บทที่ 134 เลือดเย็น

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

กู้เฉิงเฟิงพยายามจะช่วยน้องชายอธิบาย แต่พอเห็นสีหน้าท่าทางของพี่ใหญ่แล้ว ดูเหมือนว่าเงียบไว้ก่อนน่าจะดีที่สุด

แม่นางเหยาเองก็เข้ามาไม่ได้จังหวะเสียจริง ปกติเห็นสงบเสงี่ยมดีอยู่แล้ว จู่ๆ เกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ จนเรื่องบานปลายไปกันใหญ่

“พี่ใหญ่…” กู้เฉิงเฟิงพยายามเปิดปากก่อน

“หุบปาก!” กู้ฉังชิงตะคอกใส่ จากนั้นจึงหันไปทางกู้เฉิงหลิน “ไปนั่งคุกเข่าที่หอบรรพชนเดี๋ยวนี้! ห้ามลุกจนกว่าข้าจะสั่ง!”

“ท่านพี่ใหญ่!” กู้เฉิงหลินหน้าซีด

เมื่อครู่สั่งให้ไปห้องหนังสือ ไฉนเปลี่ยนเป็นหอบรรพชนไปได้เล่า

หอบรรพชนคือศาลประจำตระกูล การไปคุกเข่าที่นั่น แปลว่าคนผู้นั้นจะต้องทำผิดร้ายแรงเกินกว่าจะให้อภัยได้

กู้เฉิงหลินไม่ยอม “ข้าไม่ไป!”

“บอกให้ไปก็ไป! ไม่ไปก็ต้องไป!” กู้ฉังชิงเอ่ยจบก็ลากคอเสื้อกู้เฉิงหลินมุ่งหน้าไปยังหอบรรพชน

นอกจากจะโดนกู้เจียวยำจนเละแล้ว ยังต้องมาถูกพี่ใหญ่ลากคอไปอีก กู้เฉิงหลินรู้สึกราวกับคอตัวเองกำลังจะหลุดออกจากบ่าเข้าไปทุกที!

กู้ฉังชิงเหวี่ยงร่างของเขาเข้าไปในหอบรรพชน และให้ทหารยามสองคนคอยคุ้มกัน “ห้ามเอาอาหารและน้ำให้เขาเด็ดขาด”

“พี่ใหญ่ เจ้าสามบาดเจ็บขนาดนั้น ลงโทษเขาแบบนี้มัน…ไม่กลัวเขาจะเจ็บช้ำน้ำใจรึ” กู้เฉิงเฟิงสะกิดแขนเสื้อผู้เป็นพี่พลางเอ่ยถาม

“หึ เจ็บช้ำน้ำใจอย่างนั้นรึ คนอื่นเจ็บช้ำน้ำใจไม่เป็นเลยสินะ”

กู้เฉิงเฟิงพยายามอธิบาย “ในเมื่อเจ้าเด็กนั่นไม่ใช่คนของพวกเรา พี่ใหญ่ลงโทษเจ้าสามเพราะเห็นแก่คนนอกอย่างนั้นรึ ลืมแล้วหรือว่าก่อนท่านแม่จากไป นางขอให้พี่ใหญ่ดูแลพวกเราให้ดี พี่ใหญ่เองก็สาบานต่อหน้านางแล้ว ว่าจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมารังแกพวกเรา แต่ดูตอนนี้สิ เหตุใดพี่ใหญ่ถึงทำได้ลงคอ”

กู้ฉังชิงจ้องเขม็งกลับ พลางเอ่ย “เช่นนั้นเจ้าก็ไปคุกเข่าด้วย”

กู้เฉิงเฟิงทำหน้าเหวอ

กลายเป็นว่า กู้ฉังชิงลงโทษน้องชายทั้งสองให้นั่งคุกเข่าในหอบรรพชน

บ่าวของพวกเขาพยายามเข้ามาส่งข้าวส่งน้ำให้ แต่ถูกทหารยามกันเอาไว้

พวกบ่าวรู้สึกจนใจจนต้องไปขอร้องกับเหล่าฮูหยินกู้ที่เรือนซงเหอ

“เจ้าว่าอย่างไรนะ หลินเอ่อร์กับเฟิงเอ่อร์ถูกทำโทษให้คุกเข่าในหอบรรพชนงั้นรึ” เหล่าฮูหยินกู้เพิ่งจะถอดเครื่องหัวออก เตรียมพักผ่อนตามอัธยาศัย พอได้ยินแบบนี้ ก็รีบแต่งตัวใหม่อีกครั้ง

“เป็นเช่นนั้นจริงๆ เจ้าค่ะเหล่าฮูหยินกู้ ท่านชายทั้งสองถูกขังไว้ในหอบรรพชนแล้วเจ้าค่ะ! ท่านชายสามกำลังบาดเจ็บอยู่ด้วย ขืนไม่ได้กินไม่ได้ดื่มต่อไปแบบนี้ ข้าน้อยเกรงว่าท่านชายจะไม่รอดเอานะเจ้าคะ”

เหล่าฮูหยินกู้โกรธจัด รีบสั่งให้แม่นมไช่ไปพาตัวหลานๆ ออกมาให้เร็วที่สุด

สักพักแม่นมไช่กลับมาพร้อมกับข่าวร้าย “เหล่าฮูหยินเจ้าคะ ทหารยามบอกว่าจะไม่ปล่อยพวกเขาออกไปจนกว่าจะได้รับคำสั่งจากท่านชายใหญ่เจ้าค่ะ!”

“ตาลปัตรไปหมด!” เหล่าฮูหยินตบโต๊ะด้วยความโมโห “กู้ฉังชิงอยู่ที่ไหน ไปตามเขามาเดี๋ยวนี้!”

“เรียนเหล่าฮูหยิน ท่านชายใหญ่ออกไปข้างนอกแล้วเจ้าค่ะ” แม่นมไช่เอ่ยตอบ

เหล่าฮูหยินกู้ทั้งโมโหทั้งเป็นห่วงหลานชายทั้งสอง ในบรรดาหลานชายทั้งสาม แม้นายท่านจะให้ความสำคัญกับกู้ฉังชิงมากที่สุด แต่นางกลับเอ็นดูหลานคนสุดท้องอย่างกู้เฉิงหลินที่สุด เหล่าฮูหยินกู้เองก็เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้กู้เฉิงหลินโตมาเป็นเด็กเอาแต่ใจไม่รู้จักโต

“เช่นนั้นข้าไปหาพวกเขาเอง!”

ด้วยความที่จวนมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล จากเรือนซงเหอไปยังหอบรรพชนต้องใช้เวลาเดินเท้าประมาณหนึ่งเค่อหรือสิบห้านาที เหล่าฮูหยินจึงให้บ่าวเตรียมเสลี่ยงไว้ให้

พอมาถึงหน้าหอบรรพชน ทหารยามสองนายโค้งทำความเคารพผู้มาเยือน “เหล่าฮูหยินขอรับ”

“ก็รู้นี่ว่าข้าเป็นใคร นึกว่าไม่เห็นหัวข้าแล้วเสียอีก! รีบปล่อยหลานของข้าออกมาเดี๋ยวนี้!”

ทหารยามทั้งสองไม่ยอมขยับไปไหน

“เดี๋ยวนี้ไม่ฟังคำสั่งข้าแล้วหรืออย่างไร” เหล่าฮูหยินกู้จ้องเขม็งไปที่ทหารยามทั้งสอง

หนึ่งในทหารยามเอ่ยขึ้น “นี่เป็นคำสั่งของท่านชายใหญ่ขอรับ ข้าน้อยมิบังอาจขัดคำสั่ง”

“แต่ข้าเป็นย่าเขานะ!” ฮูเหล่าฮูหยินกู้กริ้วจนลำตัวเซไปข้าง จากนั้นหันไปถามบ่าว “ท่านโหวเล่า”

“ท่านโหวไม่อยู่ที่จวนเจ้าค่ะ” บ่าวตอบ

หลังจากที่ไม่ได้กลับราชสำนักเป็นเวลานาน ท่านโหวกู้จึงมีงานค้างกองเต็มไปหมด กลายเป็นว่าช่วงนี้ท่านโหวมัวแต่ง่วนอยู่กับกับงานของเขา

เหล่าฮูหยินกู้โกรธจัดจนรู้สึกปวดที่ตับ “เช่นข้าขอเข้าไปดูหลานของข้าหน่อยคงไม่ติดอะไรใช่ไหม”

ท่านชายใหญ่กำชับแค่ว่าห้ามส่งน้ำส่งอาหารให้ แต่ไม่ได้ห้ามให้ใครเข้ามาเยี่ยมพวกเขา

ทหารยามทั้งสองจึงหลีกทางให้เหล่าฮูหยิน

เหล่าฮูหยินกู้รีบพุ่งตัวเข้าไปข้างในอย่างกระวนกระวายใจ

กู้เฉิงเฟิงกำลังตั้งอกตั้งใจกับการนั่งคุกเข่า ส่วนกู้เฉิงหลินที่คุกเข่าไม่ไหวจึงอยู่ในสภาพนอนเป็นผักอยู่บนพื้น

เหล่าฮูหยินรับไม่ได้กับภาพตรงหน้า รีบเข้าไปคว้าร่างของกู้เฉิงหลินเข้ามาโอบกอด “หลินเอ่อร์ เจ้าเป็นอะไรไป ใครเป็นคนทำเจ้า”

“ท่านย่า ท่านย่าช่วยหลานด้วย” กู้เฉิงหลินพอเห็นว่าเป็นเหล่าฮูหยินก็พลันน้ำตารื้น

เขารู้ว่าท่านย่าเอ็นดูเขาและจะต้องอยู่ข้างเขาแน่นอน จึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างสะเปะสะปะ

“ข้าไม่ได้ทำอะไรเขาเลย แทบจะไม่ได้แตะต้องตัวเขาด้วยซ้ำ เขารู้ว่าข้าคือพี่ชายสาม คงรู้สึกแค้นที่ข้าเคยแกล้งเขาตอนเด็ก เลยเรียกพี่สาวของเขาให้มาทำร้ายข้า!”

“นางเด็กนั่นโตมากับงานชาวบ้านชาวไร่ในชนบท แรงเยอะอย่างกับอะไร แถมไม่คิดจะเบามือกับข้าเลย!”

“ข้าเห็นว่านางเป็นน้องสาวข้า เลยไม่กล้าทำร้ายนาง…ฮืออ…ท่านย่า…”

“สุดท้านพี่ใหญ่ก็มาลงโทษข้าอีก…”

“เขาไม่เชื่อที่ข้าพูดเลย…”

“ท่านย่า…ฮือ…”

กู้เฉิงหลินเล่าจบก็แหกปากร้องไห้ราวกับคนอับจนหนทาง

คนเป็นย่าพอเห็นหลานอยู่ในสภาพนี้ก็มิวายหัวใจสลาย!

“ถ้าวันนี้พวกเจ้ายังไม่ยอมปล่อยพวกเขาออกไป ข้าก็จะขอตายอยู่ที่นี่!” เหล่าฮูหยินกู้ตะโกนบอกกับทหารยาม

ทหารยามทั้งสองนึกในใจ ทำไมต้องทำให้ยากด้วยนะ

พวกเขาขัดคำสั่งท่านชายใหญ่ไม่ได้ก็จริง แต่ก็มิอาจทนเหล่าฮูหยินมาตกอยู่ในสภาพนี้ได้เช่นกัน

โชคยังเข้าข้างพวกเขา กู้ฉังชิงกลับมาถึงจวนพอดี

พอทราบเรื่องก็รีบมุ่งหน้าไปยังหอบรรพชนทันที

ว่ากันตามตรงแล้ว เหล่าฮูหยินกู้เองก็เอ็นดูหลานคนโตเช่นกัน เพียงแต่กู้ฉังชิงเอาเวลาส่วนใหญ่ไปฝึกรบกับท่านปู่ของเขาเสียมากกว่าที่จะมาอยู่เป็นเพื่อนนาง

แถมกู้ฉังชิงไม่ใช่คนช่างพูดจาประจบประแจงเอาใจผู้ใหญ่ เขาจึงไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกับท่านย่าเหมือนกับน้องชายอีกสองคน

“เจ้ามาแหกตาดูเสีย เจ้าทำอะไรลงไป” เหล่าฮูหยินเห็นว่ากู้ฉังชิงมาถึงแล้ว ความโกรธก็ยิ่งปะทุจนแทบอยากจะสั่งลงโทษเขาเอง

“ท่านย่าขอรับ หอบรรพชนเต็มไปด้วยธาตุหยิน โปรดรีบกลับไปพักผ่อนที่เรือนซงเหอเถิดขอรับ” กู้ฉังชิงเอ่ยเตือนนาง

“เจ้าก็รู้นี่ว่าที่แห่งนี้มันเย็นจัดขนาดไหน! แล้วเจ้าไม่กลัวเลยหรือว่าน้องเจ้าจะหนาวจนไข้จับ เห็นไหมว่าเขาสาหัสขนาดไหน เจ้าเป็นพี่ใหญ่ประสาอะไร นอกจากจะไม่ปกป้องเขาแล้ว ซ้ำยังมาลงโทษเขาแบบนี้อีก”

กู้ฉังชิงได้แต่มองร่างที่นอนอยู่ด้วยสายตาอำมหิต

กู้เฉิงหลินพยายามหลบตาเขา

เหล่าฮูหยินโจมตีหลานชายคนโตต่อ “เจ้าถลึงตาใส่เขาไปเพื่ออะไร แน่จริงก็มาถลึงตาใส่ข้านี่!”

“เขาเป็นคนก่อเรื่องก่อน เขารู้อยู่แก่ใจขอรับ”

“แล้วเขาไปทำอะไรไว้ละ”

“นั่นสิพี่ใหญ่ ข้าก็บอกไปแล้วไงว่าข้าไม่ได้ทำอะไรเลย ทำไมถึงไม่เชื่อข้า” พอมีท่านย่าอยู่ด้วย กู้เฉิงหลินชักเริ่มได้ใจ

กู้ฉังชิงเลยให้คำตอบไป “กู้เหยี่ยนเกือบตายเพราะเขา”

“แม่นางเหยาบอกอะไรเจ้าก็เชื่ออย่างนั้นสินะ เจ้าไม่ฟังน้องชายแท้ๆ ของเจ้า กลับเชื่อคนนอกอย่างนั้นรึ” เหล่าฮูหยินไม่พอใจ

แหงล่ะสิ เพราะเขาเป็นคนเข้าไปช่วยกู้เหยี่ยนเอง ซ้ำยังป้อนยาให้เขาเองกับมือ…เห็นๆ อยู่ว่ากู้เหยี่ยนกำลังปางตายจริงๆ

กู้ฉังชิงไม่ได้เล่าออกไป

พูดไปก็เท่านั้น เพราะยังไงก็คงมีคำถามตามมาอีกมากมายก่ายกอง เช่น เขาเห็นกู้เฉิงหลินมัดมือเท้ากู้เหยี่ยนกับตาจริง หรือไม่ก็เขาจะเอาอะไรมาพิสูจน์ว่ากู้เฉิงหลินเป็นต้นเหตุจริงๆ

หรือไม่ก็ ใครจะไปรู้ละว่าอาจมีคนอื่นเอี่ยวด้วยก็ได้ ให้โทษกู้เฉิงหลินฝ่ายเดียวได้อย่างไร อะไรประมาณนี้

ประเด็นไม่ได้อยู่ที่กู้ฉังชิงจงใจปกป้องกู้เหยี่ยน ไม่ว่าผู้ถูกกระทำจะเป็นกู้เหยี่ยนหรือคนอื่น ประเด็นอยู่ที่สันดานของกู้เฉิงหลิน

ถ้าเขาไม่ได้มาเห็นเองกับตา ก็คงไม่ได้มารับรู้ว่าน้องชายแท้ๆ ของตัวเองโตมาอย่างผิดเพี้ยนถึงขั้นนี้

เรื่องนี้กู้ฉังชิงยอมไม่ได้เด็ดขาด เหล่าฮูหยินเห็นดังนั้นจึงสั่งลงโทษเขาให้นั่งคุกเข่าลง

จากนั้นใช้ไม้บรรทัดฟาดลงไปบนร่างของเขา กู้ฉังชิงไม่ร้องเลยสักแอะ

“จะปล่อยน้องชายเจ้าออกไปได้หรือยัง”

“ไม่ปล่อยขอรับ!”

เหล่าฮูหยินกู้โกระจนเลือดขึ้นหน้า มือไม้สั่นเทาจนพลั้งฟาดไม้ลงไปที่ใบหน้าของเขา

นางตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

“ท่านย่า! พอเถอะขอรับ!” กู้เฉิงเฟิงรีบเข้าไปคว้าแขนเหล่าฮูหยิน

ในตอนนั้นเอง อนุหลิงเดินเข้ามาพอดี

จากนั้นช่วยกล่อมให้เหล่าฮูหยินกลับไปที่เรือน

“เอาละ ข้าไม่ได้จะมาส่งน้ำส่งยาให้หลินเอ่อร์ แต่อย่างน้อยก็ให้หมอจวนมาดูอาการของเขาเสียหน่อยก็ยังดี เขาจะได้ตั้งใจคุกเข่ามากขึ้นบ้าง”

อนุหลิงเป็นสตรีผู้ปราดเปรื่อง มักจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางและช่วยทุกฝ่ายหาทางออกร่วมกัน

กู้ฉังชิงไม่เอ่ยอะไร จากนั้นลุกขึ้นแล้วเดินกลับไปยังเรือนของตน

“ไปตามหมอประจำจวนมาเร็ว” อนุหลิงออกคำสั่ง

“เจ้าค่ะ” สาวใช้น้อมรับ

จากนั้นอนุหลิงเดินไปหากู้ฉังชิงที่เรือน “ข้าเห็นว่าบนหน้าเจ้ามีรอยแผล เลยเอายามาให้”

พูดจบ อนุหลิงก็เพิ่งสังเกตว่าบ่าวของกู้ฉังชิงกำลังทายาให้เขาอยู่

“เอ๋ นี่ยาอะไรกัน หน้าตาไม่เหมือนกับยาของที่นี่เลย เอามาจากที่ค่ายทหารรึ” อนุหลิงเอ่ยถาม

กู้ฉังชิงครุ่นคิดอยู่พัก แล้วเอ่ยตอบ “หมอจากข้างนอกให้มาน่ะ”

“ใช้ยาจากข้างนอกสุ่มสี่สุ่มห้าได้อย่างไรกัน ใช้ยาที่จวนดีกว่าน่า” อนุหลิงเอ่ยพลางยื่นขวดยาให้

“ไม่ต้องหรอก ใช้อันนี้แหละดีแล้ว”

“แล้วแต่เจ้าเลย” อนุหลิงทำท่าตกใจ ก่อนจะเก็บขวดยาที่ตนเอามาให้ออกไป

“ฉังชิงเอ๋ย นี่เป็นเรื่องระหว่างพวกเจ้าสามพี่น้อง เดิมข้าไม่ควรเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย แต่ในเมื่อเฉิงหลินเป็นน้องชายเจ้า เจ้าไม่ควรอิงแค่คำพูดของฮูหยินฝ่ายเดียวแล้วตัดสินใจลงโทษเขาเช่นนั้น ข้าไม่ได้จะกล่าวหาว่าเจ้าตัดสินใจผิดพลาดแต่อย่างใด ทว่าเจ้าทำเช่นนี้ เฉิงหลินอาจมองว่าเจ้ากำลังเข้าข้างฮูหยินอยู่”

“หากความยุติธรรมของข้าถูกมองเป็นการเข้าข้างคนอื่น เช่นนั้นที่ผ่านมาที่ข้าเคยเมตตาเขานั้นควรเรียกว่าอะไร”

“แต่เขาเป็นน้องเจ้า เป็นธรรมดาที่เจ้าควรจะเข้าข้างน้องตัวเองก่อน…”

กู้ฉังชิงไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก จึงรีบเปลี่ยนเรื่องและตัดบท “อนุหลิง ข้าอยากรู้ว่า แม่นางเหยาเป็นคนทำให้ท่านแม่ของข้าต้องจบชีวิตจริงหรือ”

อนุหลิงทำหน้าสงสัย “เหตุใดจู่ๆ ถึงถามเรื่องนี้ล่ะ”

“ที่จวนแห่งนี้ลือกันอย่างหนักว่าแม่นางเหยาเป็นต้นเหตุที่ทำให้ท่านแม่ตาย” กู้ฉังชิงเอ่ย

อนุหลิงยิ้มอ่อนให้เขา “เรื่องนี้ไม่ได้มีหลักฐานอะไรมายืนยันได้เลย เจ้าฟังหูไว้หูก็พอ อย่าเก็บมาคิดเลย”

“ข้ามีหลักฐาน และเพราะเหตุนี้ ข้าถึงปักใจเชื่อข่าวลือนี้มาตลอดหลายปี”

“หลักฐานอะไรรึ” อนุหลิงถาม

“ช่วงที่ท่านแม่กำลังรักษาตัว มีใครบางคนเขียนจดหมายถึงท่านพ่อ ใจความประมาณว่าต้องการสารภาพรักกับท่านพ่อ และขอให้ท่านพ่อแต่งนางเข้าจวน พอท่านแม่ได้เห็นจดหมายฉบับนั้นเลยทรุดหนักกว่าเดิม”

อนุหลิงทำหน้าตื่นตระหนก พลางเอ่ย “นึกไม่ถึงเลยว่าท่านพี่จะเจอเรื่องแบบนี้”

“แม่นางเหยาเป็นเพื่อนรักของท่านแม่มาตลอด ช่วงนั้นข้าจำได้ว่านางเข้าออกจวนอยู่บ่อยๆ และมีคนเห็นว่านางแอบเอาจดหมายฉบับนั้นมอบให้ท่านพ่อ ผ่านไปไม่กี่วัน ท่านแม่ก็เรียกแม่นางเหยาเข้าพบ และออกปากถามนางไปตรงๆ ว่าอยากแต่งงานกับท่านพ่อหรือไม่ ตอนนั้นข้ายืนแอบฟังอยู่พอดี ถ้านางตอบแต่แรกว่ายอมแต่ง ข้าคงไม่คิดจงเกลียดจงชังนางจนถึงตอนนี้”

อนุหลิงเบิกตากว่าง “นางปฏิเสธท่านพี่ไปรึ แล้วเหตุใดถึงได้เขียนจดหมาย…”

กู้ฉังชิงเล่าต่อ “ต่อหน้าท่านแม่ทำตัวสูงส่ง ลับหลังกลับตีท้ายครัว ท่านคิดว่าท่านแม่ของข้าโมโหเรื่องของนางจนอาการทรุดหนักหรือไม่”

อนุหลิงยิ้มแห้งให้เขา ก่อนเอ่ยตอบ “ในเมื่อเจ้ามีหลักฐานขนาดนี้ เหตุใดยังสงสัยอยู่ล่ะว่าเป็นฝีมือนางจริงๆ หรือไม่”

“ก็เพราะว่าวันนี้แม่นางเหยาพูดว่านางไม่เคยทำเรื่องไม่ดีกับพวกเราเลยสักครั้ง”

“เจ้าเชื่อที่นางพูดรึ”

กู้ฉังชิงเอามือลูบมีดสั้นของแม่นางเหยา พลางเอ่ย “ดูเหมือนวันนี้นางตั้งใจมาอัตวินิบากกรรมจริงๆ นางดูเหมือนคนที่ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ข้าเลยคิดว่านางไม่มีความจำเป็นจะต้องพูดปดแต่อย่างใด”

“หรือนางทำเพื่อลูกของนาง”

“กู้เหยี่ยนมีพี่สาวอยู่ด้วยทั้งคน คงไม่มาสนใจมรดกของตระกูลหรอก”

อนุหลิงยิ้มอ่อนให้เขา พลางถาม “นางบอกกับเจ้าเช่นนี้รึ”

กู้ฉังชิงส่ายหัว ที่จริงแม่นางเหยาเคยพูดไว้เช่นนั้น แต่เรื่องนี้เขาค่อนข้างเอนเอียงไปทางความรู้สึกตอนที่ได้เจอกับกู้เจียวและกู้เหยี่ยนเสียมากกว่า

กู้ฉังชิงมองหน้าอนุหลิง “ท่านว่าใครคือคนร้ายตัวจริงที่ทำให้ท่านแม่ของข้าต้องมาจบชีวิตลง”

อนุหลิงทำท่ากุมมือแน่น