ตอนที่ 186 เยียนอวิ๋นเฟยถึงเมืองหลวง

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 186 เยียนอวิ๋นเฟยถึงเมืองหลวง

ตระกูลหลิงช่างมีความพยายามเสียจริง

หลิงฉางเฟิงทิ้งความผิดไว้ให้ตระกูลเยียน เพื่อช่วยให้หลิงฉางเฟิงรอดพ้น พวกเขาก็คิดจะดึงตระกูลเยียนลงไปด้วย

จากความเห็นของเยียนโส่วจ้าน ตระกูลหลิงสมควรตาย

ไม่มีผู้ใดยั่วยุให้หลิงฉางเฟิงสังหารภรรยา เขาเป็นคนก่อเรื่องเอง แต่ยังคิดจะดึงตระกูลเยียนลงไปเกี่ยวข้อง เหตุใดเขาจึงไม่เหาะขึ้นฟ้าไปเสียเลย

ท่าทีของเยียนโส่วจ้านแน่วแน่อย่างมาก “ตอบกลับตระกูลหลิง หากไม่ยอมรับเงื่อนไขของข้า ชื่อเสียงของหลิงฉางเฟิงและตระกูลหลิงจะยังรักษาไว้ได้หรือไม่ ข้าไม่อาจรับรอง”

สีหน้าของตู้ซินแสลังเล “ท่านโหวแน่ใจว่าจะตอบเช่นนี้หรือ”

เยียนโส่วจ้านมองเขา “เจ้ามีวิธีที่ดีกว่าหรือ”

“ให้ข้าเดินทางไปตระกูลหลิง เจรจากับนายท่านตระกูลหลิงสักรอบดีหรือไม่ อย่างไรก็ต้องส่งเสริมเรื่องหมั้นหมายของนายน้อยใหญ่กับคุณหนูตระกูลหลิง ในเวลาเดียวกันก็ยังสามารดูตัวแทนนายน้อยใหญ่ได้ก่อน ไม่ให้พวกเขานำบุตรสาวจากอนุภรรยาปลอมตัวเป็นบุตรสาวจากภรรยาเอกแต่งงานกับนายน้อยใหญ่”

เยียนโส่วจ้านครุ่นคิดไตร่ตรอง ก่อนจะพยักหน้า “เจ้าพูดถูก ไม่อาจให้ตระกูลหลิงมีโอกาสทำเช่นนี้ ลำบากเจ้านำคนเดินทางไปตระกูลหลิง หารือให้ดี ต้องหาข้อสรุปให้ได้ หากตระกูลหลิงกล้าถ่วงเวลา เจ้าไม่ต้องเกรงใจ เวลาที่ควรลงมืออย่าได้ใจอ่อนเด็ดขาด”

“ท่านโหววางใจ ข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย”

หลายวันต่อมา ตู้ซินแสนำคนมุ่งหน้าไปเจรจายังตระกูลหลิง

ครึ่งเดือนต่อมา เฉินฮูหยินได้รับจดหมายตอบกลับจากบุตรชาย เยียนอวิ๋นฉวน

แต่นางย่องต้องผิดหวัง

บุตรชายไม่อาจกลับมาส่งเยียนอวิ๋นจือออกเรือนได้

เมื่ออ่านจดหมายจบ นางก็รู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย คนทั้งคนดูไม่กระปรี้กระเปร่า

ผิดหวังเป็นเรื่องที่แน่นอน

นางพึมพำเสียงเบา “เจ้าใหญ่ไปเมืองหลวงนับปี เกรงว่าคงลืมแม่แท้ๆ อย่างข้าเสียแล้ว”

เยียนอวิ๋นจือส่งเสียงไม่พอใจ “พี่ใหญ่ไร้น้ำใจ ข้าออกเรือนเขาก็ไม่ยอมกลับมา ยังมาบอกว่างานยุ่งปลีกตัวไม่ได้ เขาไม่รู้จักลาหรือ ข้าเกลียดเขา”

“อย่าได้พูดจาเหลวไหล! เวลานี้พี่ใหญ่เจ้าเป็นขุนนางราชสำนัก งานยุ่งก็เป็นเรื่องปกติ เจ้าไม่อาจบอกว่าเกลียดเขาเพียงเพราะเขาไม่กลับมาได้ ต่อจากนี้ข้าไม่อยากได้ยินคำพูดเช่นนี้อีก”

“เวลานี้แล้ว ท่านแม่ยังแก้ตัวแทนพี่ใหญ่ ท่านพูดเองว่าเขาลืมพวกเราแล้ว”

“หุบปาก!” เฉินฮูหยินตำหนิเสียงดัง

นางสามารถตำหนิบุตรชายได้ แต่นางไม่อนุญาตให้ผู้อื่นพูดจาไม่ดีใส่บุตรชายของนาง

ยิ่งไม่อนุญาตให้มีวาจาที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อบุตรชายของนางแพร่กระจายออกไป

เยียนอวิ๋นจือกัดริมฝีปากด้วยความน้อยใจอย่างมาก

นางพูดด้วยความขุ่นเคือง “หากข้าแต่งไปยังเมืองหลวง พี่ใหญ่ก็สามารถส่งข้าออกเรือนด้วยตนเองได้”

“เมืองหลวง เมืองหลวง เจ้ารู้แต่จะแต่งไปเมืองหลวง เมืองหลวงมีคนแต่งกับจ้าหรือ อีกไม่กี่เดือนเจ้าก็จะออกเรือนแล้ว อย่าได้คิดถึงเมืองหลวงอีก”

เฉินฮูหยินได้ยินคำว่าเมืองหลวงก็รู้สึกโกรธอย่างมาก

บุตรสาวไปเมืองหลวงมารอบหนึ่งก็เปลี่ยนท่าทีไป

บุตรชายไปเมืองหลวงก็ไม่ยอมกลับมาแล้ว

ช่างน่าโมโหยิ่งนัก!

น้ำเสียงของนางฉุนเฉียวอย่างมาก “ชีวิตนี้อย่าให้ข้าได้เหยียบเมืองหลวง”

เยียนอวิ๋นจือหวาดกลัวเล็กน้อย นางไม่กล้าส่งเสียง

เฉินฮูหยินสูดลมหายใจเข้า สักพักจึงสงบอารมณ์ลงได้

“พี่ใหญ่เจ้ากลับมาไม่ได้ งานแต่งเจ้าก็ไม่อาจชะลอ เมื่อถึงเวลาให้น้องชายของเจ้าส่งเจ้าออกเรือน”

“อ่อ!”

เยียนอวิ๋นจือไม่คัดค้าน แต่ภายในใจรังเกียจไม่น้อย

นางตัดสินใจแอบส่งจดหมายไปให้พี่ใหญ่

นางต้องการถามเขาเพียงประโยคเดียว ได้ความมั่งคั่งแล้วจึงลืมคนในจวนใช่หรือไม่

เยียนอวิ๋นเฟยเดินทางมาถึงเมืองหลวง!

เยียนอวิ๋นเกอตื่นเต้นจนตะโกนร้องโหวกเหวก นางนำคนมุ่งหน้าไปต้อนรับที่นอกเมือง

เมื่อเห็นขบวนรถเคลื่อนที่เข้ามาจากระยะไกล เยียนอวิ๋นเกอก็เร่งม้าเข้าไปทันที

องครักษ์ตระกูลสือคิดจะรั้ง แต่ก็ถูกเยียนอวิ๋นเฟยห้ามเอาไว้

“นางเป็นน้องสาวของข้า ให้นางเข้ามา”

องครักษ์หลีกทางให้

เยียนอวิ๋นเกอพุ่งตรงมายังด้านหน้าของรถม้าโอ่อ่าคันนั้น “พี่ใหญ่!”

ทั้งดวงตาทั้งหัวใจล้วนเต็มไปด้วยความยินดี

เยียนอวิ๋นเฟยเปิดประตูรถ บนใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มสดใส

นางกวักมือให้น้องสี่ “ขึ้นรถม้า ให้ข้าดูเจ้า”

เยียนอวิ๋นเกอทิ้งม้าเอาไว้ พลิกตัวขึ้นรถม้า

นางจับมือพี่สาวด้วยความตื่นเต้น “หลายปีแล้ว ในที่สุดข้าก็ได้พบท่านพี่อีกครั้ง ท่านพี่งดงามและสง่ายิ่งกว่าตอนออกเรือนเสียอีก สมกับเป็นนายหญิงของตระกูล”

เยียนอวิ๋นเฟยเอื้อมมือจิ้มหน้าผากของนางเบาๆ “เพิ่งพบหน้าก็ยกยอข้า ไปเรียนรู้นิสัยนี้มาจากที่ใดกัน”

“ไม่ใช่คำเยินยอ ทุกคำล้วนมาจากความจริงใจ”

เมื่อพูดจบ เยียนอวิ๋นเกอก็กอดนางเอาไว้ หอมเสียจริง

มันเป็นกลิ้นที่คุ้นเคย นางก็เป็นพี่ใหญ่ที่คุ้นเคย

เยียนอวิ๋นเฟยไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ “เหตุใดจึงยังเหมือนเด็กน้อย เวลานี้เจ้าโตเป็นสาวแล้ว ต้องเรียบร้อย”

“ไม่! ข้าเป็นน้องสี่ของท่านตลอดไป ไม่เรียบร้อยอันใดทั้งสิ้น” เยียนอวิ๋นเกอออดอ้อน

เยียนอวิ๋นเฟยหัวเราะร่า ดีใจอย่างมาก

สาวรับใช้ออกเสียงตักเตือน “คุณหนูสี่ ท่านระวังนะเจ้าคะ เวลานี้ฮูหยินกำลังตั้งครรภ์”

ฮะ?

เยียนอวิ๋นเกอตกตะลึงอย่างมาก นางรีบปล่อยมือออก หลุบตามองต่ำลงไปยังหน้าท้องของพี่ใหญ่ “พี่ใหญ่ตั้งครรภ์แล้วจริงหรือ มองไม่ออกเอาเสียเลย! ในเมื่อตั้งครรภ์แล้ว เหตุใดท่านพี่จึงยังยอมลำบากเดินทางมาเมืองหลวง หากมีอุบัติเหตุจะทำอย่างไร”

เยียนอวิ๋นเฟยพิงผนังรถ พลันพูดด้วยรอยยิ้ม “ยังไม่เต็มห้าเดือนดี เพราะว่ามีครรภ์ ข้าจึงต้องเดินทางมาเมืองหลวง บำรุงครรภ์ในเมืองหลวง ให้กำเนิดในเมืองหลวง จึงจะมั่นใจว่าเด็กสามารถกำเนิดออกมาอย่างแข็งแรง”

เมื่อเยียนอวิ๋นเกอได้ยินก็เข้าใจในทันที

นางจับข้อมือของพี่ใหญ่เอาไว้ “ท่านโหวผิงอู่ไม่สนใจหรือ ตระกูลสืออันตรายถึงเพียงนี้เชียวหรือ พี่ใหญ่มีครรภ์ยังต้องเดินทางมาเมืองหลวงจึงจะมั่นใจว่าให้กำเนิดได้อย่างราบรื่น รับรองความปลอดภัยของเด็กอย่างนั้นหรือ”

ใบหน้าของเยียนอวิ๋นเฟยเปื้อนยิ้มเป็นเชิงบอกให้น้องสี่ไม่ต้องกังวล

“ตอนข้าออกเดินทางจากมา ท่านโหวยังไม่รู้ว่าข้ามีครรภ์ รอออกจากอวี้โจว ข้าถึงได้เขียนจดหมายบอกข่าวการตั้งครรภ์ของข้า ส่วนตระกูลสือย่อมอันตราย แต่ว่าเจ้าไม่ต้องกังวล ข้ามีวิธีรับมือ เจ้าดู หลายปีนี้ข้ามีชีวิตอยู่อย่างดี”

เยียนอวิ๋นเกอยื่นมือออกไป พลันถามเสียงเบา “ข้าลูบได้หรือไม่”

ดูจากภายนอก มองไม่ออกเอาเสียเลยว่าพี่ใหญ่ตั้งครรภ์ ท้องของนางไม่ใหญ่แม้แต่น้อย

เยียนอวิ๋นเฟยหัวเราะร่า ยื่นหน้าท้องออกมา “ลูบเถิด เบามือหน่อย”

เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้าอย่างหนัก มือวางลงบนหน้าท้องของพี่ใหญ่อย่างระมัดระวัง ว้าว มีครรภ์จริงด้วย

หากมองจากสายตามองไม่ออกว่ามีครรภ์ แต่เมื่อใช้มือลูบคลำจึงสัมผัสได้อย่างชัดเจน

“เขากำลังขยับ!” เยียนอวิ๋นเกอทำหน้าประหลาดใจ

เยียนอวิ๋นเฟยพูดด้วยรอยยิ้ม “ถึงเวลานี้แล้วก็สมควรขยับเสียหน่อย”

เยียนอวิ๋นเกอสงสัยอย่างมาก “เป็นเช่นนี้ทุกวันหรือ”

เยียนอวิ๋นเฟยพยักหน้า “เด็กต้องขยับบ้างในแต่ละวัน พลิกตัว”

เยียนอวิ๋นเกอแสดงสีหน้าตื่นเต้น นางสูดลมหายใจเข้า “อีกระยะหนึ่งพี่สองก็จะคลอดแล้ว ไม่คิดว่าพี่สองจะคลอดก่อนพี่ใหญ่”

“ดูท่าข้ามาได้เวลาเหมาะสม ยังมาทันน้องสองคลอดบุตร ไม่รู้ว่าครรภ์นี้ของนางเป็นชายหรือหญิง”

“พี่สองบอกว่าชายหรือหญิงล้วนไม่สำคัญ องค์ชายสองก็ตรัสเช่นเดียวกัน”

เยียนอวิ๋นเฟยครุ่นคิดก่อนจะกระจ่าง “หากพูดเช่นนี้ ความจริงแล้วน้องสองได้บุตรสาวจะยิ่งดีกว่า ปลอดภัยกว่า”

เยียนอวิ๋นเกอกระพริบตา “พี่ใหญ่ยังคงฉลาดเหมือนเคย”

“ไม่ต้องเยินยอ เจ้าก็อายุไม่น้อยแล้ว เรื่องคู่ครองของเจ้าเป็นอย่างไรบ้า”

เยียนอวิ๋นเกอ “…”

ล้มลงพื้นในทันที

ให้นางมีความสุขอีกเสียหน่อยไม่ได้หรือ

เยียนอวิ๋นเฟยเห็นทีจึงหัวเราะร่า นางยื่นมือออกมาบีบแก้มของอีกฝ่าย “ยังคงอ่อนนุ่มเหมือนในความทรงจำ ท่านแม่เขียนจดหมายให้ข้า บอกว่าเมื่อเอ่ยถึงเรื่องคู่ครอง เจ้าก็แสดงท่าทีหมดอาลัยตายอยาก วันนี้ลองดู เหมือนที่ท่านกล่าวไว้เลย”

เยียนอวิ๋นเกออดไม่ได้ที่จะกลอกตา “พี่ใหญ่ร้ายขึ้นกว่าเดิม”

เยียนอวิ๋นเฟยบีบแก้มของนางอีกครั้งราวกับติดใจ “ออกเรือนเป็นภรรยาของผู้อื่นย่อมต้องร้ายขึ้น ภายหน้าเจ้าก็ต้องร้ายขึ้น”

เยียนอวิ๋นเกออดที่จะหัวเราะไม่ได้ นางสงสัยอย่างมาก “ท่านโหวผิงอู่ดีต่อท่านพี่หรือไม่ เขาแก่ชราเพียงนั้นแล้ว บุตรชายและบุตรสาวก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ย่อมต้องมีโรคมากมาย”

“เหตุอันใดเพิ่งพบหน้ากันก็พูดจาให้ร้ายท่านโหวต่อหน้าข้า ท่านโหวปฏิบัติต่อข้าไม่เลว แต่จะบอกว่าดีมากก็ไม่ใช่ ย่อมไม่ได้หวานชื่อเหมือนคู่สามีภรรยาที่ยังหนุ่มสาว เพิ่งแต่งงานก็เข้าสู่รูปแบบของสามีภรรยาที่แต่งงานกันมานาน เช่นนี้ก็ดี ข้าก็มีเวลาเตรียมตัว”

“ลำบากพี่ใหญ่แล้ว!”

“อย่าพูดจาเหลวไหล! งานแต่งนี้ข้าเป็นคนเลือกเอง ข้าไม่เคยเสียใจ”

เยียนอวิ๋นเกอทำหน้าเสียดาย “เสียดายเยียนอวิ๋นเพ่ยและหลิงฉางเฟิงถูกไล่ให้กลับบ้านเกิด หากเร็วกว่านี้พี่ใหญ่คงได้พบกับพวกเขา โบยพวกเขาสักครั้ง”

เยียนอวิ๋นเฟยเม้มปากยิ้ม “ไม่ต้องเสียดาย ข้าพบกับพวกเขาแล้วระหว่างทาง”

“จริงหรือ พี่ใหญ่รีบบอกข้า สถานการณ์เป็นอย่างไร เยียนอวิ๋นเพ่ยละอายหรือไม่ หลิงฉางเฟิงได้แทนท่านพี่ว่าท่านป้า ทักทายว่าธรรมเนียมของผู้น้อยหรือไม่”

เยียนอวิ๋นเกอแสดงสีหน้าตื่นเต้น

เยียนอวิ๋นเฟยยิ้ม ก่อนจะพูด “หลิงฉางเฟิงมีการพัฒนา เขาเดินทางมาพบข้าด้วยตนเอง อีกทั้งยังทักทายข้าด้วยธรรมเนียมผู้น้อย”

ว้าว!

เยียนอวิ๋นเกอทำหน้าประหลาดใจ “เขาได้เรียกท่านพี่ว่าท่านป้าหรือไม่”

“ไม่มี แต่เขาแทนข้าว่าฮูหยิน! เยียนอวิ๋นเพ่ยมากับเขา แต่หนังหน้าของนางยังคงหนาเหมือนเคย นางคิดจะคุยเรื่องสัพเพเหระกับข้า พยายามพัฒตาความสัมพันธ์”

เยียนอวิ๋นเกอได้ยินจึงหัวเราะร่า “มันเป็นเรื่องที่เยียนอวิ๋นเพ่ยจะทำ เพิ่งผ่านมากี่ปี นางก็ทำเหมือนกับลืมไปแล้วว่างานแต่งของนางมาได้อย่างไร”

เยียนอวิ๋นเฟยพูดด้วยรอยยิ้ม “เรื่องตลกอยู่ด้านหลัง ข้าพักอยู่ในอี้จ้านเป็นเวลาสามวัน พวกเขาสามีภรรยาก็พักอยู่ในอี้จ้านสามวัน เยียนอวิ๋นเพ่ยอยากให้ข้าออกหน้าข่มหลิงฉางเฟิงให้นาง”

“พี่ใหญ่ตอบนางว่าอย่างไร ได้โบยนางหรือไม่”

เยียนอวิ๋นเฟยไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ล้วนเป็นคนมีเกียรติ จะลงมือโบยคนโดยไร้สาเหตุได้อย่างไร ข้าย่อมปฏิเสธนางไป แต่น้องสี่ ได้ยินว่าสองปีนี้เจ้าฝึกฝนนิสัยของตนเอง ไม่ลงไม้ลงมือง่ายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เช่นนี้เป็นการดีมาก! ปัญหาส่วนใหญ่ไม่อาจใช้กำลังในการจัดการ”

เยียนอวิ๋นเกอชี้ไปที่ปากของตนเอง “ข้าพูดได้แล้ว อารมณ์ดี หากผู้ใดมายั่วยุข้า ข้าคงต่อว่ากลับจนนางไม่เหลือเกียรติ ยังไม่รอถึงขั้นลงไม้ลงมือ ปัญหาก็จัดการได้แล้ว”

———————————————-