่หรอคะ? ถ้าเกิดว่าคิดจะใช้วิซทำอะไรรุนแรงภายในห้องนี้ล่ะก็ดิฉันคงจะต้องขอห้ามเอาไว้ก่อนนะคะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ฉันแค่กำลังตรวจสอบสภาพวงจรอยู่แค่นั้นแหล่ะ รับรองว่าไม่มีอะไรเสียหายหรอก~”
“วงจรงั้นหรอคะ? ถ้าเกิดว่าเป็นเรื่องวงจรวิซสำหรับกลไกทางลับอะไรพวกนั้นล่ะก็ดิฉันเคยลองตรวจสอบดูหลายรอบแล้วแต่ก็ไม่พบอะไรเลยนะคะ”
“ที่พวกเธอหากันไม่เจอก็เพราะว่ามันไม่ใช่วงจรวิซยังไงล่ะจ๊ะ~ อ่ะ ตรงนั้นนั่นไง~”
เอริกะพูดตอบอาริสะกลับไปก่อนที่เธอจะชะงักไปเล็กน้อยเมื่อตรวจพบกับจุดที่วงจรมันมีปัญหา ซึ่งเอริกะก็ได้เดินตรงไปยังด้านหนึ่งของกำแพงก่อนที่เธอจะจัดการแงะเอาแผงเหล็กที่มีปุ่มที่เอาไว้สำหรับกดเปิดปิดไฟบนเพดานออกมาทั้งอันจนทำให้อาริสะต้องหลุดเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ
“ด–เดี๋ยวก่อนสิคะ— เอ๋…?”
อาริสะที่กำลังจะร้องห้ามเอริกะเอาไว้นั้นได้ชะงักไปด้วยความแปลกใจ เพราะว่าที่ด้านหลังของแผงสวิทช์ไฟนั้นได้มีแผงปุ่มกดอีกอันหนึ่งที่เธอไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อนถูกแอบซ่อนเอาไว้ที่ภายใน
แต่ถึงอย่างนั้นเอริกะก็กลับดูเหมือนว่าจะไม่ใส่ใจแผงปุ่มกดเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อยเมื่อเธอได้หยิบเอาไขควงอันเล็กออกมาจัดการไขเปิดแผ่นเหล็กบางๆ ตรงส่วนด้านล่างของแผงปุ่มกดออกและลงมือทำอะไรสักอย่างที่อาริสะมองไม่เห็นเนื่องจากถูกศีรษะทุยๆ ของเอริกะและเส้นผมสีแดงที่ถูกมัดเอาไว้เป็นทรงทวินเทลบดบังเสียจนมิด
“เอ… ไหนดูซิ… เอาอันนี้มาต่อกับอันนี้ เสร็จแล้วก็เอาอันนี้ไปต่อกับตรงนู้น… เอาล่ะ~ เสร็จเรียบร้อย~ ไหนๆ พร้อมแล้วหรือยังเอ่ยอาริสะจัง~”
“เอ๋ะ? พ–พร้อมอะไรหรอคะ?”
“ก็พร้อมที่จะได้รู้ว่าที่จริงแล้วห้องนี้มันเป็นแค่ส่วนหนึ่งของ— เอ๋…?”
ในขณะที่เอริกะกำลังพูดบอกอาริสะด้วยน้ำเสียงเหมือนกับพวกแม่ค้าที่กำลังนำเสนอขายสินค้าบางอย่างอยู่นั้นเอง อยู่ๆ เธอก็ได้ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเธอได้สังเกตเห็นคราบสีแดงเข้มแห้งกรังที่เกาะติดอยู่บนหนึ่งในปุ่มกดเบื้องหน้าเข้า ซึ่งเอริกะก็ได้ขมวดคิ้วจ้องมองมันเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดถามอาริสะขึ้นมา
“อาริสะจัง… ก่อนหน้านี้ที่เธอบอกว่าไมเคิลเขาไม่อยู่แล้วเนี่ย เธอพอจะบอกได้หรือเปล่าว่าเขาตายยังไงน่ะ”
“สาเหตุการเสียชีวิตท่านไมเคิลน่ะหรอคะ…? เรื่องนั้นดิฉันเองไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะเพราะว่าไม่มีเอกสารถูกบันทึกเอาไว้อย่างเป็นทางการ เท่าที่ทุกคนทราบก็คือว่าท่านไมเคิลถูกล่าสังหารในฐานะกบฏจนต้องรีบหลบหนีออกไปจากปราสาทก่อนที่จะพวกเขาจะกลับมารายงานว่าภารกิจเสร็จเรียบร้อยแล้วน่ะค่ะ”
“หมายความว่าไม่มีใครเคยได้เห็นตอนที่เขาตายหรือว่าร่างของเขาเลยงั้นสินะ?”
“ค่ะ… เพราะจนถึงตอนนี้ภรรยาของท่านไมเคิลก็ยังไม่ได้รับศพของท่านไมเคิลกลับไปทำพิธีเลยน่ะค่ะ”
“งั้นหรอ… เพราะแบบนั้นก็เลยมาจบอยู่ที่ตรงนี้สินะ… เอาเถอะ…”
เอริกะที่ได้ยินคำตอบของอาริสะนั้นได้พูดพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนที่เธอจะกดไปที่ปุ่มที่มีคราบสีแดงเข้มจนเกือบจะเป็นสีดำเกาะติดอยู่จนทำให้มันส่งเสียงออกมาเบาๆ
ปิ๊บ
กริ๊ก ครึก–ครื่ดดดดด—-
“——!?”
ในทันทีที่นิ้วของเอริกะกดลงไปที่ปุ่มที่ว่านั่นเอง อยู่ๆ ห้องทั้งห้องที่พวกเธออยู่ก็สั่นสะเทือนเบาๆ พร้อมๆ กับที่อาริสะรู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายของตัวเองเบาลงเล็กน้อยจนทำให้เธอสะดุ้งไปและส่ายหางจิ้งจอกสีแดงที่ดูนุ่มฟูของเธอไปมาด้วยท่าทีเหมือนกับกำลังกังวลใจ
ซึ่งภาพของหางจิ้งจอกสีแดงที่ดูนุ่มฟูที่กำลังส่ายไปมานั้นก็ได้ทำให้เอริกะที่โดนมันดึงดูดสายตาไปอีกครั้งหนึ่งต้องพูดถามขึ้นมาเพราะว่าเธอรู้สึกคุ้นเคยกับภาพแบบนั้นอย่างบอกไม่ถูก
“เอ… ฉันว่าฉันเคยเห็นเธอมาก่อนจริงๆ นะ… พวกเราไม่เคยเจอกันมาก่อนจริงๆ หรอน่ะ?”
กึ้ง— ติ๊ง~
แต่ทว่ายังไม่ทันที่อาริสะจะได้พูดตอบอะไรกลับไป อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงที่ฟังดูเหมือนกับเสียงของกระดิ่งดังขึ้นมาให้ทุกคนได้ยินก่อนที่ความรู้สึกเบาโหวงที่อาริสะสัมผัสได้จะวูบหายไปและตามมาด้วยเสียงของกลไกอะไรบางอย่างที่กำลังขับเคลื่อนแทน
ครึกครึก— ฟู่วววว…..
“นั่นมัน—”
ในขณะที่กำลังมีเสียงของกลไกอะไรบางอย่างกำลังทำงานอยู่ที่ด้านหลังกำแพงอยู่นั้นเอง ประตูทางเข้าเพียงแห่งเดียวของห้องก็ได้เลื่อนเปิดออกอย่างช้าๆ พร้อมๆ กับที่มีหมอกควันสีเทาขมุกขมัวค่อยๆ แผ่กระจายเข้ามาภายในจนทำให้อาริสะต้องหรี่ตามองดูมันด้วยความแปลกใจ
แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านเอริกะก็กลับไม่มีท่าที่ว่าจะตื่นเต้นหรือกังวลใจอะไรเลยแม้แต่น้อยและเอ่ยปากพูดอธิบายออกมาให้อาริสะได้ฟัง
“ถ้าจะให้เดาก็คงจะเป็นหมอกแบบเดียวกับที่ปกคลุมเมืองด้านบนอยู่นั่นแหล่ะ เธอจะไปต่อหรือเปล่า? ถ้าไม่ล่ะก็จะนั่งรออยู่ในห้องนี้ก็ได้นะ”
“อ–เอ๋— ดิ—ดิฉันจะไปด้วยค่ะ!”
อาริสะที่ได้ยินคำถามของเอริกะได้พูดตอบกลับไปอย่างตะกุกตะกักก่อนที่เธอจะรีบเดินตามหลังเอริกะเข้าไปด้านในม่านหมอกที่เป็นทางเดินที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยแผ่นเหล็กสีเทาเรียบเนียนในทันที
ซึ่งถึงแม้ว่าในตอนแรกช่องทางเดินนี้จะเป็นเพียงช่องทางเดินมืดๆ ที่ไม่มีอะไรประดับตกแต่งเลยแม้แต่น้อยก็ตามที แต่ทว่าในทุกๆ ก้าวที่เอริกะย่างก้าวไปนั้นก็ทำให้บริเวณหนึ่งของเพดานเหล็กที่อยู่เบื้องหน้าของเธอเลื่อนเปิดออกเผยให้เห็นแผงไฟสีนวลส่องสว่างหนทางเบื้องหน้าราวกับว่าช่องทางเดินแห่งนี้กำลังต้อนรับและเชื้อเชิญเธอให้เดินตรงไปเบื้องหน้าอย่างไรอย่างนั้น
ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็ได้ทำให้อาริสะได้แต่มองไปทางเอริกะด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม จนกระทั่งเอริกะเดินไปจนถึงห้องโถงขนาดใหญ่ที่ทอดยาวลงไปเป็นขั้นๆ ที่แต่ละขั้นของมันนั้นก็มีโต๊ะตัวยาวที่มีสิ่งที่ดูเหมือนกับแผ่นกระจกสีดำและแผงปุ่มกดถูกตั้งเรียงกันไปเป็นแนว อีกทั้งที่ปลายสุดของห้องนั้นก็ยังมีแผ่นกระจกสีดำแบบเดียวกันจำนวนมากถูกติดเอาไว้จนเต็มผนังจนทำให้อาริสะที่เห็นสภาพห้องที่ดูผิดแปลกไปจากห้องทุกห้องที่เธอเคยเห็นมาตลอดชีวิตต้องพูดถามขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
“ท–ที่นี่มันอะไรกันคะเนี่ย!? อย่าบอกนะว่ามันคือสถานที่ที่ท่านไมเคิลพยายามปิดบังและรักษามันเอาไว้น่ะคะ!?”
“น่าๆ ที่เธอไม่เคยเห็นของพวกนี้มันก็ไม่แปลกหรอก ถ้าจะให้อธิบายง่ายๆ มันก็คือมรดกของอารยธรรมโบราณที่อยู่มาตั้งแต่สมัยก่อนที่จะเกิดสงครามเทวทูตของพวกเธอนั่นแหล่ะ~”
เอริกะที่ได้ยินคำถามที่ฟังดูแฝงเอาไว้ด้วยความตกตะลึงของอาริสะนั้นได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่และยกมือขึ้นไปลูบหัวของเด็กสาว และนั่นก็ทำให้อาริสะที่ได้ยินคำถามของเอริกะต้องพูดถามขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งด้วยความตกใจ
“ตั้งแต่สมัยก่อนสงครามเทวทูต? ถ้างั้นก็หมายความว่าห้องนี้มีอายุหลายร้อยปีแล้วไม่ใช่หรอคะ!? ห้องที่ยังดูสภาพดีแบบนี้เนี่ยนะคะ!?”
“แหม่~ ก็สถานที่นี้มันนับว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ล้ำสมัยที่สุดเท่าที่มนุษย์อย่างพวกเธอในตอนนั้นเคยสร้างขึ้นมาเลยนา~ อ่ะ– แต่ต่อให้จะพูดเรื่องนี้กับพวกเด็กๆ ยุคนี้ที่โตมากับคำสอนที่ถูกบรรจงสรรสร้างขึ้นมาอย่างพวกเธอก็คงจะไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่หรอกล่ะน่ะ~”
“คำสอนที่ถูกบรรจงสรรสร้างขึ้นมางั้นหรอคะ… คุณหมายถึงเรื่องสงครามระหว่างเทพทูตชายหญิงกับเทพเจ้าผู้สร้างที่กำลังถูกเผยแพร่อยู่อย่างแพร่หลายจนดูน่าสงสัยนั่นน่ะหรอคะ?”
“เห… รู้ตัวด้วยหรอเนี่ย ฉันเห็นเธอแต่งตัวดู…เอ่อ… ศักดิ์สิทธิ์แบบนี้ก็นึกว่าเธอจะเป็นพวกขุนนางที่เชื่อในเรื่องคำสอนนั่นซะอีกนะเนี่ย”
เอริกะที่ได้ยินคำถามของอาริสะได้หลุดรอยยิ้มเล็กๆ ออกมาก่อนที่เธอจะพูดถามกลับไป เพราะว่าโดยปกติแล้วพวกขุนนางของแต่ละเมืองก็จะมีชุดเครื่องแบบเป็นของตัวเอง อย่างเช่นเหล่าขุนนางของเมืองรีมินัสก็จะสวมใส่ชุดที่ดูคล้ายกับชุดสูททางการสีน้ำเงินเข้มและประดับด้วยเครื่องหมายประดับยศหรือตำแหน่งต่างๆ และเอริกะก็ค่อนข้างที่จะมั่นใจว่าชุดเครื่องแบบขุนนางของทางแพนเทร่าเองก็คงจะไม่ใช่ชุดเดรสสีขาวที่ดูหรูหราและสูงศักดิ์อย่างนี้อย่างแน่นอน
ซึ่งทางด้านอาริสะที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้เลือกที่จะเมินคำพูดของเอริกะตรงส่วนที่เกี่ยวข้องกับเครื่องแต่งกายของเธอไปอย่างสิ้นเชิงและพูดตอบคำถามที่เกี่ยวกับเรื่องคำสอนที่เอริกะพูดถึงขึ้นมาแทน
“ถึงเมื่อตอนสมัยเด็กๆ ดิฉันจะคิดว่าเรื่องของสงครามเทวทูตมันดูน่าเชื่อถือเพราะว่ามีหลักฐานยืนยันเป็นสถานที่ที่ไร้ซึ่งวิซอย่างทะเลมรกต แต่ว่าเมื่อดิฉันได้ลองคิดและตรวจสอบดูให้ดีๆ แล้วดิฉันก็พบว่ามันมี… ช่องโหว่… ที่แม้แต่ตัวดิฉันเองก็ยังหาคำตอบให้ไม่ได้อยู่น่ะค่ะ”
“เพราะงั้นเธอก็เลยสนใจในเรื่องของห้องควบคุมเพราะว่ามันอาจจะมอบคำตอบนั้นให้เธอได้งั้นสินะ… หรือว่าที่เธอรับหน้าที่ผู้ดูแลห้องความคุมที่เธอแทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลยมานี่มันเป็นเพราะว่าคำสั่งของราชาของแพนเทร่าที่อยากจะได้มรดกความรู้จากยุคก่อนเอาไว้ในมือเฉยๆ ล่ะ?”
“……..”
คำพูดของเอริกะในคราวนี้ได้ทำให้อาริสะปิดปากเงียบไปสักพักใหญ่ ในขณะที่ทางด้านเอริกะนั้นก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ เพื่อรอคำตอบของเด็กสาวและเดินไปตามอุปกรณ์ที่ถูกตั้งเรียงรายเอาไว้และไล่เคาะไปที่แผงปุ่มกดเหล่านั้นทีละอันๆ จนกระทั่งการเคาะของเธอในครั้งหนึ่งส่งผลให้แผ่นกระจกสีดำที่ตั้งอยู่หน้าแป้นพิมพ์เรืองแสงออกมา
“โอ๊ะ— อันนี้ยังใช้ได้อยู่แฮะ~”
ก๊อกแก๊ก ก๊อกแก๊ก
ในทันทีที่เอริกะเห็นว่าหน้าจอของแป้มพิมพ์ที่เธอเคาะลงไปได้เริ่มต้นทำงานขึ้นมานั้นเอง เธอก็ได้ขยับตัวนั่งลงไปบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าของมันและเริ่มต้นเคาะนิ้วลงไปบนแป้นพิมพ์อย่างรวดเร็วจนทำให้เกิดข้อความจำนวณมากปรากฏขึ้นมาด้านบนหน้าจอด้วยความเร็วที่แทบจะมองตามไม่ทัน
ส่วนทางด้านอาริสะที่นิ่งเงียบไปสักพักใหญ่ๆ นั้นก็ได้เริ่มต้นที่จะเอ่ยปากพูดขึ้นมาเบาๆ
“…ดิฉันเองก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกนะคะว่ามันมีคำสั่งแบบนั้นถูกสั่งลงมาและดิฉันก็อยากจะได้คำตอบในเรื่องของสงครามเทวทูตด้วยเช่นกัน แต่ว่าเหตุผลที่ดิฉันตัดสินใจมารับตำแหน่งผู้ดูแลนี่มันไม่ใช่เพราะเรื่องอะไรแบบนั้นหรอกนะคะ…”
“………”
“เหตุผลที่ดิฉันมารับตำแหน่งผู้ดูแลนี่น่ะ… มันเป็นแค่เพราะว่าดิฉันอยากจะปกป้องในสิ่งที่ท่านไมเคิลพยายามจะรักษาเอาไว้ตลอดมาก็เท่านั้นเอง”
“ต่อให้มันจะทำให้ชีวิตทั้งชีวิตของเธอต้องถูกผูกมัดเอาไว้กับห้องเล็กๆ ที่เธออาจจะใช้งานมันไม่ได้ตลอดชีวิตถ้าเกิดว่าฉันไม่ได้โผล่มาน่ะนะ? เธอไม่เสียดายโอกาสทั้งหลายที่เธออาจจะสูญเสียไปเพราะหน้าที่นี้บ้างหรอ?”
เอริกะที่ได้ยินคำตอบของอาริสะนั้นได้ชะงักมือของเธอที่กำลังกดไปที่ปุ่มต่างๆ ของแป้นพิมพ์อย่างต่อเนื่องลงและพูดถามเด็กสาวผู้มีตำแหน่งเคาน์เตสขึ้นมาอีกครั้ง และนั่นก็ทำให้อาริสะนิ่งเงียบไปอีกสักพักก่อนที่เธอจะพูดตอบนักประดิษฐ์สาวกลับไป
“เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอกค่ะ เพราะถ้าหากว่าในตอนนั้นท่านไมเคิลไม่ได้แนะนำดิฉันให้กับคุณพ่อล่ะก็ตัวดิฉันเองก็คงจะไม่มีวันนี้เหมือนกัน… แล้วดิฉันเองก็รู้ว่าในวังหลวงของแพนเทร่ามันไม่ได้มีแต่ขุนนางดีๆ ตามที่พวกเขาอยากจะให้คนภายนอกเชื่อ ดิฉันก็เลยไม่สามารถปล่อยให้สิ่งที่ท่านไมเคิลคอยพยายามปกป้องตลอดมานี้ตกอยู่ในมือของพวกเขาได้ค่ะ”
“อย่างงั้นเองสินะ…”
คำตอบของอาริสะได้ทำให้เอริกะเผยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมาก่อนที่เธอจะเลื่อนนิ้วไปจ่ออยู่ที่ด้านบนของปุ่มกดที่ใหญ่กว่าปุ่มอื่นบนแป้นพิมพ์และเอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อ
“ตอนแรกฉันก็กะจะไล่เธอให้กลับขึ้นไปรอด้านบนอยู่นะ แต่ว่าเธอสอบผ่านแล้วล่ะจ้ะ”
“เอ๋? สอบผ่าน…หรอคะ?”
แก๊ก— พรึบ
“—!?”
ในทันทีที่เอริกะพูดออกมาจนจบนั้นเองเธอก็ได้กดนิ้วลงไปบนปุ่มที่ใหญ่ที่สุดบนแป้นพิมพ์ก่อนที่ทันใดนั้นเองหน้าจอขนาดใหญ่ที่ถูกติดตั้งเอาไว้ตรงส่วนลึกที่สุดของห้องจะส่องแสงสีน้ำเงินสว่างวาบขึ้นมาแล้วจึงค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นภาพของเมืองเมืองหนึ่งที่อาริสะไม่คุ้นตาจากมุมสูงไปทีละส่วนพร้อมๆ กับที่เอริกะได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเป็นทางการ
“ยินดีต้อนรับเข้าสู่หอบังคับการของเมืองมาร์นาร์ฟ เมืองหลวงที่ปิดผนึกตัวเองและหลบหนีลงมาหาความสงบสุขชั่วนิรันด์ภายใต้ความมืดมิดแห่งนี้”