เหยาเฉามองไปทางหลินเหราแวบหนึ่ง ด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยอยากจะพูดนัก แต่ด้วยการเร่งเร้าของทุกคน ทำให้จำต้องพูดออกมา “ความคิดประหลาดนี้เป็นความคิดของอาเหราเช่นกัน …. เราสามารถ…แค่ก…แต่งกายจากบุรุษเป็นสตรีได้”
ดวงตาของทุกคนเบิกกว้างจนแทบจะถลนออกมา นอกจากผู้ตรวจการที่ยังมีสีหน้าครุ่นคิด คนอื่น ๆ ต่างก็เริ่มทยอยยื้อแย่งกันพูด โถงประชุมแห่งนี้จึงเกิดเสียงดังเซ็งแซ่ในทันที
“แต่งจากบุรุษเป็นสตรีหรือ?! ขอโทษนะ สิ่งที่พวกเจ้าคิด ก็คือความคิดที่ประหลาดนี้น่ะหรือ ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!”
“สู้หาสตรีที่เก่งในศิลปะต่อสู้ และปกป้องตัวเองได้เสียจะดีกว่า หากถูกจับได้จะไม่กลายเป็นเรื่องขบขันงั้นหรือ?”
“ใช่! อีกอย่าง โจรภูเขาก็ไม่ได้ตาบอด… สภาพเช่นนี้ของพี่ใหญ่เจิ้งอัน ให้แต่งตัวเป็นสตรี…อย่าว่าแต่จะให้ข้าจับกลับไปเป็นฮูหยินเลย ต่อให้ใช้มีดตัดคอข้า ข้าก็ไม่มองให้เสียลูกตาเป็นแน่!”
ทุกคนหัวเราะฮา ๆ ออกมา จากนั้นก็พากันส่ายหน้า ผู้ตรวจการจึงได้เอ่ยปากขึ้น “ถูกต้อง แต่งจากบุรุษเป็นสตรีเป็นเรื่องยากเกินไป เว้นเสียแต่ว่า…”
เขามองไปทางเหยาเฉา ก่อนจะหยุดชะงักไปเล็กน้อย
เวลาที่หยุดชะงักไปเพียงไม่นานนี้ สายตาของทุกคนต่างจับจ้องมาที่เหยาเฉาเป็นตาเดียว
ทุกคนในโถงประชุมแห่งนี้มีร่างกายสูงชะลูดแปดฉื่อ[1] แข็งแกร่งกำยำ แม้แต่คนรูปร่างที่ค่อนข้างสูงโปร่งและได้สัดส่วนอย่างหลินเหราก็คงได้เป็นหงส์ในหมู่กา
เหลือแต่เพียงเหยาเฉาผู้เดียว แม้จะบอกว่าความสามารถในการยิงธนูและขี่ม้าจะไม่ด้อยไปกว่าผู้อื่น แต่ก็เป็นผู้ที่ไม่สะดุดตานัก ทุกคนต่างรู้สึกว่าเขานั้นดูผอมบางอ้อนแอ้นคล้ายกับบัณฑิตอย่างไรอย่างนั้น
หากพินิจมองอย่างละเอียดแล้ว อวัยวะทั้งห้าบนใบหน้าของเหยาเฉานั้นงดงามมากทีเดียว…
ผู้ตรวจการกระแอมไอเบา ๆ โดยไม่ได้กล่าวสิ่งใด เจิ้งอันที่ปากเร็วใจถึงมาโดยตลอดก็ได้โพล่งขึ้น “เว้นเสียแต่ว่า… เว้นเสียแต่ว่าพี่รองเหยา พี่รองเหยา… พรวด! จะเอาแบบนี้หรือ? พี่รองเหยาจะแต่งกายเป็นหญิงได้รึ? อ่า ฮ่า ๆ ๆ พี่รองเหยาต้องสวมกระโปรงสีอ่อน ประดับด้วยไข่มุกและเพชรนิลจินดาเต็มศีรษะด้วยน่ะรึ? โอ๊ย สวรรค์!”
ทุกคนพากันตะลึงงัน ในสมองพลันปรากฏภาพของเหยาเฉาที่กำลังกรีดกรายด้วยกิริยางดงาม แต่งกายด้วยกระโปรงยาวสีอ่อน จึงพากันกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ แม้แต่จางเหยียนที่แสดงความรู้สึกไม่ค่อยเก่ง และหลี่หยางที่ไม่เห็นด้วยกับทุกคน ก็พากันหลุดหัวเราะอย่างอดกลั้นไม่ได้
เสียงโวยวายและเสียงหัวเราะที่ดังขึ้นในชั่วขณะนั้นสะเทือนเลือนลั่นจนเกือบทะลุหลังคาทีเดียว
เหยาเฉาแสดงท่าทางอึดอัดใจออกมาทางสีหน้า ดวงตาดอกท้อที่ฉายแววโหดเหี้ยมคู่นั้นจ้องเขม็งไปทางหลินเหรา
หลินเหราคล้อยตามบรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานในห้อง จนอดคิดภาพของเหยาเฉาที่แต่งกายเป็นสตรีไม่ได้ กอปรกับดวงตาดอกท้อของเขาและเหยาซูที่คล้ายคลึงกัน เหมือนกับขุ่นเคืองและไม่พอใจ…
คิ้วของเขาเลิกสูงขึ้น และพูดอย่างจริงจังว่า “หากพี่รองแต่งกายเป็นสตรี โจรที่ไร้ซึ่งความรู้เหล่านั้น จะต้องไม่ปล่อยเขาไปเป็นแน่”
หลินเหราแสดงท่าทางเคร่งขรึมมาตลอด คำพูดของเขาไม่ใช่การหยอกล้อ แต่เป็นการครุ่นคิดอยู่ในใจ เหยาเฉาคือคนที่แต่งหญิงได้อย่างเหมาะสมที่สุดในบรรดาพวกเขา
แม้แต่ผู้ตรวจการก็ยังแย้มยิ้มอย่างพอใจ มองพิจารณาเหยาเฉาอย่างจริงจัง พลางพยักหน้า “อาเหยารูปร่างผอมบาง ย่อมใส่กระโปรงยาวได้ เพียงแต่สูงกว่าปกติเล็กน้อย…”
หลินเหราพยักหน้าเห็นด้วย “งั้นตกลงตามนี้ เราจะสร้างขบวนรับตัวเจ้าสาว ส่วนพี่รองก็นั่งคลุมหน้าอยู่บนเกี้ยว”
“เยี่ยมไปเลย!” เจิ้งอันใช้หมัดข้างซ้ายทุบลงบนหมัดข้างขวาอย่างหนักหน่วง ส่วนปากนั้นฉีกยิ้มมาถึงใบหู ก่อนจะพูดด้วยความตื่นเต้นว่า “เจ้าสาวไม่ต้องลงจากเกี้ยว! ก็มีโจรภูเขามาเปิดผ้าคลุมให้ถึงที่ แค่เห็นใบหน้าที่งดงามปานล่มเมืองของพี่รองเหยา….”
ทุกคนต่างพากันหัวเราะเกรียวกราว
ทหารที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเจิ้งอันได้โค้งตัว มือข้างหนึ่งพาดบนไหล่ของเขา และหัวเราะพลางพูดว่า “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ใบหน้าที่งดงามปานล่มเมืองของพี่รองเหยาหรือ? เจิ้งอัน เจ้าช่างหาญกล้าไม่น้อย… อยากโดนพี่รองใช้วิชาฟันดาบฟาดฟันจนกลายเป็นไอ้โง่ใช่หรือไม่เล่า?”
ข้างกายยังมีคนตามพูดเสริมอีกว่า “พี่รองเหยา ท่านให้อภัยเจิ้งอันเถอะ ฮ่า ๆ ๆ ‘เจ้าสาว’ ลงไม้ลงมือไม่ดีนะ ข้าช่วยท่านจัดการเขาก็ได้!”
เหยาเฉาเหนื่อยใจจนพูดไม่ออก ตอนนี้ใบหน้างดงามที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะได้กำหนดชะตาตัวเองให้คล้ายกับคนที่ไม่สมหวังในความรักไปเสียแล้ว
ในตอนที่หลินเหราเสนอความคิดให้แต่งหญิงนั้น ในใจของเขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่สู้ดีเท่าไรนัก จึงพยายามคิดหาวิธีอื่นอย่างถึงที่สุด
แต่หลังจากคิดกลับไปกลับมาหลายตลบ สุดท้ายวิธีการส่งตัวไปแต่งงานนี้ก็ดูสมเหตุสมผลที่สุด เขาจึงต้องฝืนใจยอมรับ
จางเหยียนที่ค่อนข้างเงียบขรึมลอบแย้มยิ้มที่ยากจะปิดปังได้ และพูดชื่นชมอย่างจริงจังว่า “หากพี่รองเหยานั่งเป็นเจ้าสาวอยู่บนเกี้ยว ผู้บัญชาการหลินต้องขี่ม้าขาว เป็นเจ้าบ่าวสวมชุดแดง เราทุกคนจะแต่งเป็นคนแบกเกี้ยวส่งตัวเจ้าสาว…”
“ใช่ ใช่ ใช่! เช่นนั้นสินเดิมฝ่ายเจ้าสาวจะไม่ต้องใช้สิบแปดชิ้นขึ้นเลยหรือ? พี่รองเหยาของเราออกเรือนทั้งที เหล่าพี่น้องจะต้องแห่กันมาเป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน!”
เหยาเฉาอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป พลิกมือข้างหนึ่ง พัดที่ใช้เป็นเครื่องประดับในมือมาโดยตลอดด้ามหนึ่งก็เคาะไปบนศีรษะแวววาวของชายหนุ่มจนเกิดเสียง ‘โป๊ก’
“ไอหยา! พี่รองเหยา ท่านเบา ๆ หน่อยก็ได้!”
เหยาเฉายกมือขึ้นอีกครั้ง เมื่อเห็นคนผู้นั้นยังคงพึมพำ เขาก็ลงมือเคาะหัวเป็นครั้งที่สอง
อย่ามองว่าเขาดูอ่อนแอเชียว กำลังมือนั้นกลับมีพละกำลังไม่น้อย พัดที่เคาะลงไปถึงสองครั้งนี้ ทำให้หน้าผากของชายหนุ่มแดงเป็นแถบหนึ่ง
“ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว พี่รอง ข้าผิดไปแล้ว! ข้าจะหุบปาก! ตระกูลเก่าแก่ของท่านฝีมือเก่งกาจทั้งนั้น!”
ทุกคนพากันหัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งยังตอบประเด็นสนทนาของผู้ตรวจการด้วยการเล่ารายละเอียดของแผนการ “อาเหยา ความคิดนี้ไม่เลวเลย แต่หากสำเร็จ ยังต้องรบกวนให้ทุกคนคิดหน้าคิดหลังอีกสักรอบ ทางที่ดีควรปิดประตูจวนตรวจการเพื่อฝึกซ้อม ถึงตอนนั้นจะได้หลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดด้วย”
เมื่อพูดถึงประเด็นนี้ บรรยากาศในห้องประชุมกลับค่อย ๆ เย็นยะเยือกลง ทุกคนเริ่มคิดเรื่องไม่คาดฝันและเรื่องราวต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างจริงจัง
เจิ้งอันหยุดหัวเราะ และเริ่มเอ่ยถึงปัญหา “เรื่องนี้จะให้เล็ดลอดออกไปไม่ได้เด็ดขาด ยิ่งปรารถนาจะโจมตีที่อยู่ของเฮ่ยหู่และไป๋หู่ทั้งสองกลุ่มแล้ว ความเอิกเกริกย่อมมีไม่น้อย ยิ่งคนให้ความสนใจมาก ถึงตอนนั้นก็ยิ่งง่ายต่อการเกิดข้อผิดพลาด….”
ทหารที่สามารถปรับตัวเข้ากับทุกสถานการณ์ได้พูดขึ้น “พี่ใหญ่เจิ้งกลัวว่าในเมืองจะมีสายสืบของพวกโจรใช่หรือไม่? เช่นนั้นเราก็ต้องออกเดินทางกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง จากทิศตะวันตกของเมืองชิงถงไปยังทิศตะวันออก ผ่านในเมืองโดยไม่เข้าประตู เช่นนี้จะไม่ใช่ขบวนแห่เจ้าสาวจากทิศตะวันตกได้อย่างไร?”
“น้องจางพูดก็มีเหตุผล เพียงแต่ผ้าคลุมใบหน้าของเจ้าสาว เรื่องนี้…”
“ไอหยา! เรื่องนี้เรื่องเล็ก น้องสาวของข้าเพิ่งจะแต่งงาน ชุดแต่งงานในตอนนั้นค่อนข้างใหญ่ ไม่มีส่วนไหนบนร่างกาย… ที่พี่รองเหยาต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลง! แม้แต่การแต่งหน้าของเจ้าสาว ก็ยังสามารถให้น้องสาวของข้ามาช่วยแต่งได้!”
เมื่อเหยาเฉาได้ยินความคิดมากมายของพวกเขา กลับรู้สึกคล้อยตาม ทว่าการต้องแต่งหน้าเจ้าสาวให้ตนเองนั้น ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยอมรับไม่ได้
พัดที่อยู่ในมือชายหนุ่มรูปงามได้ยกขึ้นและวางลงอีกครั้ง เคาะศีรษะของพวกเขาทีละคนอย่างอดใจไม่ไหว ก่อนจะปฏิเสธอย่างเด็ดขาดว่า “เสื้อผ้าและเครื่องประดับไม่ต้องถึงมือพวกเจ้าหรอก! แต่งหน้าก็ไม่จำเป็น ข้ามีทางออกของข้าเอง”
เมื่อเห็น ‘อาวุธสังหาร’ ที่เหยาเฉาถืออยู่ในมือ ทุกคนก็ไม่กล้าที่จะหยอกล้อเกินไปอีก เพียงแค่เอ่ยรายละเอียดอื่น ๆ เท่านั้น
รอจนกระทั่งดวงอาทิตย์อัสดง ภายในโถงประชุมก็จุดไฟสว่างจ้า พวกเขาเพิ่งจะปรึกษาหารือถึงแผนการในช่วงแรก ผู้ตรวจการกลับขอตัวแยกย้าย ขณะที่ทุกคนยังไม่มีทีท่าว่าจะเสร็จสิ้น
เหล่าทหารประจำจวนต่างเดินออกจากโถงประชุม เจิ้งอันหรี่ตาลง พร้อมกับยื่นหน้าไปตรงหน้าของเหยาเฉา พลางถือโอกาสพูดขึ้นว่า “เพื่อภารกิจอันยิ่งใหญ่ ต้องลำบากพี่รองเหยาเสียสละตนแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”
พูดจบเขาก็วิ่งหายไปทันควัน เหลือเพียงเหยาเฉาที่ถือพัดในมือด้วยสีหน้าหดหู่ใจ
หลินเหราเดินมาข้างกายของเขา พลางกระแอมไออย่างแผ่วเบา อดกลั้นความขบขันในน้ำเสียง“พี่รองวันนี้จะว่าอย่างไรดี? กลับบ้านก่อนหรืออย่างไร?”
แต่ก่อนหากท้องฟ้ามืดค่ำเช่นนี้ เหยาเฉาจะต้องนอนที่จวนตรวจการแล้ว แต่วันนี้เขาไม่มีกะจิตกะใจจริง ๆ จึงพูดขึ้น “ข้าจะกลับบ้าน!”
หลินเหราพยักหน้า เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เหยาเฉาขุ่นเคือง จึงไม่ได้เอ่ยเรื่องแต่งหญิงอีกต่อไป
[1] ฉื่อ 尺 (chǐ) หน่วยวัดความยาว ฟุต, ไม้บรรทัด
สารจากผู้แปล
สงสารพี่รองเหยา เกิดมามีใบหน้างดงามดึงดูดทั้งชายทั้งหญิงก็ลำบากแบบนี้ล่ะนะคะ
ไหหม่า(海馬)