ตอนที่ 122 การท้าทาย-เจ้าจะมาหรือไม่

อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว

ตอนที่ 122 การท้าทาย-เจ้าจะมาหรือไม่?

หนานหนานเบิกตากว้าง มีอะไรผิดพลาดไปหรือไม่ บุคคลผู้นี้คือฮ่องเต้มิใช่หรือ? เป็นคนฉลาดปราดเปรื่องมากมิใช่หรือ? เหตุใดถึงไม่เข้าใจถึงความปรารถนาดีของเขาล่ะ? เหตุใดถึงไม่เข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดจากสีหน้าของคนอื่นแม้แต่น้อยล่ะ?

หนานหนานทำแก้มป่อง แค่นเสียงหึออกมา “คำพูดเพียงประโยคเดียวไม่สามารถสรุปได้ ฝ่าบาท พวกเรามาคุยหัวข้อที่ค่อนข้างเป็นเชิงลึกกันเถอะ”

เด็กคนนี้ ขี้อวดเก่งจริง ๆ

ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ เห็นด้วยอย่างยิ่ง “จริงสินะ เช่นนั้นเราจะคุยหัวข้อที่เป็นเชิงลึกกับเจ้าก็แล้วกัน เราขอถามเจ้าหน่อย เจ้ามีนามว่าอะไร มาจากที่ใด? พ่อแม่ของเจ้าเป็นใคร? เหตุใดถึงเข้ามาอยู่ในวัง?”

เด็กคนนี้ไม่ใช่บ่าวรับใช้ตัวน้อยภายในวังเป็นแน่

“…” ฮ่องเต้ผู้นี้ไม่น่ารักสักนิด หนานหนานบุ้ยปากพร้อมกับพูดอย่างไม่เต็มใจ “ข้าชื่อว่าอวี้ฉิงหนาน ปีนี้อายุห้าขวบ ข้าออกมาจากท้องของท่านแม่ พ่อแม่ของข้าก็คือท่านพ่อของข้าและท่านแม่ของข้า ข้าเข้ามาในวังโดยไม่ทันได้ระวัง จากนั้นเดินไปเดินมาก็เกิดหลงทาง แล้วก็เดินมาถึงที่นี่และได้รู้จักกับเสี่ยวเฉิงเฉิง”

เย่หลานเฉิงถอนหายใจ ผลลัพธ์เหมือนกับที่เขาถาม ไม่ได้ข้อมูลที่มีประโยชน์อะไรเลย

ฮ่องเต้เลิกพระขนง เด็กคนนี้ฉลาดมาก

“เช่นนั้นเจ้าไม่คิดจะออกจากวังหรือ?” ฮ่องเต้เกิดความสนพระทัย เหลือบมองเย่หลานเฉิงที่กำลังรินน้ำชาให้ตน ทั้งยังทำอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย พระองค์จิบเบา ๆ ก่อนจะหันไปมองหนานหนานอีกครั้ง

“ข้าเคยตัดสินใจไว้อย่างจริงจังแล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่ได้”

“เพราะเหตุใด?”

“เพราะเสี่ยวเฉิงเฉิงที่ข้ารักยังใช้ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากอยู่ที่นี่ ข้ามิอาจทิ้งเขาไว้เพียงลำพังได้”

ฮ่องเต้ถูกคำพูดของเขาสาดใส่จนสะอึก พระพักตร์เจื่อนเล็กน้อย ได้รับความยากลำบาก? แม้ว่าคำพูดนี้จะรุนแรงไปสักหน่อย แต่สำหรับลูกหลานในราชวงศ์คนหนึ่ง สภาพแวดล้อมแห่งนี้ก็ลำบากไปหน่อยจริง ๆ

เย่หลานเฉิงใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ รีบดึงหนานหนานไว้ เอ่ยกระซิบ “อย่าพูดจาเหลวไหล ข้าสบายดี ไม่ได้รับความยากลำบากสักหน่อย”

อีกอย่างเขาก็ไม่ใช่ที่รักด้วย…

หนานหนานออกแรงดึงเสื้อของตัวเองกลับมาอีกครั้ง แค่นเสียงด้วยความโกรธเคือง “ข้าพูดจาเหลวไหลที่ไหนกัน? ข้าวที่เจ้ากินในทุกวันมีแต่หมั่นโถว ผักดองเค็ม หมั่นโถวแล้วก็ผักดองเค็ม ทั้งยังเย็นชืดไปหมด เจ้าดูร่างกายของเจ้าสิว่าผอมกะหร่องก่องขนาดไหน อีกอย่างนะ ในหมั่นโถวนั่นยังมีพิษ…อื้อ ๆๆๆ…”

เย่หลานเฉิงรีบยกมือขึ้นมาปิดปากเขา ไม่ให้เขาอ้าปากพูดอะไรอีก

ทว่าฮ่องเต้ทรงสดับแล้ว สีพระพักตร์จึงเปลี่ยนไปอย่างหนัก ตบโต๊ะตรัสด้วยความโกรธเคือง “เจ้าว่าอะไรนะ ไหนพูดใหม่อีกครั้งสิ”

เย่หลานเฉิงไม่ยอมให้หนานหนานพูดต่อ รีบพูดแก้ต่างว่า “เสด็จปู่อย่าได้ฟังคำพูดเหลวไหลของหนานหนานเลยพ่ะย่ะค่ะ นี่เป็นเรื่องสมมุติทั้งหมด” พูดจบ เขาก็หันไปกระซิบกับหนานหนานอีกครั้ง “หนานหนาน เจ้าห้ามพูดอะไรทั้งนั้น เดี๋ยวคนอื่นก็เข้าใจผิดหรอก”

เรืองนี้จะทำให้เอิกเกริกได้อย่างไรกัน หากเกิดความวุ่นวายใหญ่โต คนที่เกี่ยวข้องก็จะมากไปด้วย คงเกิดความวุ่นวายอย่างมาก

หนานหนานออกแรงจับมือเขา เอ่ยปากด้วยความขุ่นเคือง “เหตุใดถึงไม่ให้ข้าพูด ฮ่องเต้เป็นผู้มีอำนาจมาก ทั้งยังมาหาเจ้าด้วย อารมณ์ดีอีกต่างหาก รู้หรือไม่ว่าตอนนี้นี่แหละเป็นโอกาสดีที่จะร้องทุกข์ เสี่ยวเฉิงเฉิง เจ้านี่มันโง่ชะมัดเลย ต้องรู้จักคว้าโอกาสสิ เข้าใจหรือไม่?”

ฮ่องเต้ยังคงโกรธเคือง เมื่อได้ยินคำพูดของหนานหนาน มุมปากก็กระตุกขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่อีกครั้ง คำพูดเหล่านี้ ยังกล้าพูดต่อหน้าพระองค์อย่างโจ่งแจ้งเช่นนั้นอีกหรือ?

หนานหนานไม่สนใจคิ้วของเย่หลานเฉิงที่ขมวดเข้าหากัน และไม่ได้สนใจมุมพระโอษฐ์ของฮ่องเต้ที่เม้มจนแน่น เขากระโดดลงมาจากเก้าอี้ วิ่งเข้าไปด้านในห้องทันที

เพียงไม่นาน ท่ามกลางสายตาจ้องเขม็งของเย่หลานเฉิง เขาก็ถือกล่องอาหารที่ยังไม่ได้นำไปจัดการออกมา

“ฝ่าบาท ท่านดูสิ ข้าพูดความจริง ข้าไม่เคยกล่าววาจาเท็จมาก่อน ท่านดูสิ นี่คืออาหารที่เสี่ยวเฉิงเฉิงกินทุกวัน ทุกวันเชียวนะ เช้าเที่ยงเย็นเลยเลย อีกอย่างอาหารนี่ก็มีพิษด้วย”

ครั้นกล่าวจบ ยังไม่รอให้เย่หลานเฉิงห้ามปราม เขาก็เปิดกล่องอาหารอย่างรวดเร็วฉับไว

ฮ่องเต้ยื่นพระพักตร์เข้ามามอง ก็พบว่าด้านในนั้นมีหมั่นโถวแข็งกระด้างเย็นจืดชืดสองสามก้อน ทั้งยังมีเครื่องเคียงที่เริ่มกลายเป็นสีเหลืองช้ำ ๆ อาหารพรรค์นี้ กลับนำมาให้พระนัดดาของพระองค์กิน ทั้งยังกินทุกมื้อ มีอย่างที่ไหนกัน

“หลานเฉิง เจ้าพูดมา ความจริงเป็นอย่างที่หนานหนานพูดหรือไม่?”

เย่หลานเฉิงก้มหน้างุด เงียบงันอยู่นาน ก่อนจะหลับตาพยักหน้าอย่างจนปัญญา

“ในหมั่นโถวนี้ มีพิษจริง ๆ หรือ?” สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ถึงกับเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “หลานเฉิง เจ้ามิใช่หมอ เหตุใดเจ้าถึงรู้ว่าในหมั่นโถวมีพิษ?”

เย่หลานเฉิงเม้มปาก หันหน้าไปมองหนานหนาน

อีกฝ่ายก้าวเท้ามาด้านหน้าด้วยจิตใจที่กล้าหาญไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใด พูดอย่างชอบธรรมด้วยท่าทางน่าเกรงขาม “เป็นเพราะข้ากินเข้าไปหนึ่งคำโดยไม่ทันได้ระวัง จากนั้นก็ปวดท้องขึ้นมาในทันที ร่างกายของข้าสุดยอดมาก แค่กินพิษเข้าไปเพียงนิดเดียวก็จะมีปฎิกิริยาตอบสนอง ซึ่งก็คืออาการปวดท้อง”

มุมพระโอษฐ์ฮ่องเต้กระตุกวูบ สุดยอดเช่นนี้เลย เขาคิดว่าการปวดท้องเป็นเรื่องที่มีเกียรติอย่างนั้นหรือ?

ทว่า…กล้าวางพิษใส่หลานชายของพระองค์อยู่ใต้เปลือกพระเนตรของพระองค์ ช่างกล้าหาญเสียเหลือเกิน

ฮ่องเต้แค่นเสียงเย็น ก่อนจะโยนหมั่นโถวกลับเข้าไปในกล่อง “เรื่องนี้เราจะให้คนไปตรวจสอบ หลานเฉิง นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราจะส่งคนมาดูแลเจ้า หลังจากนี้หากได้รับความอยุติธรรมอีก ก็มาหาเรา”

“ขอบพระทัยเสด็จปู่” เย่หลานเฉิงแอบตกตะลึง ทว่าก็ยังทำความเคารพด้วยความนับถือ

หนานหนานพยักหน้า นี่แหละถึงจะถูก เสี่ยวเฉิงเฉิงไม่ต้องลำบากแล้ว

เขาปีนกลับขึ้นไปบนเก้าอี้อีกหน นั่งอยู่ข้าง ๆ ฮ่องเต้ กล่าวด้วยรอยยิ้มตาหยี “ฝ่าบาท ตอนนี้ท่านรู้แล้วสินะว่าเสี่ยวเฉิงเฉิงน่าสงสารมากเพียงใด ท่านดูเถอะ หลังจากรู้ว่าหมั่นโถวมีพิษ เขาก็ไม่กินข้าวอีกเลย ร่างกายถึงได้ผอมซูบเช่นนี้ น่าสงสารใช่หรือไม่?”

เย่หลานเฉิงมองเขาด้วยความประหลาดใจ หนานหนานเริ่มพูดจาไร้สาระแบบไม่ลืมหูลืมตาอีกแล้ว สองวันมานี้ที่เขาได้อยู่กับหนานหนาน เขากลับได้กินอาหารที่ดีที่สุด อุดมไปด้วยอาหารมากที่สุดและมีคุณค่าทางโภชนาการมากที่สุด เหตุใดเมื่อไปอยู่ในปากของเขา…

หากหนานหนานพูดพล่ามโดยไม่รู้จักกาลเทศะเช่นนี้ต่อไป คงได้กลายเป็นรับโทษโทษฐานลบหลู่เบื้องบน

ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ “หลานเฉิงผอมเกินไปจริง ๆ”

“นั่นสิ ๆ อีกอย่างนะ ข้าอยู่กับเสี่ยวเฉิงเฉิงในห้องนี้ ก็ไม่ได้กินอะไรเช่นเดียวกัน ท้องไส้หิ้วหิว ฝ่าบาท เพื่อไม่ให้กระทบต่อพัฒนาการตามปกติของเด็กน้อยทั้งสองคนอย่างพวกเรา ท่านช่วยบอกให้ห้องพระเครื่องต้นทำอาหารอร่อย ๆ ส่งมาให้หน่อยได้หรือไม่?”

อาหารชาววัง อาหารชาววัง ในที่สุดเขาก็จะได้กินอาหารชาววังแล้ว แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว รอหลังจากกินอาหารชาววังเสร็จ เขาก็กลับไปได้แล้ว

ฮ่องเต้ถึงกับชะงัก พระองค์คิดว่าที่หนานหนานพูดก็มีเหตุผล จึงพยักพระพักตร์ หมุนกายเสด็จไปเปิดประตู รับสั่งแก่เหมียวเชียนชิวที่ยืนห่างออกไปให้นำพระกระยาหารมาที่นี่ พระองค์จะเสวยที่นี่เลย

ตอนที่หันกลับมา ก็พบว่าหนานหนานกำลังนั่งน้ำลายไหลแกว่งไปแกว่งมาอยู่บนเก้าอี้ คล้ายกับลูกลิงน้อย

จากนั้นจึงทอดพระเนตรไปทางเย่หลานเฉิงที่อยู่ข้าง ๆ อีกฝ่าย ท่าทางไม่หยิ่งผยองและมีความนิ่งสงบมั่นคง วางตัวได้เป็นอย่างดี

บางทีซิวเอ๋อร์อาจจะพูดถูก พระองค์ควรดูการกระทำของพระนัดดาเหล่านี้ และควรจะให้โอกาสพวกเขา

ระหว่างที่กำลังครุ่นคิด ฮ่องเต้ก็กลับมาประทับลงบนเก้าอี้อีกหน แย้มยิ้มตรัสว่า “หลานเฉิง หลังจากนี้อีกหนึ่งเดือนก็จะเป็นการแข่งขันใหญ่ของสี่อาณาจักรที่จะจัดขึ้นทุก ๆ สามปี ปีนี้จัดขึ้นที่อาณาจักรเฟิงชางของพวกเราพอดี ถึงเวลานั้น เจ้าก็เข้าร่วมด้วยก็แล้วกันนะ”

ครั้นตรัสจบ ก็หันมาทอดพระเนตรหนานหนานปราดหนึ่ง เลิกพระขนงขึ้นตรัสถามว่า “เจ้าอยากมาด้วยกันหรือไม่?”

………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

น้องหลานเฉิงมีชีวิตที่ดีแล้ว​ ต้องขอบคุณหนานหนานเลยค่ะที่เป็นดาวนำโชคให้น้อง

นับว่าหนานหนานทำบุญไว้เยอะนะคะที่แสดงท่าทางแบบนั้นต่อหน้าฮ่องเต้แล้วไม่เป็นอะไร

ไหหม่า(海馬)