ตอนที่ 182 คาราโอเกะ

ตอนที่ 182 คาราโอเกะ

เมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยไห่ เฉินเจียเหอก็แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก

หากมีเรื่องยุ่งเหยิงวุ่นวายพรรค์นั้น เขาจะเป็นคนแรกที่ไม่เห็นด้วย

หลินเซี่ยมองขึ้นไปชั้นบนแล้วเอ่ยถามว่า “ชั้นสองเป็นห้องอะไรเหรอคะ?”

“บนชั้นสองมีสองห้องที่ยังว่างอยู่ ห้องหนึ่งเป็นห้องทำงานของฉัน ส่วนอีกห้องตั้งใจไว้ว่าจะให้เป็นห้องพักของเสี่ยวเฉียนและเสี่ยวหลิน”

หลินเซี่ยได้ยินดังนั้นก็กลอกตาไปมา ก่อนจะมองไปยังเซี่ยไห่แล้วเอ่ย

“เถ้าแก่เซี่ย ในเมื่อชั้นบนมีห้องว่าง การที่พวกคุณสองสามคนจะใช้เป็นที่พักและห้องทำงานนั้นช่างน่าเสียดาย ฉันมีข้อเสนอแนะ คุณอยากลองฟังไหมคะ?”

“คุณลองว่ามาสิ” เซี่ยไห่ดึงม้านั่งสองสองตัวมาแล้วส่งสัญญาณให้หลินเซี่ยนั่งลง

“คุณเคยได้ยินเรื่องคาราโอเกะบ้างไหมคะ?” หลินเซี่ยถามเขา

“คาราโอเกะ?”

“เป็นบริการร้องเพลงรูปแบบหนึ่งค่ะ เป็นสิ่งที่ส่งต่อกันมาตั้งวัยเด็ก เดิมหมายถึง ‘วงดนตรีที่ไร้ผู้ร้องเพลง’ ขอเพียงแค่คุณมีโทรทัศน์สี วีซีดี ไมโครโฟนก็สามารถเลือกเพลงมาร้องได้”

เซี่ยไห่ชี้ไปยังไมโครโฟนที่ตั้งอยู่ตรงกลางเวทีแล้วเอ่ย “ไม่ใช่อันที่อยู่บนเวทีหรอกเหรอ? หากเป็นอันนั้น เดี๋ยวฉันจะติดตั้งวีซีดีกับโทรทัศน์สี ก็สามารถกดเลือกเพลงได้ ทั้งยังมีทำนองบรรเลงด้วย”

หลินเซี่ยอธิบายว่า “ก็คล้าย ๆ แบบนั้นแต่ไม่เหมือนไปซะทีเดียว สิ่งที่ฉันกำลังพูดถึงคือห้องส่วนตัวค่ะ คุณดูสิคะว่าสถานที่นี้ของคุณกว้างขวางมากแค่ไหน คุณสามารถกั้นชั้นสองเพื่อทำเป็นห้องส่วนตัวสำหรับร้องคาราโอเกะ ให้ลูกค้าได้มีพื้นที่อิสระและเงียบสงบ ส่วนด้านล่างก็เป็นฟลอร์เต้นรำและเวที แบบนี้จะทำให้คุณสามารถตอบสนองกลุ่มลูกค้าได้หลากหลายขึ้นค่ะ”

เมื่อได้ยินคำแนะนำของเธอ เซี่ยไห่พลันหรี่ตาลงเพื่อไตร่ตรอง “สิ่งที่เธอกำลังพูดถึงดูเหมือนว่าจะมีอยู่ที่เมืองเซินเฉิงนะ แต่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน”

หลินเซี่ยยกยิ้มพลางพยักหน้า “ใช่ค่ะ ที่เมืองเซินเฉิงน่าจะค่อย ๆ เริ่มได้รับความนิยมแล้ว แต่ตอนนี้ห้องคาราโอเกะที่เมืองไห่เฉิงนั้นแทบจะไม่มีเลย และด้วยเพราะคุณเป็นเพื่อนของเฉินเจียเหอ ทั้งยังทำงานเกี่ยวกับวงการบันเทิง ฉันจึงแนะนำสิ่งที่มีค่าในการหาเงินมหาศาลให้กับคุณ ขึ้นอยู่กับคุณแล้วว่ายินดีที่จะคว้ามันไว้หรือไม่”บราวนี่ออนไลน์

“คุณเองยังมีช่องทางขายส่งเครื่องใช้ไฟฟ้าอยู่ไม่ใช่เหรอ? เพียงแค่นำโทรทัศน์สีจอใหญ่ วีซีดี และเครื่องกดเลือกเพลงมาสักอย่างละสองสามเครื่อง ตกแต่งภายในห้องส่วนตัวอีกสักหน่อย ก็สามารถเปิดกิจการได้แล้ว”

เซี่ยไห่นิ่งค้างอยู่กับที่ พลางครุ่นคิดอยู่สองสามวินาที ก่อนจะผุดลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้นและมองไปยังหลินเซี่ย น้ำเสียงของเขาปลุกใจฮึกเหิม “นี่เป็นคำแนะนำที่ดีเยี่ยมเลย ทำไมฉันไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนเลยนะ”

หลินเซี่ยเมื่อเห็นว่าเขาเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะของตัวเองก็พลันรู้สึกถึงความสำเร็จ

เริ่มจากให้คำแนะนำที่เป็นไปได้กับเซี่ยไห่ จากนั้นก็กอดขาเถ้าแก่ไว้ให้แน่น ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจจะได้ร่วมงานหาเงินกับเถ้าแก่ก็เป็นได้

หลินเซี่ยเริ่มคำนวณโครงการสร้างรายได้ในยุคนี้ในใจของเธอแล้ว ทันใดนั้น เซี่ยไห่ก็มองดูเธอแล้วเอ่ยถ้อยคำที่ทำให้คนอื่นตกใจออกมาเหมือนกับที่เขาทำในตอนเช้า “เซี่ยเซี่ย เธอมาเป็นน้องสาวฉันดีไหม?”

หลินเซี่ย “…”

เฉินเจียเหอเข้ามาขวางไว้พร้อมสบถด้วยใบหน้ามืดมน “ไปให้พ้น”

การก้าวเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยของเฉินเจียเหอทำให้เซี่ยไห่ตื่นตกใจ เขารีบเปลี่ยนคำพูดทันที “ล้อเล่นน่า ไปเถอะ พวกเราไปดูที่ชั้นสองกัน ไปลองดูว่าพอจะทำห้องส่วนตัวได้ไหม?”

“ค่ะ”

ประเด็นที่หลินเซี่ยและเซี่ยไห่พูดถึงนั้นอยู่นอกเหนือความรู้ความเข้าใจของเฉินเจียเหอโดยสิ้นเชิง เขาจึงฟังด้วยความสับสนงุนงง

“ไปกันเถอะ ตามเขาขึ้นไปดู”

เมื่อหลินเซี่ยต้องการขึ้นไป เฉินเจียเหอจึงพยักหน้ารับและทำได้แค่อยู่ข้างหลังพวกเขาขึ้นบันไดไปอย่างมึนงง

ชั้นบนมีห้องซึ่งมีพื้นที่กว้างขวางอย่างยิ่งทั้งหมดสามห้อง

ในพื้นที่ที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาในยุคนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือที่ดิน

อาคารที่เจ้าของคนก่อนสร้างขึ้นมีขนาดกว้างขวางมาก ชั้นบนสามารถรองรับครอบครัวใหญ่ได้ ที่ชั้นล่างนอกเหนือจากห้องเต้นรำแล้วก็มีร้านค้าอยู่ไม่น้อย บริเวณทางเท้าหน้าร้านที่หลินเซี่ยใช้ก็อยู่ใต้ห้องทำงานของเซี่ยไห่พอดิบพอดี

“ห้องพวกนี้คุณทุบกำแพงออกให้เชื่อมกันแล้วแบ่งเป็นห้องใหม่ก็ได้ ห้องส่วนตัวไม่จำเป็นต้องมีขนาดใหญ่ เพียงแค่พอวางอุปกรณ์ต่าง ๆ และโซฟาอีกสองตัวก็พอแล้ว”

หลินเซี่ยหันกลับมา ก่อนจะเสนอขึ้นว่า “หลังแบ่งห้องใหม่ด้วยขนาดราว ๆ นั้นก็จะแบ่งออกมาได้ทั้งหมดหกห้อง คุณจะลองนำร่องดูก่อนก็ได้ค่ะ หากว่าครองใจลูกค้าได้จริง ค่อยขยายเพิ่มในภายหลัง”

เซี่ยไห่ได้รับคำย้ำเตือนจากหลินเซี่ย ในใจของเขาก็อยู่ไม่สุขพร้อมที่จะลงมือทำเสียแล้ว

เขากล่าวว่า

“ฉันจะโทรหาเพื่อนที่อยู่เมืองเซินเฉิงเพื่อขอให้พวกเขาช่วยไปสำรวจดูคาราโอเกะจริง ๆ ของที่นั่นก่อน และในอีกไม่กี่วันข้างหน้าจะไปดูด้วยตัวเอง หากดูแล้วว่าเป็นไปได้ค่อยกลับมาทำอีกครั้ง”

ไม่ว่าคุณจะอยู่ในธุรกิจใดก็ตาม การศึกษาจากสถานที่จริงถือเป็นสิ่งสำคัญ

เมื่อพูดถึงการไปศึกษาจากสถานที่จริง เซี่ยไห่ก็หันมองไปยังหลินเซี่ยด้วยความประหลาดใจ ก่อนเอ่ยถาม

“หลินเซี่ย คาราโอเกะอะไรนี่ไม่มีอยู่ในเมืองไห่เฉิง แล้วสาวน้อยอย่างเธอไปเห็นมันมาจากไหน?”

เฉินเจียเหอเองก็มองอย่างพิจารณาด้วยเช่นกัน

รอคำตอบจากปากของเธอ

ดวงตาของหลินเซี่ยสั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นจึงปริปากอธิบายด้วยน้ำเสียงสงบ

“ในโทรทัศน์ไงคะ ในหนังกับละครจากฮ่องกงมีให้เห็นกันออกจะบ่อย? ในนั้นมีของแปลกใหม่หลายอย่างที่ทางฝั่งเราไม่มี ฉันค่อนข้างที่ชอบที่จะเรียนรู้ จึงจำได้ แถมวันนี้ฉันได้เห็นห้องเต้นรำของคุณแล้วนึกขึ้นมาได้เลยแนะนำขึ้นมาเรื่อยเปื่อยเท่านั้น”

เซี่ยไห่มองดูใบหน้าที่อ่อนเยาว์ขาวใสของเธอซึ่งขัดกับวัยที่สุขุมมั่นคง ก็ไปด้วยความชื่นชม “เธอนี่เป็นอัจฉริยะจริง ๆ เพียงแค่พูดขึ้นมาเรื่อยเปื่อยยังทำให้ฉันคว้าโอกาสทองในการทำธุรกิจใหญ่นี้เอาไว้ได้”

หลินเซี่ยระบายยิ้มแล้วเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นหากคุณทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำเมื่อไหร่ก็อย่าลืมฉันแล้วกันค่ะ และถ้าในอนาคต ฉันต้องการความช่วยเหลือจากคุณในเรื่องธุรกิจ คุณก็ต้องตอบแทนฉันด้วย”

ในยุคที่พิเศษเช่นนี้ เซี่ยไห่ที่ยอมทิ้งชามข้าวเหล็กเพื่อคว้าโอกาสลงทะเลไปร่อนทองนับว่ากล้าหาญเด็ดเดี่ยวมาก เธอต้องการเพื่อนแบบนี้จริง ๆ

เมื่อร้านเสริมสวยดำเนินไปในทิศทางที่ถูกที่ควร เธอวางแผนจะเดินทางไปยังเมืองเซินเฉิงเพื่อสำรวจไปรอบ ๆ และทำงานร่วมกับโรงงานผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่นั่นเพื่อเพิ่มความยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งให้กับกิจการร้านเสริมสวยของตัวเอง

เซี่ยไห่รีบเอ่ยตอบ “ไม่มีปัญหา เราสองคนนับว่ามีวาสนาต่อกัน ในอนาคตเมื่อทำเงินได้ ฉันจะดึงเธอเข้ามาร่วมเป็นหุ้นส่วนด้วย”

ยิ่งเซี่ยไห่มองหลินเซี่ยมากเท่าไร เขาก็ยิ่งชอบเธอมากขึ้นเท่านั้น

เธอหน้าตาเหมือนพี่สาวของเขา ทั้งยังเฉลียวฉลาดไม่น้อยไปกว่าดาราดังผู้โอหังอวดดีในครอบครัวของเขา

หลินเซี่ยสังเกตเห็นว่าเวลาที่เธอพูดคุยกับเซี่ยไห่ เฉินเจียเหอไม่ได้เข้ามาแทรกแซง เพียงยืนดูเธออย่างเงียบ ๆ จนเธอกลัวว่าตนเองจะเปิดเผยข้อมูลต่อหน้าเฉินเจียเหอมากเกินไป ทั้งยังเกรงว่าหากเธออยู่ใกล้เซี่ยไห่จนเกินไปจะทำให้เขาหึงหวง

หญิงสาวจึงคว้าแขนของเฉินเจียเหอและจ้องมองเขา “ไปกันเถอะค่ะ ได้เวลาไปรับหู่จือแล้ว”

“ครับ”

พวกเขาทั้งสองลงบันไดไปยังชั้นล่าง เฉินเจียเหอชำเลืองมองเธอตลอดโดยไม่ละสายตา

หลินเซี่ยกระแอมเบา ๆ ก่อนเอ่ยถามเขาตามใจนึก “มองอะไรคะ?”

“มองที่รัก” เสียงของเขาทุ้มต่ำน่าฟัง “ผมได้แต่งงานกับที่รักแล้ว”

หลินเซี่ย “…”

มันเป็นคำหวานแสนเชยสุดเลี่ยนอยู่นิดหน่อย แต่ก็เสนาะหูดี

เมื่อเดินไปตามถนน เฉินเจียเหอจับมือของเธอเอาไว้โดยไม่สนใจสายตาของผู้คนที่สัญจรไปมา

หลินเซี่ยเองก็ไม่ได้คลายมือออก พวกเขามุ่งหน้าไปยังโรงเรียนอนุบาลโดยที่จับมือกันไว้แบบนั้น

แม้มีบางครั้งคราวที่ผู้สัญจรผ่านไปมาจะมีสีหน้าตื่นตะลึงและมองตามพวกเขา

ทว่าทั้งคู่ไม่ได้สนใจ พวกเขาเดินจับมือกันอย่างเป็นธรรมชาติ

คนงานบางคนที่รู้จักเฉินเจียเหอขี่จักรยานผ่านมาก็ผิวปากให้พวกเขา เฉินเจียเหอมองไปยังอีกฝ่ายแต่ไม่เคยปล่อยมือจากเธอเลย

เมื่อไปถึงทางเข้าโรงเรียนอนุบาล มีผู้ปกครองบางส่วนมารออยู่ก่อนเลิกเรียน ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุและสตรี

หลินเซี่ยกลัวว่าคนเฒ่าคนแก่เห็นพวกเขาแล้วจะเอาไปวิพากษ์วิจารณ์ว่าไปทำลายค่านิยมของสังคม ด้วยเหตุนี้เธอจึงดึงมือกลับมา

เฉินเจียเหอมีคนที่รู้จักเข้ามาทักทายพูดคุยกับเขา

เขาถือโอกาสนำลูกอมงานแต่งจากในกระเป๋าออกมาแจกจ่ายให้ทุกคน

ในทันใดนั้นเอง แม่ของตงตงก็แสดงท่าทางดุดันโกรธจัดออกมา

เหตุผลที่บอกว่าหล่อนแสดงท่าทางดุดันโกรธจัดก็เพราะร่างกายอันแข็งแรงและสูงใหญ่ของหล่อนที่กำลังเดินมาพร้อมกับกลิ่นอายของอำนาจ

ทันทีที่เข้ามาก็เห็นหลินเซี่ยยืนอยู่ที่นั่น ประกอบกับครั้งก่อนหล่อนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เมื่อพบหน้าศัตรู ความอิจฉาตาร้อนก็ปะทุขึ้นมาเต็มล้น ในขณะที่กำลังจะเข้ามาคิดบัญชีนั่นเอง สายตาก็ดันเหลือบไปเห็นเฉินเจียเหอกำลังพูดคุยกับชายชราคนหนึ่ง

ใบหน้าอ้วนกลมที่ดูดุดันพลันกระตุกเปลี่ยนผันเป็นใบหน้าที่โศกเศร้าในเสี้ยววินาที โดยไม่รู้วิธีใด หล่อนได้พยายามบีบน้ำตาออกมาสองหยด จากนั้นก็พุ่งเข้าไปหาเฉินเจียเหอ ร้องขอความยุติธรรมด้วยน้ำเสียงสะอื้น “พ่อหู่จือ คุณต้องจัดการเรื่องนี้ให้ฉันนะ”

เฉินเจียเหอ “???”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เสนอความคิดชี้ช่องรวยให้เถ้าแก่เซี่ยไปอีก

อะไรของยัยป้าหมูตอนนี่ มาอ่อยอะไรพี่เหอ หัดดูสภาพตัวเองก่อนเถอะ

ไหหม่า(海馬)