บทที่ 165 เจียงเชียนชิว
บทที่ 165 เจียงเชียนชิว
“คนที่เข้าร่วมสงครามในตอนนั้นมีจำนวนมากกว่าสิบล้านคน พวกเขาทุกคนคือผู้ยิ่งใหญ่ระดับตำนาน ชะตาของพวกเขาจะตกเป็นของคนคนเดียว หรือของตระกูลเดียวได้อย่างไร?”
“สิ่งที่ตระกูลหลิงสืบทอดคือโชคชะตาแห่งวิถีหอก สมาชิกสายหลักของตระกูลหลิง ล้วนเป็นปรมาจารย์ในวิชาหอกทั้งสิ้น พวกเขาไม่สามารถถูกเรียกเป็นอย่างอื่นได้นอกจากยอดฝีมือในวิชาหอกเท่านั้น พวกเขามีชะตาให้สามารถแบกรับพรสวรรค์ที่วิถีหอกมอบให้มาได้ แต่พวกเขาไม่สามารถแบกรับโชคชะตาของวิถีหอกได้”
“ตระกูลหลิงในตอนนี้ นอกจากบรรพชนเฒ่าตระกูลหลิงแล้ว คนที่เหลือของตระกูลหลิงก็มีชีวิตไม่เกินหนึ่งร้อยปีหรอก”
“ตระกูลหลิงทราบสถานการณ์ดีเช่นกัน จึงพยายามสุดความสามารถเพื่อแก้ไขมัน วิถีที่ได้รับมาในตอนนี้ คือทรัพยากรมหาศาลเพื่อยืดอายุ ส่วนสมาพันธ์ทะเลครามในสายตาของพวกเขา ไม่เพียงเป็นแค่สถานที่เพื่อให้ได้ทรัพยากรเท่านั้น แต่ยังเป็นสถานที่สำหรับรวบรวมข้อมูลอีกด้วย”
หลังจากฟังอวี๋ฉู่พูดมามากขนาดนี้ ลู่หยวนก็เข้าใจเช่นกัน
คาดไม่ถึงว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสามแสนปีก่อน จะมีอิทธิพลถึงปัจจุบันมากขนาดนี้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า หลังจากการต่อสู้เมื่อสามแสนปีก่อน ตระกูลจำนวนมากจึงเริ่มลดจำนวนลง
ลู่หยวนขมวดคิ้ว ตระกูลลู่ก็คล้ายทำแบบเดียวกัน
หลายชั่วอายุคน ยังมีหลายคนที่อยู่ในตระกูลสายหลัก แต่ในรุ่นของบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ ในบรรดาตระกูลสายหลักแล้วเหมือนจะไม่เหลือใครแม้แต่คนเดียว
ชายหนุ่มเงยหน้ามองคู่สนทนา ราวกับรู้ว่าลู่หยวนกำลังจะพูดอะไร อีกฝ่ายจึงพยักหน้า “เจ้าเดาถูกแล้ว ตระกูลลู่ของเจ้าก็แบกรับมหาชะตาเช่นกัน เพียงแต่ว่า ชะตาที่ตระกูลลู่ของเจ้าแบกรับไม่ใช่ชะตามหาวิถี แต่เป็นชะตาของคนเพียงคนเดียว”
“ชะตาประเภทนี้ ไม่อาจส่งผลถึงตระกูลของเจ้าทั้งหมดได้ อีกอย่าง หากมีอู่หมิงเสวี่ยผู้เป็นแม่ของเจ้าอยู่ นางจะพยายามสุดความสามารถเพื่อตามหาตำราโบราณมาคลายอิทธิพลของชะตาที่มีต่อตระกูลลู่”
ทั้งสองสนทนากันอีกสักพัก ก่อนที่จะพับเรื่องนี้เก็บไป เมื่อโล่ที่อยู่รอบข้างทั้งสองหายไป พวกเขาก็พบฉินอี่หานกำลังยืนอยู่หน้าโล่ คิ้วนางขมวดมุ่นราวกับรู้สึกขุ่นใจ
ลู่หยวนอดถามไม่ได้ว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
นางกล่าว “ใครบางคนกำลังต่อว่าอาจารย์สำนักหลิงอวิ๋น ท่านจะไปดูหรือไม่?”
เมื่อได้ยินดังนี้ ลู่หยวนและอวี๋ฉู่พลันขมวดคิ้ว ราวกับไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
นี่คือสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์นะ!
หลิงอวิ๋นเป็นถึงอาจารย์สำนักมายาศักดิ์สิทธิ์!
แม้กระทั่งเจ้าสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่กล้ามีความบาดหมางกับหลิงอวิ๋น เขากังวลเรื่องอำนาจของตระกูลหลิงจนไม่กล้าตำหนินางแม้แต่นิดเดียว
มันเป็นใครกัน …ถึงกล้าต่อว่าหลิงอวิ๋นในยอดเขาของสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์?!
นี่ไม่เท่ากับรนหาที่ตายหรือ?!
อวี๋ฉู่ลุกขึ้นทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘ต่อว่า’ ดวงตาของเขาเผยจิตสังหาร ก่อนจะกล่าวอย่างเกรี้ยวกราด “ข้าอยากเห็นนัก ใครกันที่กล้าทำตัวอวดดีโอหังในสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์!”
เมื่อกล่าวจบ ผู้มีสมญาพระพุทธองค์พลันสะบัดแขนเสื้อ ลู่หยวนผู้ยังยืนอยู่อย่างเกียจคร้านก็เช่นกัน ก่อนที่ทั้งสองจะทะยานขึ้นสู่ยอดเขา
มีศิษย์จำนวนมากรายล้อมนอกห้องโถงหลักยอดเขา ไม่มีใครกล้าก้าวไปข้างหน้า พวกเขาทำได้เพียงมองจากไกล ๆ เท่านั้น
ณ จัตุรัสของตำหนักหลักที่รายล้อมไปด้วยฝูงชน ชายผู้หนึ่งที่มีใบหน้าบวมเป่งชำเลืองมองสตรีในชุดสีแดงตรงหน้า พลางชี้นิ้วขวาไปด้านหน้าอย่างเกรี้ยวกราด และตะโกนว่า “หลิงอวิ๋น กลับไปกับข้า!”
หลิงอวิ๋นยืนอยู่บนหอกในชุดแดงที่พลิ้วไหวไปตามสายลม เจตจำนงหอกหนักอึ้งทั่วทั้งร่างกายผันผวนไปมา สะท้อนใบหน้าหยกที่ดูหาญกล้าและเคร่งขรึม เป็นภาพที่สง่างามยิ่งนัก
นางขมวดคิ้วสีหน้าเคร่งขรึม กล่าวด้วยน้ำเสียงหม่นหมอง “เจียงเชียนชิว อย่ามาหาเรื่องกันดีกว่า”
“หาเรื่องหรือ?!”
เจียงเชียนชิวคล้ายกับได้ยินเรื่องตลกมาก เขาหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง แต่จิตสังหารไม่ได้จางหายไป “หลิงอวิ๋น เจ้าหมั้นกับข้านะ ตอนนี้วันแห่งการหมั้นหมายก็ใกล้เข้ามาแล้ว การที่เจ้าไม่กลับตระกูลหลิง หรือไม่ให้คำตอบกับตระกูลเจียงพร้อมข้า หมายความว่าเจ้าพยายามจะผิดสัญญางั้นหรือ?!”
คนฟังสายตามืดมน สีหน้าตึงเครียดมากขึ้น
“อะไร? พูดไม่ออกเลยงั้นหรือ?!”
เจียงเชียนชิวชี้หน้าคู่กรณีอย่างเกรี้ยวกราด ปากตะโกนว่า “หลิงอวิ๋น ข้าขอบอกเจ้านะ การหมั้นหมายครั้งนี้ถูกจัดขึ้นโดยบรรพชนเฒ่าตระกูลหลิงผู้บากหน้าแก่ ๆ ไปที่ตระกูลเจียงด้วยตัวเอง เจ้าจึงไม่มีสิทธิ์ทำตัวอวดดี!”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา สีหน้าของคนรอบข้างก็แปรเปลี่ยน ท่าทีที่พวกเขามองหลิงอวิ๋นเปลี่ยนไปเช่นกัน
กลายเป็นว่าอาจารย์สำนักหลิงอวิ๋นผู้อยู่สูงเกินกว่าจะปีนป่ายได้กลับถูกหมั้นหมายเอาไว้ แถมการหมั้นหมายดังกล่าวยังเป็นการขอร้องจากบรรพชนเฒ่าตระกูลหลิงต่อตระกูลเจียง
โธ่ ๆ
ทุกคนเหมือนกับกำลังมองดูการแสดงก็ไม่ปาน
เจียงเชียนชิวก้าวมาข้างหน้าพร้อมกับมือทั้งสองข้าง แรงกดดันอากาศรอบข้างลดลงทันที มือขนาดใหญ่พลันปรากฏขึ้นกลางอากาศ กดลงมาหาหลิงอวิ๋น
“หลิงอวิ๋น ถ้าเจ้ามีเหตุผล จงกลับไปแต่งงานกับข้าแต่โดยดี!”
บรรพชนหอกชูอาวุธขึ้น พลังถูกกวาดเป็นวงกว้างก่อนจะรวมตัวที่ปลายหอก
ทั่วทั้งหอกเริ่มสั่นไหว แสงสว่างปรากฏขึ้นที่ปลายหอก
วิ้ง!
เจตจำนงหอกของหลิงอวิ๋นทะยานขึ้น ยับยั้งมือขนาดใหญ่สองข้างกลางอากาศในทันที
พลังของเจียงเชียนชิวแข็งแกร่งยิ่งนัก หมู่เมฆรอบข้างม้วนตัว พลังมหาศาลโถมลงมาราวกับท้องฟ้าถล่ม ฝ่ามืออีกหลายสิบข้างก่อตัวขึ้นจากนภา พวกมันกำลังจะทำให้ทั่วทั้งบริเวณพังทลายในชั่วพริบตา
บรรพชนหอกกำลังจะพุ่งหอกสวนขึ้นไป แต่นางเห็นหอกสีดำอีกเล่มปรากฏขึ้นจากฟากฟ้า มันทะลวงผ่านความว่างเปล่าด้วยความเร็วมหาศาล ตรงเข้าหาเจียงเชียนชิวทันที!
การเคลื่อนไหวในมือของเจียงเชียนชิวหยุดกะทันหัน ก่อนจะหันหลังหลบการโจมตีดังกล่าว
ใบหน้าของเจียงเชียนชิวแข็งเกร็งด้วยโทสะ เขาชำเลืองมองไปทางที่หอกพุ่งมา “ใครกัน?!”
ท่ามกลางบรรดาศิษย์ทุกคน มีร่างหนึ่งเหาะมาจากท้องนภา ผู้คนรอบข้างจึงหันสายตาไปมอง
ผู้ชายสวมชุดสีดำ มือถือหอกสีดำ สีหน้าจริงจังและสงบนิ่งพร้อมดวงตาจับจ้องเจียงเชียนชิว ตอนนี้เขาย่างก้าวสู่พื้นทีละก้าว ส่งผลให้บรรยากาศรอบข้างเย็นเยือกมากยิ่งขึ้น
คนผู้นั้นเดินมาถึงก็กันหลิงอวิ๋นเอาไว้ด้านหลัง พลางมองเจียงเชียนชิวด้วยความมุ่งร้าย กล่าวว่า “นี่คือสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ ข้าน้อยหยางอวิ๋น มาช่วยอาจารย์แล้ว!”
ความเงียบสงัดปกคลุมทั่วทั้งจัตุรัส
ทุกคนต่างครุ่นคิดอยู่ในใจว่า…
หยางอวิ๋นมาทำอะไรที่นี่?!
แม้แต่หลิงอวิ๋นก็ไม่เข้าใจว่าศิษย์ออกมาทำไมตอนนี้ จึงถามว่า “ข้าบอกให้เจ้าฝึกฝนอย่างหนักไม่ใช่หรือ? เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
บุตรแห่งโชคชะตาหันศีรษะช้า ๆ หางตาจับจ้องเท้าของหลิงอวิ๋น พร้อมน้ำเสียงมั่นคงมากยิ่งขึ้น “อาจารย์สำนักไม่ต้องห่วง วันนี้ไม่มีใครพาท่านไปได้หรอก”
หลังจากกล่าวจบ หยางอวิ๋นสะบัดมือ หอกยาวส่งเสียงดังก้องไปทั่วจัตุรัส
พื้นที่รอบข้างเงียบสงัดยิ่ง มันเงียบจนถึงขั้นได้ยินเสียงเข็มหล่น
พรืด!
นอกฝูงชน เสียงหลุดหัวเราะพลันดังขึ้น ดึงดูดสายตาของผู้คนส่วนใหญ่ให้หันไปหา
เมื่อหันมองตามต้นเสียง จึงพบว่าคนที่ไม่อาจกลั้นขำเอาไว้ได้คือลู่หยวน
อวี๋ฉู่ผู้ยืนอยู่ข้างเขาตกอยู่ในสายตาของทุกคนเช่นกัน หลายคนจำอดีตเจ้าสำนักได้ จึงรีบพากันทำความเคารพ
ผู้ครองสมญานามพระพุทธองค์โบกมือให้ทุกคนหลีกทาง ก่อนมองบุตรศักดิ์สิทธิ์ที่ยังคงขบขัน พลางถามเสียงต่ำว่า “เจ้าหัวเราะทำไม”
ผ่านไปพักใหญ่ อีกฝ่ายจึงหยุดหัวเราะ สายตาเต็มไปด้วยความหยอกล้อจ้องตรงไปที่หยางอวิ๋น “ไม่มีอะไร แค่คิดว่าข้าเองก็ผ่านอะไรมามาก เคยเห็นคนอวดดีมาก็ไม่น้อย แต่ยังไม่เคยเห็นใครโง่แบบนี้มาก่อน”