ตอนที่ 86-1 จุดจบ ถอนหมั้น
“ท่านลุงหมิง!”

วั่งซูโถมเข้าไปในอ้อมแขนของเขา เพราะกลัวมารดาจะเสียใจ นางจึงไม่กล้าร้องไห้ ตอนนี้ท่านลุงหมิงมาแล้ว นางก็ไม่กลัวสิ่งใดแล้ว

จีหมิงซิวอุ้มเด็กน้อยตัวอวบอ้วนขึ้นมา แล้วไม่ลืมจิ่งอวิ๋นที่อยู่ด้านข้าง เจ้าตัวน้อยทั้งสองราวกับหาที่พึ่งพบในพริบตา กลั้นเสียงสะอื้นไม่อยู่อีกต่อไป

มือน้อยของวั่งซูกอดคอของเขาไว้ ดวงตาโตมองตัวหลัวหมิงจูกับเฉียวอวี้ซีด้วยความโมโห “ท่านลุงหมิง พวกเขารังแกท่านแม่!”

เฉียวอวี้ซีหน้าถอดสี “ข้าไม่ได้…”

นางคิดว่าใต้เท้าหมิงซิวมาช่วยแก้สถานการณ์ให้นาง ผู้ใดจะคิดว่าใต้เท้าหมิงซิวเข้ามากลับไม่มองนางสักครั้ง แต่ไปอยู่ฝั่งเดียวกับสตรีคนนี้กับลูกของนาง

ใครบอกนางได้บ้างว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้

แม้แม่ทัพตัวหลัวกับจีหมิงซิวเป็นขุนนางในราชสำนักเดียวกัน ระหว่างจวนทั้งสองคบค้าไปมาหาสู่กันบ้างเป็นบางครั้ง แต่จีหมิงซิวปรากฏตัวในงานเลี้ยงน้อยครั้งนัก ตัวหลัวหมิงจูก็มิใช่คนชอบสังสรรค์กับเหล่าสตรีผู้ผัดแป้งทาชาด ดังนั้นทั้งสองคนโตจนป่านนี้จึงยังไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน

ตัวหลัวหมิงจูเบิกตาโตมองสำรวจจีหมิงซิวตั้งแต่หัวจรดเท้า แม้หน้าตาของอีกฝ่ายดูไม่ได้เล็กน้อย แต่ก็ทำลายรัศมีของความมีอำนาจไม่ได้ นางเคยเห็นคุณชายมามากมาย แต่เคยรู้สึกถึงอำนาจที่ทำให้นางหวั่นเกรงเช่นนี้จากตัวบิดานางเท่านั้น แต่บิดาของนางเป็นยอดแม่ทัพผู้กรำศึกในสนามรบ ตัดศีรษะทหารฝ่ายศัตรูจนเอามาวางเรียงรอบเป็นคูเมืองได้ แน่นอนว่าต้องมีไอสังหารหนักหน่วง แต่เหตุไฉนบุรุษผู้นี้จึงมีด้วยเล่า

“เจ้า…เจ้าเป็นใคร”

น่าชังนัก!

ดันพูดติดอ่าง!

แม้จีหมิงซิวมิเคยพบนาง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเดาฐานะของนางไม่ออก “คุณหนูตัวหลัว ข้ากับบิดาท่านนับว่ามีไมตรีต่อกันอยู่บ้าง เห็นแก่หน้าเขา ข้าจะไม่ลงมือสั่งสอนท่าน ท่านกลับจวนไปขอรับบทลงโทษเสียเถิด!”

“ข้า ข้า เหตุใดข้าต้องกลับจวนไปรับบทลงโทษด้วย”

บิดาของนางเป็นคนโมโหร้าย ต้องตีนางตายแน่!

จีหมิงซิววางเด็กน้อยสองคนลง แล้วมองไปสุดปลายทางเดิน “จะหลบไปถึงเมื่อไร ยังดูละครไม่พอหรือ”

เจ้าเมืองคู้ตัวเดินออกมาจากห้องเครื่องมือ แล้วคำนับจีหมิงซิวโดยที่เหงื่อแตกพลั่ก “ผู้น้อยคารวะใต้เท้า ไม่ทราบว่าใต้เท้ามาเยือนจึงไม่ได้ออกไปต้อนรับ ขอใต้เท้าโปรดอภัย!”

จีหมิงซิวกวาดสายตามองเจ้าเมืองอย่างเย็นชา เพียงมองครั้งเดียวก็ทำให้ขนทั่วร่างของเจ้าเมืองลุกตั้ง “ดูท่าเจ้าคิดจะนั่งบนภูดูเสือกัดกัน ไม่ให้ตนเองต้องลำบากสินะ”

น้ำเสียงนี้เรียบเรื่อย แต่เมื่อตกต้องหูของเจ้าเมืองกลับกลายเป็นดั่งหินหนักอึ้งทับลงบนแผ่นหลัง เจ้าเมืองค้อมกายลงไปต่ำกว่าเดิม “ผู้น้อยมิกล้า ผู้น้อยเพิ่งรีบมาถึง กำลังคิดจะเข้าไปสอบถามให้ชัดก็ถูกใต้เท้าเรียกเสียก่อน”

คำพูดท่อนนี้เอ่ยออกมาเหมือนจริงใจยิ่งนัก ทว่าแม้แต่เฉียวเวยก็มองออกว่าเขากำลังโป้ปด มิใช่ว่าเฉียวเวยมีดวงตาที่ร้ายกาจสักเท่าใดนัก แต่ที่แห่งนี้ถึงอย่างไรก็เป็นคุกของจวนเจ้าเมือง ตัวหลัวหมิงจูโวยวายเสียงดังเช่นนี้ในห้องขัง หากจะบอกว่าเจ้าเมืองไม่ทราบเรื่องสักนิด นางไม่เชื่อเด็ดขาด

แต่เพราะล่วงเกินจวนแม่ทัพมิได้จึงหลบอยู่ในที่มืดแสร้งทำหูหนวกเป็นใบ้ แต่เขาน่าจะคิดไม่ถึงว่าตัวหลัวหมิงจูจะเอ่ยว่าต้องการพาตัวนางกลับจวนแม่ทัพ เขาน่าจะคิดว่าอย่างมากตัวหลัวหมิงจูคงสั่งสอนนางเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น

ทันใดนั้นนางก็พลันใคร่รู้เล็กน้อยว่าหากหมิงซิวไม่ปรากฏตัว เจ้าเมืองผู้กลิ้งกลอกมะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูกผู้นี้สุดท้ายจะกล้าขวางตัวหลัวหมิงจูหรือไม่

“ใต้เท้า…” เจ้าเมืองเหงื่อทะลักซึมออกมาด้านนอก เพียงครู่เดียวก็ซึมจนคอเสื้อเปียกโชก เรื่องที่ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีสั่งสอนรองหัวหน้ากองเล่าลือไปทั่วเมืองหลวง รองหัวหน้ากองผู้นั้นถูกโบยร้อยไม้ ชีวิตหายไปแล้วครึ่งหนึ่ง จวบจนวันนี้ยังนอนอยู่กับเตียง จะรอดหรือจะตายก็ยังไม่ทราบ…

จีหมิงซิวมองฟูกนุ่มนิ่มสะอาดในห้องขังกับโต๊ะตัวน้อย เบาะรองนั่งและเครื่องเขียนทั้งสี่แห่งห้องอักษร สุดท้ายก็ไม่ได้สั่งคนมาลากออกไปโบยร้อยไม้ เขาหันกลับมามองวั่งซู “พวกเขารังแกมารดาเจ้าอย่างไร”

วั่งซูมองเฉียวอวี้ซี “พี่สาวนิสัยไม่ดีคนนี้โกหก บอกว่าข้า…บอกว่าข้าชนรถม้าของ…ของ…”

“จวนแม่ทัพ” จิ่งอวิ๋นช่วยเตือนความจำ

“รถม้าของจวนแม่ทัพ ข้าไม่ได้ชน ข้ากำลังเก็บลูกแก้วที่ท่านลุงหมิงมอบให้ข้า” วั่งซูเอ่ยอย่างน่าสงสาร แล้วไม่ลืมยื่นลูกแก้วแสนรักมาให้จีหมิงซิวดู

เฉียวอวี้ซีหน้าซีดเผือดไร้สีเลือดในพริบตา

จีหมิงซิวชำเลืองมองนางอย่างเฉยชาวูบหนึ่ง “หลังจากนั้นเล่า”

วั่งซูเอ่ยเสียงอ้อแอ้ “หลังจากนั้น…หลังจากนั้นท่านแม่ก็ถูกคนมากมายเข้ามาทำร้าย พวกเขาสู้ท่านแม่ไม่ได้ เลยจับตัวข้ากับพี่ชายไว้”

จีหมิงซิวส่งเสียงดังเหอะ “จับเด็กหรือ เจ้าเมือง เจ้าทำงานตำแหน่งนี้ได้ดีเหลือเกินนะ”

เจ้าเมืองคุกเข่าลงไปดังตึง “ใต้เท้า กล่าวหาผู้น้อยแล้ว! ผู้น้อยมิทราบว่าพวกเขาเชิญฮูหยินมาที่ศาลาว่าการอย่างไร!”

เขาไม่ทราบเรื่องจริงๆ เขาคิดไม่ถึงแม้แต่น้อยว่าสตรีนางหนึ่งจะเอาชนะบุรุษกลุ่มหนึ่งได้ เขาคิดว่าขั้นตอนการจับกุมเป็นไปอย่างราบรื่น!

หลังจากนั้นมาที่ศาลาว่าการได้อย่างไร ไม่ต้องให้วั่งซูเล่า จีหมิงซิวก็เดาได้แล้ว สตรีนางนี้ใจกล้าดั่งกินดีหมีหัวใจเสือ องครักษ์ของยิ่นอ๋องนางบอกจะตีนางก็ตี สิ่งที่ทำให้นางยอมจำนนได้มีเพียงเลือดเนื้อเชื้อไขสองคนนี้เท่านั้น

วั่งซูเอ่ยอย่างร้อนรน “ข้าไม่ได้วิ่งมั่วซั่วจริงๆ นะ ข้าไม่ได้ชนพวกเขา…”

“ข้าเชื่อเจ้า” จีหมิงซิวกุมมือน้อยที่เหงื่อซึมเพราะความวิตกของนางเอาไว้ วั่งซูจึงค่อยๆ สงบลง เขามองไปทางตัวหลัวหมิงจูอีกครั้ง “บ้านเจ้าไม่มีเด็กหรือ เด็กน้อยบ้านเจ้าไม่วิ่งมั่วหรือ เด็กบ้านเจ้าวิ่งชนคนต้องถูกจับเข้าคุกหรือไร”

“ข้า…”

“นับประสาอะไรเมื่อนางไม่ได้ชน ใช่หรือไม่ คุณหนูเฉียว” ในที่สุดจีหมิงซิวก็เคลื่อนสายตามามองใบหน้าของเฉียวอวี้ซี แต่นั่นกลับไม่ใช่แบบที่เฉียวอวี้ซีจินตนาการไว้

เฉียวอวี้ซีถูกสายตาเย็นยะเยือกของเขามองจนเหมือนตัวตกอยู่ในห้องน้ำแข็ง นางขยำผ้าเช็ดหน้าแน่น ร่างกายเริ่มสั่นเทา “ข้า…ข้า…ตอนนั้นข้า…ความจริงก็มอง…มองเห็นไม่ชัดนัก…”

ตัวหลัวหมิงจูด่าใส่หน้าทันที “มองไม่ชัดแล้วเจ้าพูดส่งเดชทำอะไร เจ้าสติไม่ดีใช่หรือไม่”

เฉียวอวี้ซีร่างกายอ่อนยวบก้าวถอยหลังไปหลายก้าว นางเป็นเพียงแม่นางน้อยผู้ไม่เคยเผชิญโลกคนหนึ่ง ไหนเลยจะรับมือสถานการณ์เช่นนี้ได้ นางกลัวจนน้ำตาเริ่มเอ่อคลอในดวงตา

“ร้องไห้หาอะไร เจ้ายังมีหน้ามาร้องไห้อีกหรือ เพราะเจ้าให้การเท็จ! ข้าเลยตีผิดคน! ชื่อเสียงของข้าตัวหลัวหมิงจูย่อยยับในมือเจ้าหมดแล้ว!” ตัวหลัวหมิงจูเกลียดแม่ดอกบัวขาวที่ชอบบีบน้ำตาร่ำไห้เป็นที่สุด ทำเหมือนว่าทุกคนต่างรังแกนางเสียอย่างนั้น น่ารังเกียจนักเชียว!

“เจ้าเมือง ตามกฎต้าเหลียงของเรา เป็นพยานเท็จสมควรลงโทษอย่างไร” จีหมิงซิวถามเสียงกร้าว

เจ้าเมืองประสานมือตอบว่า “ดูจากความร้ายแรงของสถานการณ์ อย่างเบาที่สุดต้องคุมขังครึ่งเดือน”

เฉียวอวี้ซีเบิกตาโตอย่างหวาดกลัว “ข้า…ข้าไม่อยู่ในคุก…ใต้เท้า ข้าผิดไปแล้ว…ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้า…ข้ามองไม่ชัดจริงๆ แล้วคนจวนแม่ทัพก็ดุนัก ข้ากลัวทำอันใดไม่ถูกจึงพูดจาสับสน ข้า…วันนี้ข้ามาเยี่ยมพวกเขา ข้าจะมารับพวกเขาออกไป!”

เฉียวเวยหัวเราะหยัน “โอ๊ะโอ๋ เมื่อครู่ผู้ใดกันนะบอกต่อหน้าคุณหนูตัวหลัวว่าไม่เกี่ยวข้องกับข้าสักนิด ต้องให้ข้าทวนคำพูดดั้งเดิมของเจ้าให้เจ้าฟังซ้ำหรือไม่”

เฉียวอวี้ซียกหินมาทับเท้าตัวเองโดยแท้ เพื่อไม่ให้ถูกตัวหลัวหมิงจูพาลโกรธ นางจึงปัดความสัมพันธ์กับเฉียวเวยจนสิ้น ตอนนั้นหากนางลังเลสักนิด ยอมรับประโยคที่ว่าเป็นพี่น้องที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเฉียวเวย ก็คงไม่ถึงกับตกอยู่ในสถานการณ์ทำอันใดมิได้ในตอนนี้

เฉียวเวยเห็นนางจนตรอก ความขุ่นเคืองในใจก็ได้ระบายออกมาในที่สุด นางตบหัวไหล่อีกฝ่ายแล้วยิ้มหวาน “ฟูกผ้าห่ม โต๊ะแล้วก็เครื่องเขียนล้วนเป็นของที่ซื้อมาใหม่ ข้าใช้ไปเพียงครั้งเดียว จะใจกว้างมอบให้คุณหนูเฉียวก็แล้วกัน ไม่ต้องเกรงใจ!”

เมื่อก้าวพ้นประตูจวนเจ้าเมือง เฉียวเวยพลันพรูลมหายใจอย่างโล่งอก!

นี่ก็คือความรู้สึกโล่งอกหลังหมดเรื่องกดดันสินะ ยอดเยี่ยมทีเดียว

ต้องขอบคุณคุณหนูผู้สูงศักดิ์แห่งจวนเอินปั๋ว นางจึงได้ประสบการณ์ที่ชั่วชีวิตยากจะลืมครั้งหนึ่ง หากวันไหนไม่ทันระวังทะลุมิติกลับไปยุคปัจจุบัน คงเอาไป ‘โม้’ กับเพื่อนร่วมงานทั้งหลายได้

เจ้าเมืองเตรียมรถม้าไว้แล้ว เขายิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ใต้เท้าเชิญ ฮูหยินเชิญ!”

จีหมิงซิวทำท่าบอกเฉียวเวยให้ขึ้นไปก่อน เฉียวเวยเหยียบบนม้านั่งไม้ แต่จากนั้นก็ก้าวลงมาบนพื้นใหม่ นางมองจีหมิงซิวด้วยสีหน้าสงสัย อยากพูดบางอย่างแล้วก็หยุดไป

“ฮูหยิน ท่านมีอันใดจะสั่งหรือ” เจ้าเมืองถามอย่างประจบ

“ไม่มีอะไร” ถามแล้วจะเป็นอย่างไร

เฉียวเวยขึ้นรถม้า

จีหมิงซิวอุ้มเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองขึ้นรถ จากนั้นตนเองก็เข้าไปนั่งด้วย

ทันใดนั้นก้อนสีขาวก้อนหนึ่งก็วิ่งเผ่นแผล็วกระโดดขึ้นรถม้า กระโจนเข้าไปในอ้อมแขนของวั่งซูเยี่ยงสุนัขรับใช้

วั่งซูดวงตาเป็นประกาย “เสี่ยวไป๋! เจ้ากลับมาแล้ว! ข้ายังคิดว่าเจ้าหายไปแล้วเสียอีก”

เสี่ยวไป๋ยืดหน้าอกเล็กๆ ของมันขึ้น เบ่งกล้ามเนื้อหน้าอกอันงดงามกำยำ (ที่ความจริงไม่มี) ของมัน

เฉียวเวยตบหัวมันหนึ่งที “เบ่งอะไร พอต้องเข้าคุกก็เผ่นแน่บ พอออกจากคุกถึงกลับมา! เจ้าสัตว์ใจจืดใจดำ!”

เสี่ยวไป๋ก้มหัวเพียงพอนลงอย่างละอายใจ…

อากาศปลอดโปร่งนัก ท้องฟ้าสีครามแลเหมือนมหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาล ก้อนเมฆขาวประหนึ่งฟองคลื่นเหนือผืนทะเล สายลมโชยแผ่วพัดผ่านม่านเข้ามาพร้อมกับไอร้อนบางเบาของคิมหันต์ฤดู

เฉียวเวยอ้าปากแล้วก็ไม่พูดอยู่หลายครั้ง

“อยากถามสิ่งใด” จีหมิงซิวเอ่ยขึ้นมา

เฉียวเวยลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “อยากถามว่าท่านเป็นขุนนางตำแหน่งใหญ่มากใช่หรือไม่ เหตุใดเจ้าเมืองจึงกลัวท่านปานนั้น แม้แต่จวนแม่ทัพ ท่านไม่ต้องไว้หน้าก็ได้”

“บ้านข้ามีภูมิหลังเล็กน้อย”

“เป็นลูกหลานขุนนางหรือ”

จีหมิงซิวกลั้นไม่ไหวยกมุมปากโค้ง “ก็นับว่าใช่ ท่านปู่ของข้าเป็นขุนนางสามรัชสมัย บิดาของข้าเคยอยู่ในหมู่เสนาบดี ยามนี้เกษียณมาแล้ว”

ขุนนางสามรัชสมัย ขุนนางใหญ่ในหมู่เสนาบดี สวรรค์ นี่แค่ลูกหลานขุนนางที่ไหนเล่า นี่มันคุณชายใหญ่แห่งตระกูลขุนนางผู้ทำความดีความชอบใหญ่หลวงชัดๆ!

ปากของเฉียวเวยอ้ากว้างจนยัดไข่ไก่ฟองหนึ่งเข้าไปได้

เขาเพียงบอกครึ่งเดียว ข้อมูลสำคัญยังไม่ได้เล่าสักนิด นางก็ตกใจจนเป็นเช่นนี้แล้ว หากบอกนางว่ามารดาของตนเป็นพระขนิษฐาของอดีตจักรพรรดิ ตนเองดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีอยู่ นางจะกลัวจนหนีไปเลยหรือไม่

จีหมิงซิวลูบคาง ดวงตาอันลึกล้ำทอประกายร้ายกาจ “ด้านหน้าเหมือนจะเป็นสำนักศึกษาหนานซาน ข้าได้ยินว่าครั้งก่อนเจ้าพบอันตรายที่สำนักศึกษา อัครมหาเสนาบดีผ่านทางมาพบความอยุติธรรมจึงช่วยเหลือไว้หรือ”

เมื่อเอ่ยถึงอัครมหาเสนาบดี เฉียวเวยก็เปลี่ยนไปมีสีหน้าเคารพนับถือ “ใช่แล้ว หากมิได้อัครมหาเสนาบดีผ่านทางมาพอดี ข้าก็คงถูกยิ่นอ๋องสารเลวนั่นจับตัวไปแล้ว!”

“อัครมหาเสนาบดียังมอบเงินรางวัลให้จิ่งอวิ๋นกับของรางวัลให้วั่งซูเป็นพิเศษด้วยหรือ” จีหมิงซิวถามเนิบช้า

เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับอันใดในหมู่บ้าน คิดว่าในเมืองหลวงก็คงไม่ใช่เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นวั่งซูก็ยังเอาของรางวัลที่ตนได้มาอวดเขาอยู่ เฉียวเวยจึงไม่สงสัยเขาสักนิด นางคลี่ยิ้มพร้อมพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว ชาติตระกูลท่านดีเช่นนี้ ท่านเคยพบอัครมหาเสนาบดีหรือไม่”

“แน่นอนต้องเคยพบ” รอยยิ้มในดวงตาของจีหมิงซิวยิ่งชัดกว่าเดิม

เฉียวเวยอิจฉาเล็กน้อย “ข้าได้ยินว่าเขายังหนุ่มนัก”

“อืม”

“หล่อเหลาหรือไม่”

“หล่อเหลาเป็นหนึ่งในใต้หล้า”

คนขับรถที่บังคับรถอยู่ตัวสั่น อัครมหาเสนาบดีท่านหน้าไม่อายเช่นนี้จริงหรือ

“ข้าว่าแล้วเชียว!” เฉียวเวยยิ้ม

จีหมิงซิวกลั้นรอยยิ้มไว้ “เจ้าเคยพบหรือ เจ้าจึงรู้”

เฉียวเวยดวงตาเป็นประกาย “ข้า…ข้าต้องเคยพบสิ! ครั้งก่อนเขาลงโทษรองหัวหน้ากองคนนั้นที่สำนักศึกษาเสร็จยังเคยทักทายข้าด้วย”

“อ้อ ทักทายกันแล้ว” แววตาของจีหมิงซิวแฝงความนัยลึกล้ำบางอย่าง

“ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีช่างดีนัก” เฉียวเวยเอ่ย

จีหมิงซิวขยับเข้าไปใกล้ ลมหายใจอุ่นร้อนเป่าลงข้างหูนาง “ดีเท่าใดหรือ”

ปลายหูเฉียวเวยร้อนผ่าวเพราะเขาขยับเข้ามาใกล้อย่างไม่ทันตั้งตัว นางจึงขยับไปด้านข้างเล็กน้อย พลางพึมพำตอบว่า “ดีกว่าท่านก็แล้วกัน!”

จีหมิงซิวเอ่ยเย้า “ข้าเดินทางทั้งวันทั้งคืนรีบมาช่วยเจ้า ไฉนจึงกลายเป็นคนไม่ดีเสียเล่า”

เฉียวเวยกระแอม แล้วตอบอย่างเคร่งขรึม “ท่านยังจะพูดอีก หากไม่ใช่เพราะท่าน คู่หมั้นอะไรนั่นของท่านจะมาหาเรื่องข้าหรือ ข้าต้องโชคร้ายเข้าคุกก็เพราะท่าน ท่านมาช่วยข้าเป็นเรื่องถูกต้องสมควรแล้ว ไม่ช่วยถึงใจไม้ใส้ระกำ”

เจ้าตัวน้อยใจจืดใจดำ ข้าเร่งเดินทางมาทั้งคืนเพื่อใครกันหืม

จีหมิงซิวขยับเข้าไปใกล้นางอีกครั้งแล้วเป่าลมหายใจร้อนผ่าวข้างหูนาง “กล่าวเช่นนี้ แปลว่าข้าติดค้างเจ้าหรือ”

“อืม” เฉียวเวยเอ่ยสีหน้าจริงจัง!

ตั้งแต่ใบหูจรดแก้ม ไปจนถึงริมฝีปากล้วนแดงก่ำไปหมดแล้ว

จีหมิงซิวกดมุมปากที่กำลังจะยกขึ้นเอาไว้ “ถ้าเช่นนั้นเจ้าอยากให้ข้าชดใช้เช่นไรดี”

เฉียวเวยแสร้งทำใจเย็น “ก่อนอื่นเลี้ยงอาหารข้าหนึ่งมื้อก่อน”

อาหารในคุกไม่อร่อย หิวจะตายอยู่แล้ว…

รถม้าเคลื่อนเข้าไปในเรือนสี่ประสาน จีหมิงซิวให้พ่อครัวหลิวทำอาหารรสอ่อนแต่อร่อยมาเต็มโต๊ะ เดินทางระหกระเหินมาทั้งคืน สภาพของเขาสุดจะกล่าวอยู่บ้าง จึงรีบกลับห้องอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า

ลี่ว์จูทราบเรื่องที่เกิดขึ้นคร่าวๆ แล้ว เขาถอนหายใจเสียงดัง เดิมถือไพ่ดีๆ ไว้ในมืออยู่แล้วแต่กลับเล่นจนเละเทะกลายเป็นเช่นนี้ได้ นางอยู่สงบๆ ข้างกายท่านแม่เฒ่า ไม่ออกมาทำให้นายท่านรังเกียจไม่เป็นหรือไร คราวนี้ดีแล้ว หาภัยครั้งใหญ่ใส่ตัวจนได้

“ลี่ว์จู ข้าไม่ได้จะยุแยงตะแคงรั่วอันใดหรอกนะ ความจริงแล้ว…” เฉียวเวยลากลี่ว์จูไปในห้อง แล้วมองไปทางประตูห้องของจีหมิงซิวที่ปิดสนิทอยู่แล้วกดเสียงเบาเอ่ยว่า “นายท่านผู้เฒ่าของพวกเจ้าเป็นขุนนางสามรัชสมัย นายท่านคนก่อนก็เคยอยู่ในหมู่เสนาบดี นายท่านของพวกเจ้าฐานะสูงศักดิ์นัก ในเมืองหลวงไม่มีแม่นางดีๆ แล้วหรือไร ดันหาคนเช่นนี้มาได้! เหล่าฮูหยินของพวกเจ้าตาถั่วหรือ”

ลี่ว์จูสำลัก คนที่กล้าต่อว่าเหล่าไท่ไท่เช่นนี้น่าจะมีเพียงฮูหยินคนเดียว “การแต่งงานครั้งนี้ ท่านแม่เฒ่ามิใช่ผู้กำหนด แต่เป็นอดีตฮองเฮา”

เฉียวเวยตาค้าง “ฮองเฮาก็ตาถั่วหรือ”

“ไม่ใช่ๆ” ลี่ว์จูรีบบอก “คนที่ฮองเฮาเลือกตอนแรกไม่ใช่นาง เป็นคุณหนูอีกคนหนึ่งของตระกูลเฉียว แต่เกิดเรื่องกับคุณหนูผู้นั้น นางจึงมิอาจแต่งงานกับนายท่านได้ ตระกูลเฉียวถึงให้คนนี้มาแทน ตอนกำหนดงานแต่งงาน อดีตฮองเฮากำชับเป็นพิเศษว่าตระกูลเราห้ามยกเลิกงานแต่ง ต้องเป็นตระกูลเฉียวเป็นฝ่ายถอนหมั้นเท่านั้น…แต่ท่านคิดว่าตระกูลเฉียวจะยินยอมถอนหมั้นหรือ”

น่าจะไม่ยินยอมหรอก ลูกเขยทองคำชั้นเลิศเช่นนี้ ให้ตายก็ต้องตกให้ได้…

ลี่ว์จูเอ่ยอีกว่า “ท่านอย่าโกรธเหล่าไท่ไท่เลย คุณหนูเฉียวผู้นี้ซื้อใจคนเก่งนัก แม้แต่หมิงอันยังเคยถูกนางซื้อใจไป ต่อมานายท่านสั่งโบยหมิงอันหลายสิบไม้ เขาถึงมีสมองขึ้นมาหน่อย เหล่าไท่ไท่อายุมากแล้ว อยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยว ลูกหลานก็งานยุ่งกันนัก ไหนเลยจะมีเวลาอยู่เป็นเพื่อนนาง นี่จึงทำให้คุณหนูเฉียวมีช่องว่างแทรกเข้ามาได้”

เฉียวเวยเลิกคิ้ว แม่คนนั้นกลับมิใช่ตัวจริง เป็นเช่นนั้นแล้วยังใจกล้ามาอวดเบ่งต่อหน้านางอีก หน้าหนาจริงนะ!

แต่ก็โชคดีที่นางหน้าหนา ช่างรนหาที่ จนในที่สุดก็เอาตัวเองเข้าคุกไปแล้ว

“ปล่อยข้าออกไป! ปล่อยข้าออกไป! พวกเจ้ารีบปล่อยข้าออกไป!” ภายในห้องขัง เฉียวอวี้ซีใช้มือตบประตูห้องขัง ตะเบ็งเสียงตะโกนไม่หยุด แต่ไม่มีผู้ใดสนใจนางสักคน

“ข้าจะพบท่านเจ้าเมือง!”

“ข้าจะพบใต้เท้าอัครมหาเสนาบดี!”

“ข้าจะหาพ่อข้า!”

ผู้คุ้มเรือนจำเจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า แล้วประสานเสียงหัวเราะ

อัครมหาเสนาบดีเป็นคนโยนเจ้าเข้าห้องขังเอง เจ้ายังจะพบอัครมหาเสนาบดีอีกหรือ

เจ้าเมืองยิ่งแล้วใหญ่ อัครมหาเสบาดีเป็นเบื้องบนของตาเฒ่าอย่างเขา

ส่วนบิดาผู้นั้นของเจ้าหรือ

“บิดาของเจ้าคือผู้ใดเล่า” ผู้คุ้มเรือนจำคนหนึ่งเอ่ยถาม

เฉียวอวี้ซียืดอกเอ่ยว่า “บิดาข้าคือเฉียวปั๋ว รองหัวหน้าสำนักหมอหลวง!”

รองหัวหน้าสำนักหมอหลวงนี่เอง ขุนนางครึ่งขั้นห้าคนหนึ่งคิดจะขอคนจากศาลาว่าการจวนเจ้าเมือง?

ล้อเล่นหรือไร

“ข้าเป็นคู่หมั้นของใต้เท้าอัครมหาเสนาบดี! ปล่อยข้า แล้วข้าจะไม่สืบสาวเอาความกับพวกเจ้า!”

คู่หมั้นของอัครมหาเสนาบดี ถ้าเช่นนั้นสตรีนางนั้นกับเด็กน้อยที่พวกเขาเห็นเมื่อครู่ พวกเขาตาบอดหรือไร

ผู้คุ้มเรือนจำหัวเราะจนเจ็บหน้าอก