เล่ม 1 ตอนที่ 46 โตเป็นผู้ใหญ่

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 46 โตเป็นผู้ใหญ่
สตรีเข้าบ่อนพนันก็ชวนให้ทุกคนเปิดหูเปิดตามากพอแล้ว แต่สตรีนางนี้ยังเอาชนะตำนานผู้ไม่เคยพ่ายของเมืองซีหนิวอย่างอู๋ต้าจินได้อีก นักพนันและผู้คนที่มาชมต่างต้องตกตะลึงไปตามๆ กัน

ไม่เพียงพวกเขาเท่านั้น แม้กระทั่งอู๋ต้าจินเองก็ตกตะลึงอึ้งค้างไปแล้ว

เขาพ่ายแพ้หญิงสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่ง…

เฉียวเวยมองอู๋ต้าจินที่ตกอยู่ในภวังค์ มุมปากยกโค้ง “ตอนนี้ พรรคชิงหลงเป็นของข้าแล้วสินะ”

คนในพรรคเหลือบมองอู๋ต้าจินเป็นตาเดียว

สิ่งที่ชาวยุทธภพนับถือคือสัจจะ อู๋ต้าจินแพ้เสียพรรคชิงหลงต่อหน้าผู้คนมากมายรวมถึงพี่จ้าว คิดจะกลับคำย่อมเป็นไปไม่ได้แล้ว

อู๋ต้าจินตื่นจากภวังค์ เขากำหมัดแน่น มองเฉียวเวยด้วยดวงตาที่ลุกโชนดั่งคบเพลิง “นางหนู หากเจ้ารู้ว่าอะไรเป็นอะไร…”

“เจ้าถูกไล่ออก”

อู๋ต้าจินงุนงง!

เฉียวเวยเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “ได้ยินไม่ชัดหรือ ข้าบอกว่าเจ้าถูกขับออกจากพรรคชิงหลงแล้ว”

อู๋ต้าจินหน้าถอดสีด้วยความตกตะลึง “เจ้า…”

เฉียวเวยเอ่ยขัดเขา “เจ้าอะไรกัน เจ้าจะกลับคำหรือ ได้สิ เจ้าประกาศต่อหน้าทุกคนว่าเจ้าอู๋ต้าจินขอกลับคำ แล้วข้าจะคืนพรรคชิงหลงให้เจ้าทันที”

เป็นถึงหัวหน้าพรรค หน้าตาย่อมสำคัญกว่าชีวิต แต่การรักษาสัตย์สำคัญยิ่งกว่าหน้าตา หากกลับคำแล้วเรื่องเล่าลือออกไป ชื่อเสียงของเขาคงย่อยยับในพริบตา หากวันนี้เขากล้ากลับคำ วันหน้าเขาย่อมกล้าทรยศใช่หรือไม่

ในยุทธภพไม่มีที่ยืนให้คนสวะพรรค์นั้น

อู๋ต้าจินเสียใจที่เขาเลินเล่อประมาทศัตรูจนตกหลุมพรางของหญิงสาวนางนี้ แต่โลกใบนี้ไม่มียาแก้ความเสียใจ ในเมื่อเขาพนันแล้ว เขาย่อมต้องกล้าพนันกล้าแพ้

เขาชี้หน้าเฉียวเวย “หนนี้ถือว่าเจ้าร้ายกาจ!”

เฉียวเวยเหลือบมองนิ้วของเขาอย่างเฉยเมย สีหน้านิ่งสงบอย่างยิ่ง “เมืองซีหนิวเป็นถิ่นของพรรคชิงหลง นับจากพรุ่งนี้เป็นต้นไป ข้าไม่ต้องการเห็นเจ้าในถิ่นของข้าอีก”

พูดอีกอย่างก็คือ จงไสหัวออกไปจากเมืองซีหนิว!

อู๋ต้าจินโกรธจนหน้าเขียว แต่ไหนแต่ไรมามีแต่เขาขับไล่คนอื่น ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะถูกคนขับไล่!

ถ้าเขาได้รับโอกาสย้อนกลับไปเลือกใหม่อีกครั้ง เขาจะยังกล้าไปหาเรื่องสตรีนางนี้หรือไม่ ตัวเขาเองก็ไร้คำตอบ

เขาทิ้งป้ายหัวหน้าพรรคไว้ แล้วเดินออกจากบ่อนพนันอย่างเย็นชา ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของทุกคน

เฉียวเวยกล่าวขอบคุณพี่จ้าว นางหยิบป้ายหัวหน้าพรรคกลับไปยังที่ตั้งพรรค จากนั้นส่งป้ายหัวหน้าพรรคให้เฉินต้าเตาผู้ใบหน้าฟกช้ำดำเขียว แล้วยิ้มบางๆ “หัวหน้าพรรคเฉิน ไม่พบกันนาน ตั้งแต่จากกันสบายดีหรือไม่”

ทางด้านหลัวหย่งเหนียนหลังจากพาจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูกลับถึงหมู่บ้านอย่างเร่งรีบ เขาก็ไม่พักเหนื่อย พาเด็กหนุ่มหลายคนรีบบึ่งเข้ามาในตัวเมือง เขาสาบานว่าตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีความพยายามมากเท่านี้มาก่อน เขาวิ่งจนขาไร้ความรู้สึก กว่าจะวิ่งออกมาได้สองลี้ เลือดตาแทบกระเด็น ทว่าจู่ๆ ก็เห็นรถม้าสีเข้มคันหนึ่งวิ่งตรงมาทางนี้

คนที่ขับรถม้าใบหน้าเขียวช้ำ มีแผลเป็นยาวที่แก้มขวา ถ้าไม่ใช่เฉินต้าเตาแล้วจะเป็นผู้ใด

เฉินต้าเตาเห็นหลัวหย่งเนียนแล้วเช่นกัน เขาหยุดรถม้าแล้วยิ้มทักทายหลัวหย่งเนียน “น้องหย่งเหนียน!”

หลัวหย่งเหนียนขนลุก!

เฉียวเวยเปิดม่าน “หย่งเหนียนใช่หรือไม่”

“ท่านพี่หรือ” หลัวหย่งเหนียนเบิกตาโต แล้วพาพรรคพวกวิ่งเข้าไปหา

เฉียวเวยมองมีดของเขาด้วยสายตาพิกล เขาหัวเราะแหะๆ “ข้าเป็นห่วงท่าน กำลังจะไปช่วยท่านพอดี ใช่แล้ว อู๋ต้าจินไม่ได้ทำอันใดท่านใช่หรือไม่”

เฉียวเวยยิ้มพลางส่ายศีรษะ “ไม่”

“จริงหรือ” หลัวหย่งเหนียนไม่เชื่อ

เฉินต้าเตาเล่าเรื่องที่เฉียวเวยชนะพนันอู๋ต้าจินอย่างตื่นเต้น “…ต้องขอบคุณพี่สาวของเจ้า ตอนนี้ข้าคือหัวหน้าพรรคเฉินแล้ว!”

เขาเพียงให้ฮูหยินยืมรถม้า แต่ฮูหยินกลับเอาพรรคมามอบให้เขา เขาไม่รู้จะพูดเช่นไรดี

หลัวหย่งเนียนตกตะลึง “…ท่านพี่ ทำไมท่านถึงเก่งกาจเช่นนี้”

เขาระดมพลมาเสียเปล่าแล้วสิ

เฉียวเวยยิ้มแล้วเอ่ยกับเฉินต้าเตาว่า “ส่งถึงตรงนี้ก็พอ ข้าจะเดินกลับกับหย่งเหนียน เดินอีกไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว”

เฉินต้าเตามองไปยังทางเข้าหมู่บ้าน เห็นว่าอยู่ไม่ไกลจริงๆ เขาจึงกล่าวลาเฉียวเวย

เฉียวเวยและหลัวหย่งเหนียนกลับมาที่หมู่บ้าน เด็กๆ ตื่นแล้ว พวกเขาไม่เห็นมารดากับเสี่ยวไป๋ก็รู้สึกเศร้าเล็กน้อย ป้าหลัวกำลังปลอบโยนพวกเขาอยู่ บอกว่าเฉียวเวยไปซื้อของอร่อยมาให้พวกเขา

ทันทีที่เฉียวเวยเข้ามาในห้อง วั่งซูก็รีบวิ่งเข้ามาหา “ท่านแม่! ท่านซื้ออะไรมาให้พวกเราหรือเจ้าคะ”

เฉียวเวยเตรียมไว้แล้ว นางหยิบขนมสองชิ้นที่ซื้อมาจากบ่อนพนันส่งให้พวกเขา

เด็กๆ นั่งบนเตียงเตากินขนมอย่างมีความสุข แม้ไม่อร่อยเท่าขนมที่มารดาเป็นคนทำ แต่พวกเขาก็ไม่ใช่คนช่างเลือก

เฉียวเวยซื้อของมาฝากคนบ้านสกุลหลัวเช่นกัน พวกมันเป็นของที่ซื้อมาจากเมืองหลวง นางเปิดห่อผ้าแล้วหยิบขนมซิ่งเหรินออกมาสามกล่อง เดินไปที่ห้องของป้าหลัว ลุงหลัวก็อยู่ที่นั่นด้วย หลัวหย่งเหนียนกำลังคุยโวโอ้อวดเรื่องของเฉียวเวย “…พวกท่านรู้จักอู๋ต้าจินหรือไม่ คนที่เป็นผู้นำของพรรคชิงหลง! ทุกคนในเมืองซีหนิวไม่มีใครกล้าสู้กับเขา! เฮ้อ แต่พี่ข้าสู้กับเขา! แถมยังชนะเขาอีกด้วย!…

…ท่านแม่ ท่านเคยบอกว่ามีคนมาหาเรื่องพวกท่านไม่ใช่หรือ อู๋ต้าจินเป็นคนส่งพวกอันธพาลสามคนนั่นมา เขาอยากขับไล่พี่ข้า แต่แล้วเกิดอะไรขึ้น พี่ข้ากลับเป็นคนไล่เขาออกจากเมืองซีหนิว!…

…ฮ่าๆ ต่อไปข้าก็ไม่ต้องไปเรียนวิชาที่เมืองหลวงแล้ว คอยอยู่ติดตามท่านพี่ก็พอ!”

สองผู้เฒ่าผู้แก่แห่งบ้านสกุลหลัวฟังจบ ไม่เพียงไม่ตื่นเต้น แต่กลับทำหน้าหวาดผวา

อู๋ต้าจินเป็นผู้ใด พวกเขาไม่เคยรู้จัก แต่หัวหน้าพรรคคนหนึ่งถูกเฉียวเวย ‘ข่มเหง’ เช่นนี้ หากผู้อื่นกลับมาแก้แค้น พวกเขาจะหนีรอดหรือ

เฉียวเวยเดินยิ้มแย้มมาถึงประตู ตั้งใจจะมอบขนมซิ่งเหรินให้ทั้งสองคน แต่กลับเห็นลุงหลัวตบหน้าหลัวหย่งเหนียน!

คืนนี้ป้าหลัวไม่ได้ชวนเฉียวเวยให้ทานอาหารเย็นด้วยกัน

เฉียวเวยวางขนมซิ่งเหรินลงบนโต๊ะ ป้าหลัวก็ยัดใส่กลับไปในห่อผ้าของนาง “บ้านนี้ไม่มีเด็ก ผู้ใดจะกินขนมพวกนี้ ให้จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูเถิด”

นางจำได้ว่าป้าหลัวชอบกินขนมหวานมาก

เฉียวเวยไม่พูดอะไร นางเก็บขนมซิ่งเหรินเงียบๆ แล้วพาเด็กสองคนขึ้นเขา

นี่คือเหตุผลที่นางไม่ชอบพึ่งพาผู้อื่น เมื่อพึ่งพาย่อมเกิดความรู้สึก ความรู้สึกคือสิ่งที่แปรเปลี่ยนได้ ถูกศัตรูทำร้ายหาน่ากลัวไม่ สิ่งที่น่ากลัวคือการถูกคนใกล้ชิดทอดทิ้ง

โชคดีว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรก นางเคยชินเสียแล้ว ยามได้รับความอบอุ่นและรู้สึกซาบซึ้งอย่างที่สุด นางมิได้หลงใหลไปกับมัน นางจดจำได้เสมอว่ามิอาจพึ่งพาผู้ใดและมิอาจเชื่อมั่นในความรู้สึกใด

ไม่คาดหวังย่อมไม่ผิดหวัง

แม้แต่จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูที่นางรักพวกเขาอย่างสุดหัวใจ นางก็ไม่เคยคาดหวังว่าพวกเขาจะตอบแทนนาง

“ท่านแม่ขอรับ” จู่ๆ จิ่งอวิ๋นก็เอ่ยขึ้น

เขายังอ่อนแรงอยู่เล็กน้อย เดินไปได้ครึ่งทางก็แทบหมดกำลัง เฉียวเวยจึงให้เขาขี่หลัง

เฉียวเวยยกตัวเขาขึ้นแบก “เป็นอันใดหืม ลูกชาย”

เขาซบหัวไหล่ของเฉียวเวย กระซิบเสียงแผ่ว “ข้าจะตั้งใจเรียนหนังสือ”

“อืม ดีแล้ว”

“ท่านอาจารย์บอกว่า เรียนเก่งจะสอบเป็นจอหงวนได้ หากได้เป็นจอหงวนก็จะได้เป็นขุนนางใหญ่โต เมื่อข้าเป็นขุนนางใหญ่แล้ว จะไม่มีผู้ใดรังแกท่านแม่อีก”

เขาไม่ต้องการให้มารดาถูกข่มเหง ไม่ต้องการอีกแล้ว