ตอนที่ 175 ความสับสนกับความวิตกกังวลที่ไม่เคยมีมาก่อน (2)
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นสองคนนี้ไม่ยอมลุกขึ้นมาสักทีนางก็หยุดยิ้ม มีสีหน้าที่เคร่งขรึม “พวกเจ้าเพิ่งพูดไปว่าข้าคือคุณหนูของพวกเจ้า แค่คำสั่งเดียวพวกเจ้ายังไม่เชื่อฟังเลย เห็นได้ชัดว่า ข้าและพวกเจ้าไม่อะไรเกี่ยวข้องกัน พวกเจ้าออกไปกันเถิด”
พูดจบ ก็สั่งให้หนีจื่อที่อยู่ข้างๆ มาดึงมือพวกนางออก แล้วก็ไล่ให้พวกนางออกไป
ต้องรู้ว่าการถอยคือการเดินหน้าซึ่งมันก็ได้ผล ชูอีและสืออู่ พอได้ยินว่าให้พวกนางรีบไป ก็รู้สึกกระวนกระวายใจ สืออู่รู้ว่าตนเองนั้นโง่เขลา เมื่อถึงช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน นางยังรู้ว่าเมื่อใดควรหยุดดังนั้นนางจึงมองไปที่ชูอี
ชูอีรีบโขกศีรษะอย่างรวดเร็ว “เจ้าค่ะ คุณหนู ครั้งต่อไปบ่าวมิกล้าแล้ว คุณหนูได้โปรดอย่าขับไล่พวกเราออกไปเลยนะเจ้าคะ”
พอพูดจบ ก็ลุกขึ้นยืน สืออู่ก็ทำตามเช่นกัน โขกศีรษะแล้วลุกขึ้นยืน
เห็นว่าทั้งสองยืนขึ้นแล้ว นางจึงสั่งให้หนีจื่อไปชงชามา พาทั้งสองเข้าไปยังห้องโถง แล้วให้นั่งลง
เวลานี้ ทั้งสองไม่ยินยอมจะทำอะไรทั้งนั้น
มั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่อดทนอีกต่อไปแล้ว เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม
สตรีทั้งสองไม่นั่ง นางก็นั่งอยู่หน้าห้องโถงเอง พลางจิบชาไปด้วย
บรรยากาศเงียบมาก มั่วเชียนเสวี่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แน่นอนว่ามีความคิดดีๆ แล้ว นางจิบชาช้าๆ และสั่งให้สตรีทั้งสองเล่าประวัติความเป็นมาของตนเองให้ฟัง
รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง
นางอยากรู้มาโดยตลอดว่าร่างนี้เป็นใครกันแน่ เหตุใดถึงถูกตามฆ่า สุดท้ายแล้วยังมีปัญหาอะไรอีกหรือไม่
ความฝันของเมื่อคืน ยังคงเด่นชัดในความทรงจำของนาง และนางเชื่อว่า นี่คือความทรงจำที่ลึกที่สุดที่อยู่ยังคงฝังอยู่ในร่างนี้
นางไม่ต้องการฐานะที่ร่ำรวยสูงส่งอะไร เพียงแค่อยากรู้ว่าใครกันที่อยากให้นางตาย ชีวิตของนาง นางยังอยากเก็บรักษาเอาไว้ให้ดีเพื่อที่จะได้อยู่เคียงคู่กับหนิงเซ่าชิงไปจนแก่เฒ่า
ปัญหาที่หนิงเซ่าชิงแบกรับอยู่มากเกินพอแล้ว นางไม่อาจเพิ่มปัญหาใหม่ให้แก่เขาได้อีก เป็นมิตรกันดีกว่าเป็นศัตรูกัน หวังว่าจะสามารถกำจัดอันตรายทุกๆ อย่างได้ก่อนที่มันจะลุกลามใหญ่โต
ชูอีและสืออู่ต่างมองหน้ากัน ชูอีก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วเริ่มพูด
น้ำเสียงของนางชัดเจนและไพเราะกินใจ แนวคิดชัดเจน พูดได้เป็นขั้นเป็นตอนชัดถ้อยชัดคำ เป็นสาวใช้ที่มีความสามารถในการจัดการเรื่องต่างๆ ได้ดี
“คุณหนูแซ่มั่วชื่อว่าเชียนเสวี่ย ท่านพ่อของคุณหนูคือนายท่านมั่วเทียนฟ่างเป็นเจิ้นกั๋วกงแห่งราชวงศ์เทียนฉี ส่วนท่านแม่ของท่านมีนามว่าเฟิงชิงอวี๋เป็นบุตรีตระกูลเฟิงซึ่งเป็นตระกูลขุนนางระดับหนึ่ง…” พอฟังชูอีเล่าถึงสถานะในประโยคแรกจบ มั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี
เป็นอย่างที่คิดไว้ เจ้าของร่างนี้กับตนเองมีชื่อแซ่เหมือนกัน ทว่าสถานะพื้นเพที่มาช่างแตกต่างกัน
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้นางฟังแค่เรื่องเดียว ยังไม่รู้เรื่องอื่นอีก
หนิงเซ่าชิงที่อยู่ในห้องรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก
ในตอนที่หนีจื่อเข้ามารายงานมั่วเชียนเสวี่ยว่ามีสาวใช้มาหา ตอนนั้นหนิงเซ่าชิงก็กำลังออกกำลังกายเป็นเพื่อนมั่วเชียนเสวี่ยอยู่พอดี เดิมทีเขาก็อยากจะอยู่เป็นเพื่อนนางต่อ เพียงแต่มั่วเชียนเสวี่ยกล่าวว่านางสามารถจัดการเรื่องนี้เองได้ นางยิ้มแล้วผลักเขาเข้าไปในห้องหนังสือที่อยู่ด้านข้าง
ในตอนนั้นเขาก็คิดว่าหากเขาอยู่ด้วย มันก็จะไม่สะดวก ดังนั้นจึงตามใจนาง เข้าไปในห้องหนังสือ ถึงอย่างไรก็ยังได้ยิน
เขาเคยคิดว่ามั่วเชียนเสวี่ยมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่เคยคิดว่าความเป็นมาจะสูงส่งถึงเพียงนี้
หากนางเป็นเพียงบุตรีของกั๋วกงเท่านั้น ก็คงจะไม่ได้ทำให้เขาตกตะลึงเช่นนี้ ทว่าเบื้องหลังของสถานะนี้ยังซ่อนความลับที่ยิ่งใหญ่เอาไว้อยู่ ทำให้นางเป็นยอดสตรีอันดับหนึ่งในเมืองหลวง
“ท่านกั๋วกงและฮูหยินตระหนักถึงอันตราย สนับสนุนและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ความรักมั่นคงยิ่งกว่าทอง บุรุษผู้อื่นพอได้ตำแหน่งกั๋วกง มีหรือที่จะไม่มีเมียสามเมียสี่ ทว่านายท่านกั๋วกงของพวกเรามีเพียงฮูหยินเพียงคนเดียว”
ชูอีพูดถึงตรงนี้ ใบหน้าก็ดูภาคภูมิใจ มั่วเชียนเสวี่ยก็มีสีหน้าที่แลดูคาดหวังเช่นกัน นึกไม่ถึงเลยว่าบุรุษในยุคโบราณ ก็มีคนที่ยึดมั่นในรักเช่นนี้ด้วย
“ปีนั้นฮูหยินได้รับบาดเจ็บเพราะคลอดคุณหนู หมอบอกว่ามิอาจมีบุตรได้อีก…ฮูหยินโศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก ต้องการหาอนุให้นายท่านกั๋วกง ในเวลานั้นนายท่านเพิ่งกลับมาพร้อมชัยชนะ มีผลงานโดดเด่น ฝ่าบาทจะพระราชทานรางวัลให้นายท่านกั๋วกง จึงได้ถามท่านกั๋วกงว่าต้องการสิ่งใดเป็นรางวัล ท่านกั๋วกงไม่ต้องการสิ่งใดทั้งสิ้น เพียงแต่คุกเข่าต่อหน้าฝ่าบาท ขอพระราชทานอนุญาต ให้มอบทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตนเองให้แก่มั่วเชียนเสวี่ย รวมถึงฐานันดรของเขาในอนาคตก็ต้องเป็นของนางด้วย ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับตระกูลมั่วแม้แต่น้อย สตรีมิอาจมีฐานันดรได้ ก็ให้ลูกของนางสืบฐานันดรต่อไป”
ฟังถึงตรงนี้ มั่วเชียนเสวี่ยก็ตกใจเป็นอย่างมาก สถานะนี้ของนางเยี่ยมยอดไปเลยจริงๆ!
คนทั่วไปล้วนรู้ว่า ตำแหน่งสูงที่สุดที่รองลงมาจากสมาชิกของราชวงศ์ อย่างอ๋องและองค์หญิงก็คือนายท่านกง รองลงมาคือนายท่านโหว นายท่านปั๋ว และสุดท้ายคือนายท่านเจี๋ย
สินเดิมของสตรีคนอื่นๆ แต่สินเดิมของนางจะยังมีตำแหน่งกงพ่วงด้วยอีกหนึ่ง พอบุตรของนางเกิดมาก็ได้สืบทอดบรรดาศักดิ์เลยทันที เพียงรอให้เติบใหญ่ก็ได้เป็นท่านกั๋วกง
อย่างไรก็ตาม ฟังไปฟังมา มั่วเชียนเสวี่ยก็เริ่มไม่มีสมาธิแล้ว ระหว่างที่ตัวโยกไปมานางก็ส่ายหัว แม้ว่าศีรษะจะยังรู้สึกหนักอึ้งอยู่บ้าง เสียงอันชัดเจนและไพเราะของชูอีก็ดังมาอีกครั้ง
“ห้าปีที่แล้ว ฝ่าบาทได้แต่งตั้งเจิ้นกั๋วกงให้เป็นแม่ทัพใหญ่ตะวันตก ปกป้องดูแลชายแดนตะวันตก ฮูหยินกับท่านกั๋วกงไม่เคยต้องห่างกันมาก่อน แน่นอนว่านางก็ย่อมจะติดตามไปด้วย ปีนั้น คุณหนูอายุยังไม่ทันถึงสิบขวบ ฮูหยินจึงไม่วางใจที่จะให้คุณหนูอยู่ในเมืองหลวงเพียงลำพัง ดังนั้นจึงได้ส่งคุณหนูไปยังตระกูลเฟิงของท่านตาเพื่อให้พวกเขาช่วยดูแล เพียงรอให้ได้ชัยชนะกลับมาก็จะไปรับคุณหนูกลับเมืองหลวง…”
ศีรษะของมั่วเชียนเสวี่ยหนักอึ้ง ทั้งยังมึนขึ้นเรื่อยๆ …
“เดือนแปดของปีที่แล้วก่อนที่รายงานผลการรบจะถูกส่งมา ท่านกั๋วกงเสียชีวิตในสนามรบ ฮูหยินตรอมใจตาย คุณหนูไม่ฟังคำแนะนำของนายท่านผู้เฒ่ากับเหล่าฮูหยิน ยืนกรานจะมางานพิธีศพของท่านพ่อท่านแม่ที่เมืองหลวงให้ได้…”
พูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงของชูอีก็สะอื้นไห้ มั่วเชียนเสวี่ยกลับรู้สึกเหมือนสายฟ้าฟาดลงมา จู่ๆ ก็ปวดศีรษะมาก ราวกับวิญญาณจะออกจากร่าง
“หมัวมัวพาบ่าวกับสืออู่ ยังมีต้าเหนียนกับเสี่ยวเหนียน เหล่าองครักษ์ คุ้มครองคุณหนูเดินทางไปเมืองหลวง ทว่าเกิดเหตุไม่คาดฝัน ระหว่างทางกลับพบเจอกับนักฆ่า
ชูอียังคงเล่าต่อ ทว่ามั่วเชียนเสวี่ยกลับปวดศีรษะจนเกินจะทนไหวแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยขัดจังหวะการพูดของชูอี พูดติดๆ ขัดๆ “ไม่ต้องพูดแล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว…”
ในระหว่างที่กำลังตื่นตระหนก นางรีบไปจากห้องโถง นั่งหมอบลงกุมศีรษะอยู่ใต้ต้นไม้ น้ำตาเอ่อนองพลางส่ายศีรษะอย่างควบคุมไม่ได้
“หัวของข้า มันปวดมาก…ปวดเหลือเกิน…” ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้มั่วเชียนเสวี่ยไม่อาจควบคุมตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว ควบคุมร่างกายตนเองไม่ได้
นางปวดศีรษะ ทว่าใจกลับปวดยิ่งกว่า ราวกับว่าคนที่ตายนั้นเป็นพ่อแม่แท้ๆ ของนาง
เหมือนว่านางจะเห็นอีกตัวตนหนึ่งในกายนางที่จู่ๆ ก็โผล่ออกมา ผลึกนางเข้าไปในกาย จากนั้นก็มัดนางเอาไว้ มัดเอาไว้จนนางไร้ซึ่งเรี่ยวแรงใดๆ
นางสูญเสียความสามารถในการควบคุมไปจนสิ้น กลายเป็นเพียงผู้ชม เหมือนอยู่ในความฝัน เป็นเพียงผู้ชมที่ทำอะไรไม่ได้
เพิ่งจะสูญเสียความควบคุมไป ปากก็ส่งเสียงตะโกนแหบแห้งออกมา “ท่านพ่อ…ท่านแม่…” เสียงร่ำไห้คร่ำครวญ โศกเศร้าเสียใจนี้! ทำให้ผู้ที่ได้ยินได้ฟังหลั่งน้ำตา เจ็บปวดรวดร้าวในหัวใจ
“…ลูกอกตัญญู…ท่านพ่อ…ท่านแม่…”
ร่างนั้นยังคงร้องไห้คร่ำครวญถึงพ่อแม่อย่างสะเทือนใจ ทว่าตัวนางเองกลับเหมือนล่องลอยอยู่กลางอากาศ
นางเห็นหนิงเซ่าชิงพุ่งออกมาจากห้อง
นางเห็นเฟิงอวี้เฉินก็พุ่งเข้ามาจากลานด้านนอกเช่นกัน
ร่างนั้นที่นางควบคุมไม่ได้ผลักหนิงเซ่าชิงที่รีบเข้ามาปลอบโยนนางออกไป พลางเงยหน้ามองเฟิงอวี้เฉินที่พุ่งเข้ามา เรียกชื่อเขาเหมือนในฝัน “ท่านพี่…” พร้อมยื่นมือไปหา…
“…”