บทที่ 179 ตำแหน่งฮ่องเต้นี้ยกให้พวกเจ้าดีหรือไม่

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 179 ตำแหน่งฮ่องเต้นี้ยกให้พวกเจ้าดีหรือไม่?

บทที่ 179 ตำแหน่งฮ่องเต้นี้ยกให้พวกเจ้าดีหรือไม่?

“เซียวเหยาอ๋อง นี่ท่านจงใจหาเรื่องข้าโดยไร้เหตุผลสิ้นดี เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้จะถูกบัญญัติในกฎมณเฑียรบาลได้อย่างไร การพระราชทานพระอิสริยยศให้แก่องค์หญิงที่อภิเษกสมรสออกไปแล้วนั้นเป็นธรรมเนียมที่ทุกคนต่างก็เห็นชอบมิใช่หรือ?”

ทันใดนั้น คนผู้หนึ่งก็เอ่ยถามขึ้นมา “องค์ชายใหญ่ องค์ชายสามคิดเห็นประการใดพ่ะย่ะค่ะ?”

หนานกงฉีซิวเผชิญหน้ากับการขยิบตาจากขุนนางอย่างใจเย็น

“แม้เป็นกฎมณเฑียรบาล แต่หากไม่เหมาะสมก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เรื่องที่ว่าองค์หญิงจะได้รับพระอิสริยยศก็ต่อเมื่ออภิเษกสมรสแล้วนั้น มันเป็นเพียงธรรมเนียมที่ปฏิบัติต่อ ๆ กันมา แล้วเหตุใดองค์หญิงในวัยสามขวบจึงไม่สมควรได้รับพระอิสริยยศ?”

หนานกงฉีอวิ๋นไม่พอใจเป็นอย่างมากที่มีคนพูดถึงน้องสาวของตนเช่นนั้น “ความดีความชอบนี้เป็นน้องหญิงของข้าที่สร้างมันมาด้วยมือตนเอง แล้วพวกท่านเล่า วัน ๆ ทำสิ่งใดกันบ้าง?”

เหล่าเสนาบดีที่คัดค้านทั้งหลาย “…”

องค์ชายพวกนี้พึ่งพาไม่ได้เลย องค์หญิงน้อยนางเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของพวกท่านหรือก็ไม่ ไยพวกท่านต้องยื่นมือเข้ามาปกป้องนางด้วย!

หนานกงหลี “ข้าว่าพวกท่านกินหูหลัวปัวดองแล้วยังกลัวท้องเสีย*[1] หลานสาวตัวน้อยของข้าเป็นองค์หญิงเพียงหนึ่งเดียวในวังหลวง ฝ่าบาทจะพระราชทานสิ่งใดให้พระธิดาที่ตนโปรดปรานก็ยังต้องถามความเห็นจากพวกเจ้าก่อนอย่างนั้นหรือ พวกท่านจะหน้าใหญ่*[2]เกินไปแล้ว”

“กฎย่อมต้องเป็นกฎไม่อาจละเลยได้ หากไม่สนใจกฎเกณฑ์ บ้านเมืองมีแต่จะเกิดการโกลาหล!”

“ผู้ใดกล่าว? เมื่อครั้งบรรพบุรุษตระกูลหนานกงของเราพิชิตดินแดนปกครองอาณาจักร ตอนนั้นก็ยังไม่มีการสอบจอหงวน ต่อมาจึงได้ยกเลิกการส่งต่อตำแหน่งทางสายเลือด และเปลี่ยนเป็นการสอบจอหงวนแทน เจ้ากล้าพูดว่าการสอบจอหงวนไม่ดีหรือไม่?”

“เรื่องนี้จะเปรียบกับการสอบจอหงวนได้อย่างไรกัน…”

การถกเถียงไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุด หนานกงสือเยวียนจึงโบกมือเพื่อหยุดคนทั้งสองฝ่าย

สีหน้าเขายังสงบนิ่ง ทว่าน้ำเสียงนั้นเย็นเยียบยิ่ง “ตำแหน่งฮ่องเต้นี้ยกให้พวกเจ้าดีหรือไม่?”

“ฝ่าบาทโปรดประทานอภัย!”

เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ต่างตกใจกลัวเมื่อได้ยินประโยคนั้นจากปากเขา รีบรุดคุกเข่าลงบนพื้น

หนานกงสือเยวียนทอดมองเหล่าขุนนางเบื้องหน้าด้วยแววตาเย้ยหยัน “ในเมื่อไม่กล้า ก็อย่ามาสอนข้าว่าต้องทำอย่างไร”

ความเงียบงันเข้าปกคลุมทั้งท้องพระโรง

ฝูไห่ก้าวออกมาในเวลาที่เหมาะสม “ยังมีสิ่งใดจะกล่าวก็รีบกล่าวออกมา หากไม่มีแล้ว เช่นนั้นก็หยุดการประชุมแต่เพียงเท่านี้”

หนานกงสือเยวียน “แยกย้าย”

พูดจบเขาก็เดินออกไปทันที

หนานกงหลีเหยียดกายหลังตรง จัดระเบียบเสื้อผ้าให้เรียบร้อย “ข้าว่าพวกท่านอย่าหาเรื่องใส่ตัวเลย แม้กรมพิธีการจะมีหน้าที่คอยดูแลเรื่องกฎเกณฑ์พิธีการ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องมาดูแลเรื่องในครอบครัวของฝ่าบาท แผ่นดินนี้เป็นของเสด็จพี่ ที่เขาตรากตรำทำงานหนักอยู่ทุกวันก็เพื่อพระธิดาอันเป็นที่รัก ไยพวกท่านต้องเป็นเดือดเป็นร้อนด้วย?”

“เซียวเหยาอ๋องไม่เห็นกฎเกณฑ์อยู่ในสายตาบ้างเลยหรือ?”

หนานกงหลียิ้มเยาะ “หากเอาแต่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่พวกท่านกล่าวถึง ป่านนี้ตัวข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร”

สิ้นคำ เขาก็เดินจากไปอย่างสง่าผ่าเผย เหล่าเสนาบดีเฒ่าต่างรู้ดีว่าเขาหมายความว่าอย่างไร คนทั้งหลายหน้าเสียไม่ต่างกัน

เพราะฮ่องเต้ผู้นี้ไม่เพียงไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์หรือขนบธรรมเนียมเท่านั้น แต่ยังสังหารบิดาและน้องชายต่างมารดาเพื่อช่วงชิงบัลลังก์มังกรนี้มาอย่างบ้าเลือด หากผู้ที่นั่งบนบัลลังก์มังกรในยามนี้ไม่ใช่หนานกงสือเยวียน แต่เป็นคนอื่น หนานกงหลีผู้นี้อาจจะถูกสังหารตั้งแต่ต้นหรือถูกทรมานอย่างโหดร้ายทารุณ ไฉนเลยจะยังได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไร้กังวลเช่นนี้

ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนความคิดของฝ่าบาทที่ต้องการแต่งตั้งองค์หญิงเก้าเป็นองค์หญิงเจาเสวี่ยขั้นหนึ่งได้สำเร็จ

ไม่มีองค์ชายแม้แต่คนเดียวที่คิดจะคัดค้าน เป็นที่แน่นอนแล้วว่า องค์หญิงเก้าเป็นที่รักใคร่ของผู้คนในวังมากเพียงใด

จึงเกิดข่าวลือที่ว่าความสำคัญขององค์หญิงนั้นมีมากเสียยิ่งกว่าองค์ชาย

ณ วังหลัง

“สตรีแซ่เซี่ยนั่นตายไปแล้วหรือไร? เหตุใดนางถึงไม่พยายามโน้มน้าวฝ่าบาทให้หยุดการกระทำเช่นนั้น!”

หลี่เซียงอี๋เขวี้ยงถ้วยชาในมือสุดแรง เหล่านางกำนัลที่คอยรับใช้นางถึงกับรีบคุกเข่าลงต่อหน้า ไม่กล้าแม้แต่จะวิ่งหาที่ซ่อน

“หวงกุ้ยเฟย… หวงกุ้ยเฟยยังอยู่ดีเพคะ พระนางกำลังเตรียมงานเลี้ยงให้องค์หญิงเจาเสวี่ยเพคะ”

หลี่เซียงอี๋หน้าตาบิดเบี้ยวมากกว่าเดิม และเริ่มกำผ้าเช็ดหน้าในมือแรงขึ้น

“หน้าไม่อาย! กุ้ยเฟยผู้หนึ่งเอาแต่ประจบประแจงองค์หญิง เห็นทีข่าวคราวที่คนข้างนอกเล่าลือกันว่านางเด็กนั่นปีนขึ้นมาเหยียบหัวเหล่าองค์ชายได้สำเร็จคงจะเป็นความจริง!”

“พระสนม!”

หมัวมัวข้างกายนางอุทานเสียงดังเพื่อหยุดนางด้วยความเหนื่อยใจ

“พระสนม เรากับองค์หญิงไม่เคยมีเรื่องยุ่งเกี่ยวกัน ตอนนี้นางเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท เหตุใดเราต้องยุ่งกับนางถึงเพียงนี้?”

หลี่เซียงอี๋ตวัดสายตาดุร้ายมองหมัวมัว “ไยจะไม่เคย นางเป็นคนยุยงให้องค์ชายรองไปเมืองหน้าด่าน นางทำลายความหวังของข้า แล้วเหตุไฉนถึงเป็นข้าที่ถูกฝ่าบาทหมางเมิน ในขณะที่นางยังเริงร่าเหมือนปลาได้น้ำ!”

หมัวมัวหวาดกลัวท่าทางที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นของหลี่เซียงอี๋จนใจสั่นสะท้าน

นับตั้งแต่ที่องค์ชายรองขัดคำสั่งนางและหลีกหนีจากเมืองหลวงไป อารมณ์ของพระสนมก็แปรปรวนมากขึ้นเรื่อย ๆ บางคราวถึงกับคลุ้มคลั่ง

นางกลัวจริง ๆ ว่าหากพระสนมเกิดเสียสติไปชั่วขณะ และลงมือทำในสิ่งที่ผิดมหันต์ ถึงตอนนั้นนางจะทำอย่างไร คนใกล้ชิดพระสนมอย่างนางคงไม่แคล้วต้องจบชีวิตลงอย่างน่าอนาถเป็นแน่

แม้จะรู้อยู่แก่ใจ แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกนางก็เป็นเพียงบ่าว ไม่กล้าบังอาจเอ่ยปากเตือนผู้เป็นนาย เพราะตอนนี้พระสนมเริ่มเสียสติมากขึ้นเรื่อย ๆ พวกนางไม่มีทางเลือกอื่น หากไม่ระวังพลั้งปากพูดอันใดไม่เข้าหู อาจจะถูกฆ่าตายไปเสียก่อน

องค์หญิงเพียงหนึ่งเดียวในวังหลวง ซ้ำยังเป็นองค์หญิงที่ฝ่าบาททรงรักใคร่โปรดปรานเป็นที่สุดได้รับการอวยยศ ย่อมปล่อยผ่านไปเฉย ๆ โดยไม่มีงานเลี้ยงเลยไม่ได้

ดังนั้น หวงกุ้ยเฟยจึงวางแผนจะจัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ โดยส่วนใหญ่จะเชิญฮูหยินกับบุตรสาวของเหล่าเสนาบดีมาร่วมกินร่วมดื่มและพูดคุยกันหนึ่งวัน

นี่เป็นงานเลี้ยงเล็ก ๆ ที่มีเพียงสตรีเท่านั้น

เนื่องจากวันนี้มีงานเลี้ยง เสี่ยวเป่าจึงใช้เวลาแต่งองค์ทรงเครื่องอยู่นานสองนาน

“เหตุใดชุดของเสี่ยวเป่าถึงได้รุงรังเพียงนี้ ร้อนมากเลย”

เสี่ยวเป่าจับเสื้อผ้าบนตัวพลางยกมือแตะ ๆ เครื่องประดับบนศีรษะ

“เรียบร้อยแล้วหรือไม่?” เจ้าก้อนแป้งเอ่ยปากถามเสียงเนือย ๆ ในขณะที่นั่งใช้มือสองข้างประคองแก้มเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยเนื้อนุ่ม

“ใกล้แล้วเพคะ องค์หญิงอดทนอีกนิดนะเพคะ”

จนกระทั่งทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว คนตัวเล็กก็ปิดปากหาวราวกับพร้อมเข้านอนแล้วอย่างไรอย่างนั้น

“องค์หญิง พวกเราไปหาเซี่ยกุ้ยเฟยกันเถอะเพคะ”

เสี่ยวเป่าตอบรับอย่างว่าง่าย แต่ทันทีที่ก้าวพ้นธรณีประตู นางก็พบเข้ากับท่านพ่อพอดี

ยามนี้เสี่ยวเป่าอยู่ในชุดสีกลีบบัว สวมรองเท้าแสนสวยปักลายดอกไม้เล็ก ๆ พู่บนผมนุ่มพลิ้วไหวไปมา

เสี่ยวเป่าที่แต่งตัวงดงามราวเทพธิดาตัวน้อยตรงเข้าไปหาท่านพ่อทันที

“ท่านพ่อ~”

หนานกงสือเยวียนกางแขนกอดเจ้าก้อนแป้งเนื้อนุ่ม ทันใดนั้นก็ถูกคนตัวเล็กหอมเข้าที่ข้างแก้มอย่างไม่ทันตั้งตัว

“เสี่ยวเป่าคิดถึงท่านพ่อที่สุดเลย”

แก้มป่อง ๆ ของเสี่ยวเป่าแนบลงไปที่ลำคอท่านพ่อ พลางถูไถราวกับเด็กน้อยขี้อ้อน

“ข้าจะพาเจ้าไปส่งให้หวงกุ้ยเฟย”

“ไปกันเลยเพคะ”

ตลอดทาง หนานกงสือเยวียนบุรุษผู้เงียบขรึมกลับกลายเป็นคนช่างพูดขึ้นมาทันที

“ตัวเจ้าเป็นองค์หญิง ไม่มีผู้ใดในงานเลี้ยงสูงศักดิ์ไปกว่าเจ้า ฉะนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องยอมผู้ใด หากถูกรังแกก็ให้ไปหาหวงกุ้ยเฟย ให้นางทวงความเป็นธรรมให้เจ้า หรือไม่ก็กลับมาบอกข้า อย่าเผชิญหน้ากับคนเขลาเพียงลำพัง เจ้ายังเด็กเกินกว่าจะสู้ไหวนัก”

เสี่ยวเป่าตั้งใจฟังผู้เป็นบิดาแล้วพยักหน้า

“เพคะ ๆ เสี่ยวเป่าจำทั้งหมดที่ท่านพ่อกล่าวไว้แล้ว”

หนานกงสือเยวียนส่งนางถึงมือเซี่ยกุ้ยเฟยด้วยตนเองแล้วก็จากไป

“ขอบคุณพระสนม เสี่ยวเป่าต้องรบกวนท่านแล้ว”

เซี่ยชิงหร่านก้มมองคนตัวเล็กด้วยแววตาอ่อนโยนแล้วยกยิ้มหน่อย ๆ ก่อนจะยกมืองามบีบจมูกกระจิริดของนางเบา ๆ

“เด็กดีไม่ต้องประหม่า ในงานเลี้ยงนี้ เจ้าเพียงกิน ดื่ม และเล่นให้สนุก หากพบสหายที่เจ้าพอใจก็ให้พาพวกนางไปเที่ยวเล่นที่ ๆ เจ้าโปรดปราน หากเจ้าไม่ชอบใจก็ไม่ต้องฝืนเล่นกับพวกนางต่อ”

เสี่ยวเป่าพยักหน้า จับมืออีกฝ่ายให้มั่นแล้วตามนางเข้าไปในงานเลี้ยง

[1] กินหูหลัวปัวดองแล้วยังกลัวท้องเสีย หมายถึง คนที่ชอบเข้าไปยุ่งในสิ่งที่ไม่ควรเข้าไปยุ่ง หรือชอบกังวลไปทั่วทั้งที่ไม่ได้เข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริงเลยแม้แต่น้อย ในที่นี้หูหลัวปัวก็คือหัวไชเท้า ซึ่งหัวไชเท้าที่ถูกดองแล้วจะเก็บรักษาได้นาน ไม่เสียง่าย ๆ เพราะฉะนั้นเมื่อกินไปแล้วก็ไม่ต้องกังวลว่าท้องจะเสีย

[2] หน้าใหญ่ หมายถึง ทำการอันใดที่เกินหน้าเกินตา เกินฐานะของตน