ตอนที่ 263 ฉินหลิวซีคือคนที่จะล้างคำสาปอย่างนั้นหรือ

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 263 ฉินหลิวซีคือคนที่จะล้างคำสาปอย่างนั้นหรือ

ฉินหลิวซีไม่รู้ถึงเรื่องที่หวังกงสองปู่หลานทำอยู่เบื้องหลัง เวลานี้ นางกำลังนั่งอยู่ในห้องโถงรับรองแขกของซือเหลิ่งเย่ว์ มองซือถูน้ำหูน้ำตานองหน้าเอ่ยถึงความยากลำบากของพ่อหม้ายเลี้ยงบุตรีมาคนเดียว เมื่อเติบใหญ่แล้ว ยังต้องกลัวว่านางจะจากไปได้ทุกเมื่อ

ซือถูดวงตาบวมแดงมองไปยังฉินหลิวซี เอ่ย “นักพรตน้อย ข้ารู้ว่าท่านมีความสามารถมาก ท่านต้องช่วยข้าช่วยชีวิตบุตรีของข้า หากนางต้องตายตามมารดาของนางไป ข้าก็คงอยู่ไม่ได้ คงจะตายตามไปด้วย”

“ตายตามไปทำไมเล่า” ฉินหลิวซีตั้งใจเอ่ย “หากนางตายไป สมบัติของตระกูลซือก็จะตกมาอยู่ในมือท่าน ท่านยังแต่งภรรยามีลูกใหม่ได้ เด็กยังจะแซ่เดียวกับท่าน เช่นนี้ไม่ดีหรือ”

ซือถูเบิกตาโต เอ่ย “ท่าน วาจานี้เป็นวาจาที่คนควรเอ่ยหรือ”

“นี่มิใช่สิ่งที่คนชอบทำหรือ บุตรเขยของตระกูลซือ ไม่เคยมีผู้ใดทำเช่นนี้เลยหรือ”

“แน่นอนว่าไม่มีอยู่แล้ว หากมี แล้วเกี่ยวอะไรกับเรา” ซือถูเอ่ยโดยไม่คิดแม้เพียงนิด “บุตรเขยของตระกูลซือ เข้ามาในตระกูลซือแล้ว ล้วนแล้วแต่จงรักภักดี ไม่เคยมีจิตใจดุร้ายเพียงนั้น คนก่อนหน้าข้าไม่เอ่ยถึง แต่ข้าไม่เคยคิด ข้าจะอยู่กับภรรยาของข้าตลอดไป”

ร่างกายของเขา มีเพียงภรรยาเท่านั้นที่แตะต้องได้ ปีศาจหญิงร้ายอย่าได้ฝัน

ซือถูจ้องฉินหลิวซีเขม็ง ความคิดของนักพรตน้อยผู้นี้ไม่ดีแล้ว

ฉินหลิวซี “!”

เจ้าอาวาสชิงหลานกระแอมไอ เอ่ย “บุตรเขยตระกูลซือ ส่วนใหญ่ล้วนแต่เข้าหาใบบุญอยู่อย่างสันโดษ บุตรเขยก่อนหน้านี้ หากไม่ช่วยตระกูลซือดูแลกิจการ ไม่ก็ตรอมใจตาย น้อยนักจะมีอายุถึงสี่สิบปี”

“อ้อ วิชาควบคุมสามี” ฉินหลิวซีเข้าใจแล้ว

“เหลวไหล พวกเราจงรักภักดี” ซือถูไม่พอใจ

ถูกๆๆ เจ้าเอ่ยถูกแล้ว

ซือเหลิ่งเย่ว์เดินเข้ามาจากด้านนอก นางอาบน้ำเปลี่ยนชุดมาพบแขก ผมเกล้าขึ้นง่ายๆ เพียงออกจากร่างไปนาน สีหน้าจึงไม่ดีนัก

ซือถูมองเห็นพลันรู้สึกปวดใจขึ้นมา น้ำตาหลั่งริน เอ่ย “พวกท่านดูสิ ทุกครั้งที่วิญญาณออกจากร่างตื่นขึ้นมา ใบหน้าซีดขาวจนไร้สีเลือด ลูกของข้าน่าสงสารยิ่งแล้ว”

“ท่านพ่อ ข้าเพียงเหนื่อยเล็กน้อย” ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ยอย่างจนปัญญา

“เจ้าก็เอ่ยเยี่ยงนี้ทุกครั้ง” ซือถูเช็ดน้ำตา เอ่ย “ทุกครั้งที่วิญญาณเจ้าออกจากร่าง ข้าก็กลัวว่าวิญญาณเจ้าจะกลับมาไม่ได้”

ซือเหลิ่งเย่ว์มองไปยังฉินหลิวซี เอ่ย “ขายหน้าแล้ว”

ฉินหลิวซีหยิบถุงเล็กๆ ออกมาจากหน้าอก ยื่นไปให้ เอ่ย “เจ้าสวมเอาไว้ ปกป้องร่างกายไม่ให้วิญญาณชั่วร้ายเข้ามาใกล้”

ซือถูได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ร้องไห้แล้ว จ้องมองถุงเล็กๆ นั้นตาแป๋วซือเหลิ่งเย่ว์ก็ไม่ปฏิเสธ เปิดออกดู เทกำไลไข่มุกนั่นออกมา ลูบตัวอักษรที่สลักอยู่บนไข่มุก ดีใจขึ้นมา เอ่ย “ล้ำค่ายิ่งนัก”

ฉินหลิวซีโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “เครื่องรางป้องกันตัวเท่านั้น”

ซือเหลิ่งเย่ว์เผยรอยยิ้มที่หาได้ยากออกมา สวมกำไลเข้าไปภายใต้การเร่งรัดของบิดา หลังจากที่นางสวมเข้าไป ฉินหลิวซีจึงตวัดปลายนิ้วร่ายมนต์ออกไป

เมื่อร่ายมนต์ออกไปแล้ว ไข่มุกของซือเหลิ่งเย่ว์ก็กระชับเข้าเล็กน้อย ไม่แน่นไม่หลวม ไม่หลุดได้ง่ายๆ นางจึงหันไปมองฉินหลิวซี

“กำไลไข่มุกนี้ข้าบ่มเพาะมานานหลายปี ไม่รู้ว่าผู้ใดจะใช้ รูปร่างของคนไม่เท่ากัน ข้าเห็นว่าเจ้าสวมแล้วยังหลวมจึงขยับให้แน่นขึ้นสักหน่อย” ฉินหลิวซีเอ่ย “เช่นนี้ เจ้าจะได้ไม่ทำหล่นหายได้ง่ายๆ บวกกับร่ายคาถาแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าใครจะทำแตก”

ความใส่ใจนี้เรียกได้ว่าหาได้ยาก

ซือเหลิ่งเย่ว์มองไปยังฉินหลิวซี ดวงตามีประกายพรั่งพราว

“ให้ข้า ท่านก็ไม่มีแล้ว” นางเอ่ย

ฉินหลิวซีโบกมือ “เครื่องรางทำออกมาแล้ว ล้วนให้กับผู้มีจิตศรัทธาใช้ ไม่มีก็ทำใหม่เท่านั้น อีกอย่าง ข้าเพิ่งได้ไข่มุกทองคำมาหนึ่งกล่อง เดี๋ยวมีเวลาว่างก็ทำเครื่องรางขึ้นมาได้อีก”

“นอกจากไข่มุกทองคำ ยังใช้หยกได้หรือไม่” ซือเหลิ่งเย่วเอ่ยถาม

ฉินหลิวซีพยักหน้า “หยกก็เป็นสิ่งที่เกิดจากธรรมชาติ ใช้ทำเครื่องรางหรือตั้งค่ายกล ต่างก็ดีมากๆ”

เพียงแต่หยกโดนกระแทกแตกง่ายกว่าไข่มุกทองคำ อย่างเช่นเครื่องรางชิ้นเดิมที่แตกไปของซือเหลิ่งเย่ว์ เพียงกระแทกก็เป็นรอยร้าว ต่อให้ไม่ได้ร้าวทั้งหมด แต่ก็ทำให้ผีร้ายเข้าสิงร่างได้

ซือเหลิ่งเย่ว์ครุ่นคิด เอ่ย “ข้ารู้แล้ว”

ซือถูเอ่ยต่อ “นักพรตน้อย พวกเรายังมีเรื่องอยากขอร้องท่าน คือว่า…”

“ท่านพ่อ นางรู้แล้วเจ้าค่ะ ระหว่างทางข้าบอกนางแล้วเจ้าค่ะ” ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ยขัดเขา “นี่เป็นกรรมที่บรรพบุรุษตระกูลซือทำเอาไว้ หากต้องชดใช้ เช่นนั้น…”

ซือถูเอ่ยอย่างร้อนใจ “หากเป็นกรรม ต้องชดใช้กรรม เช่นนั้นชดใช้มาร้อยปีแล้วยังไม่พออีกหรือ”โนเวลพีดีเอฟ

ซือเหลิ่งเย่ว์สีหน้าเคร่งขรึม “ท่านพ่อ”

ซือถูเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของนาง คอพลันหดเข้า ขลาดกลัวขึ้นมา เอ่ยอย่างน่าสงสาร “ก็พ่อกลัวนี่”

ฉินหลิวซีเห็นพวกเขาเป็นเช่นนั้นจึงเอ่ย “คำสาปเลือดนี้ เพียงฟังพวกเจ้าเอ่ยก็ยังดูไม่ออก ตลอดร้อยปีที่ผ่านมาตระกูลซือคงจะมีบันทึกของบรรพบุรุษใช่หรือไม่”

มีคำสาปเช่นนี้อยู่ เดิมตระกูลซือก็ยังเป็นพ่อมด แน่นอนว่าต้องมีบันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนนั้น กระทั่งบันทึกถึงการเปลี่ยนแปลงตลอดร้อยปีที่ผ่านมาจากวงศ์ตระกูลพ่อมดจนกลายมาเป็นตระกูลซือในทุกวันนี้ เพื่อให้คนรุ่นหลังได้อ่านและร่วมกันหาทางออกในเรื่องนี้

เป็นเช่นนั้น ซือเหลิ่งเย่ว์พยักหน้า บันทึกเขียนด้วยมือเช่นนี้แน่นอนว่ามี

“ดูได้หรือไม่”

ซือถูมองไปยังบุตรสาว บันทึกส่วนตัวเช่นนี้เป็นดั่งความลับของตระกูลซือ อย่างเขาที่เป็นบุตรเขยไม่มีสิทธิ์ที่จะดู ต้องเป็นสายเลือดของตระกูลซือเท่านั้นจึงจะเห็นได้

อย่าว่าแต่เขา แม้แต่บุตรเขยคนอื่นหลายรุ่นมากมายก็ไม่เคยเห็นบันทึกเขียนด้วยมือของตระกูลซือ ไม่ว่าสามีภรรยาจะรักกันเพียงใดก็ไม่อาจดูได้ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

ซือถูเองก็ไม่เคยเห็น

เช่นนั้นคนนอกดูได้หรือ

ซือเหลิ่งเย่ว์กลับดวงตาเป็นประกายอย่างน่าแปลก พยักหน้า “หากเป็นท่าน ดูได้”

ฉินหลิวซีขมวดคิ้ว วาจานี้ราวกับมีความนัยแฝงอยู่

แม้แต่เจ้าอาวาสชิงหลานก็ยังตกใจ “ไยเป็นนางจึงดูได้หรือ”

ดวงตาหลายคู่มองไปยังซือเหลิ่งเย่ว์ รอคำตอบจากนาง

ซือเหลิ่งเย่ว์นิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยออกมา “ในบันทึกของตระกูลซือ หลังได้รับคำสาปเลือดมาสิบปี แม่มดบรรพบุรุษของข้าทุ่มเทฝึกฝนพลังมนต์ เปิดความลับสวรรค์ ร้อยปีหลังจากนั้น จะมีผู้มาพร้อมกับไฟกรรม ร่างกายมีรอยอัคคี คนผู้นี้จะแก้คำสาปของตระกูลซือได้”

นางหันไปมองฉินหลิวซี เอ่ย “ข้าก็ไม่รู้ว่าวันนั้นที่เห็นคือไฟกรรมหรือไม่ แต่รู้ว่านั่นทำให้วิญญาณร้ายหวาดกลัว ไม่รู้ว่าท่านมีรอยอัคคีดั่งที่บรรพบุรุษว่าเอาไว้หรือไม่ ท่านว่าอย่างไร”

ซือถูชะงัก เรื่องนี้เขาไม่เคยรู้มาก่อน มารดาของซือเหลิ่งเย่ว์เองก็ไม่เคยเอ่ยถึง

เขาหันไปทางฉินหลิวซีโดยไม่รู้ตัว ประโยคที่บอกว่าให้เขาได้ดูรอยอัคคีนั้นเกือบหลุดออกจากปากเขา

สีหน้าของฉินหลิวซียังคงเรียบนิ่ง กระทั่งไม่มีความรู้สึกใดๆ เนิ่นนานก่อนจะเอ่ยออกมาหนึ่งประโยค “แม่มดบรรพบุรุษของเจ้า พลังมนต์และหน้าตาเป็นเหมือนกันหรือไม่ หมายความว่า นางสวยหรือไม่”

ทุกคน “…”

อาจารย์ ผิดหัวข้อแล้วกระมัง

ซือเหลิ่งเย่ว์กลับผ่อนคลายอยู่ในใจ นางไม่ได้ปฏิเสธ