บทที่ 149 ต้องขอบคุณคุณแม่ยายของผม

ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ

เสียงกลองเริ่มเร่งจังหวะมากขึ้น และผู้ชายที่ไม่ถึงคิวของตัวเองที่อยู่ข้างล่างเครื่องเล่นแผ่นเสียงรอบๆบริเวณนั้น ก็เริ่มเต้นขยับร่างกายตามเสียงเพลง

ทันใดนั้น บรรยากาศของห้องส่วนตัวนั้นเต็มไปเสียงดนตรีบรรเลงก้องไปทั่วห้อง และเต้นส่ายสะโพกตามจังหวะเพลงอย่างเมามันส์

หลานเล่อซินยืนอยู่บนนั้น สมองของเธอจากที่ว่างเปล่าก็ได้สติคืนกลับมา

เธอเพิ่งตระหนักได้ถึงท่าทางยั่วยวนของเธอในขณะนั้น และตกใจมากเมื่อมองเห็นสือมูเฉิน

แน่นอนว่าในแววตาของเขาแสดงออกมาด้วยสีหน้าที่รังเกียจราวกับว่าเขาเห็นแมลงวันยังไงยังงั้นแหละ หลังจากเหลือบมองไม่กี่ครั้ง เขาถึงกับละสายตาไปอีกทาง สำหรับเขาแล้วยิ่งมองมากเท่าไหร่ก็ยิ่งน่าขยะแขยงมากขึ้นเท่านั้น

หลานเล่อซินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก แต่เธอไม่สามารถควบคุมร่างกายของตัวเองได้เลย

เธอรู้สึกว่าเมื่อร่างกายถูกเสียดสี ยิ่งทำให้อาการคันของเธอเริ่มคันมากขึ้นอีกครั้ง เสื้อผ้าบางเกินกว่าจะต้านทานไหว

ดังนั้นเธอจึงปลดกระดุมเสื้อของเธอโดยไม่รู้ตัว และด้วยการได้รับความช่วยเหลือจากชายคนนั้น เสื้อของเธอจึงถูกถอดออกอย่างง่ายดาย

ชายคนนั้นก็ขยับเข้ามาแนบชิด เธอรู้สึกสดชื่นมากทั้งร่างกายและจิตใจ ดังนั้นเธอจึงเอนหลังพิงหน้าอกของชายคนนั้น และถูแรงๆไปที่หน้าอกชายคนนั้น

ชายคนนั้นเหยียดแขนออกจับไปที่หน้าอกของเธอ ส่วนเขาก็บดเบียดกับจุดความอ่อนไหวส่วนล่างของเธอ

ด้านล่าง ผู้คนที่เหลือก็เต้นกันอย่างเมามันส์ และรอบๆบริเวณนั้นล้วนเป็นสมาชิกของ honor

หลานเล่อซินอยู่ตรงเครื่องเล่นแผ่นเสียง มีกล้องความละเอียดสูงกะพริบแสงอยู่กล้องนั้นได้บันทึกภาพทั้งหมดไว้แล้ว

ดนตรีเริ่มน่าตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่หลานเล่อซินกำลังถูอยู่นั้น ยิ่งถูเธอก็ยิ่งมีความต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ มือของเธอจับเป้าของชายคนนั้น และปล่อยให้เขาใช้แรงลูบไล้ผิวของเธอด้วยฝ่ามือหนาๆ

กระโปรงยาวของเธอถูกถอดออก และในตอนนี้ชุดของเธอก็ไม่ต่างจากชุดบิกินี่

ชายคนนั้นพลิกตัวของเธอคว่ำ รัดเอวของเธอ ลูบไล้ผิวของเธอด้วยขนหน้าอกของเขา เธอมีความสุขในการถูกลูบไล้ครั้งนี้อย่างมาก เธอเหยียดแขนออกและเริ่มที่จะโอบกอดคอของชายคนนั้น และขยับร่างกายของตัวเองแนบชิดกันจนมดยังไต่ผ่านไม่ได้

ชายคนนั้นปลดตะขอเสื้อชั้นในของเธอ และทันทีที่เขาปลดมันออก ความงามบนเรือนร่างก็ถูกเปิดเผยต่อหน้าทุกคน

ผู้ชายที่อยู่ด้านล่างเริ่มผิวปากและมีคนตะโกนเชียร์ว่า: “ถอดกางเกงในด้วย!”

เสียงโห่ร้องเชียร์ในสถานการณ์แบบนี้ ชาวอินเดียที่อยู่ด้านบนก็ไม่ทำให้ผู้คนผิดหวัง เขาถอดจนเรือนร่างของหลานเล่อซินเปลือยเปล่า

เขากดหลานเล่อซินลงบนเครื่องเล่นแผ่นเสียงนั้น แม้ว่าเขาจะไม่ได้ดันมันเข้าไปในตัวเธอ แต่เขาก็ยังคงแนบชิดเรือนร่างของเธอ และเต้นตามจังหวะเสียงดนตรีอย่างต่อเนื่อง

ฤทธิ์ของยาค่อย ๆ หายไป อาการคันก็ลดลง และเสียงเพลงรอบข้างก็มาถึงจุดไคลแม็กซ์ สิ้นเสียงดนตรี

ทุกอย่างจางหายไปเหมือนกระแสน้ำ ในสิ่งที่หลานเล่อซินเห็น ยกเว้นชายที่ทับอยู่บนร่างท่อนบนของเธอที่เปลือยเปล่าแล้ว กางเกงของเขายังคงเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่เธอนั้นกลับมีรอยแดงไปทั่วร่างกาย และในหว่างขาของเธอที่อยู่บนเครื่องเล่นแผ่นเสียงนั้น ยังมีน้ำใส ๆไหลหยดลงมาตรงเครื่องเล่นแผ่นเสียงอีกด้วย !

เธอรู้สึกเพียงว่ามีความตื่นตระหนกตกใจหลั่งไหลไปทั่วร่างกาย หลานเล่อซินก้มลงมองตัวเองด้วยอาการสั่นเทาไปทั้งตัว และในเวลานี้เธอแค่รู้สึกว่านี่คือสิ่งที่น่าอับอายขายขี้หน้าที่สุดในชีวิตของเธอ!

เมื่อกี้นี้เธอทำอะไรลงไป?

ภาพเหล่านั้นดูเหมือนจะชัดเจนแต่ก็ดูห่างไกล ราวกับถูกแยกจากกันด้วยภูเขาหลายพันลูก แต่เธอก็รู้คำตอบได้อย่างชัดเจนว่า นี่คือการกระทำของเธอเองทั้งหมด!

เธอเป็นคนริเริ่มที่จะลูบไล้ชายคนนั้นก่อน และเธอก็ถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกจนทั้งหมด แล้วยังถูกชายคนนั้นทับร่างของเธอและลูบไล้จนเธอกลายเป็นจุดไคลแม็กซ์ไปแล้ว!

อย่างไรก็ตาม เรื่องราวทั้งหมดก็น่ากลัวน้อยกว่าที่สือมูเฉินมาเห็นด้วยตาของเขาเอง!

เธอรู้สึกถึงความหายนะของตัวเองจนถึงขีดสุด!

ศักดิ์ศรีของเธอ ลุคคุณหนูแสนหวานที่เธอพยายามจะรักษาไว้ต่อหน้าสือมูเฉิน ในเวลานี้มันได้พังทลายลงจนหมดสิ้นแล้ว และเธอจะไม่อยู่ในสายเขาอีกต่อไป!

ก่อนหน้านี้เธอสามารถพูดได้ว่าถูกบังคับและตกเป็นเหยื่อ แต่เมื่อกี้นี้ล่ะ?

เมื่อกี้นี้ ไม่ว่าใครก็คิดว่าหล่อนเป็นผู้หญิงร่าน และไม่รู้จักรักตัวเองทั้งนั้นแหละ!

ไม่อย่างนั้นถ้าโดนมอมยาจริงๆ ถ้าหากยังไม่ได้นอนกับผู้ชาย แล้วจะสามารถแก้ไขด้วยตนเองได้อย่างไรกัน?

กล่าวอีกนัยหนึ่ง เธอไม่ได้เป็นอะไร เธอไม่ได้ถูกมอมยา แต่เป็นเพราะตัวของเธอเองที่ไม่สามารถทนต่อการยั่วยวนของผู้ชายได้!

หลานเล่อซินมองไปที่เย่เหลียนอีอย่างตัวสั่นเทา รู้สึกว่าผู้หญิงที่อยู่ใต้แว่นกันแดดนั้นเป็นเหมือนปีศาจที่น่ากลัว

ในเวลานี้ผู้ชมต่างปรบมือพร้อม ๆ กัน และปรบมือเป็นระยะ เย่เหลียนอีแสดงความคิดเห็น: “แสดงได้ยอดเยี่ยมมากจริงๆ ให้รางวัล!”

ทันใดนั้นมีคนนำรางวัลของสองสิ่งมา

รางวัลซิการ์ระดับไฮเอนด์มีไว้สำหรับผู้ชายคนนั้น และจี้มุกที่อยู่บนนั้นมอบให้สำหรับหลานเล่อซิน

หลานเล่อซินหน้าซีดเผือกและนั่งลงบนเครื่องเล่นแผ่นเสียง รู้สึกว่ารางวัลจี้มุกที่อยู่ตรงหน้าเธอนั้นเหมือนเป็นการประชดประชันและน่าอับอายขายขี้หน้าที่สุด!

ริมฝีปากของเธอสั่นเทา เธอพยายามจะอธิบายให้สือมูเฉินฟัง แต่ในท้ายที่สุดเธอทำได้เพียงแค่พูดซ้ำๆว่า: “มูเฉิน มันไม่ใช่อย่างที่คุณเห็น มันไม่ใช่อย่างนั้นจริงๆนะ!”

“เล่อซิน เมื่อกี้นี้เต้นได้ไม่เลวเลยนะ นี่คาดไม่ถึงเลยว่านอกเหนือจากการเป็นนักแสดงแล้วเธอยังมีพรสวรรค์ด้านการเต้นอีกด้วย” ดูเหมือนสือมูเฉินจะไม่ได้เห็นเธออยู่ในสายเลยสักนิด ในสายตาของเขานอกจากความขยะแขยงแล้วก็ยังมีคำชม: “เล่อซิน นี่คุณเป็นหัวหน้างานขนาดเล็กใน Times Group เสียดายความสามารถของคุณจริงๆเลยนะ”

หลานเล่อซินกระตุกมุมปากของเธอ เธอรู้เพียงว่าคุณแม่ของตัวเองและสือมูเฉินนั้นมีความสามารถในด้านการแสดงทั้งคู่

เธออดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปดึงแขนเสื้อของสือมูเฉิน: “มูเฉิน ถ้าเช่นนั้นคุณก็อย่ารบกวนพี่สาวของฉันอีกเลยนะคะ วันหลังแจ้งให้ฝ่ายบุคคลทำเรื่องลาออกให้พี่สาวของฉันด้วยล่ะ!”

“ก็ดีนะ” สือมูเฉินพยักหน้าเห็นด้วย: “พี่สาวคุณจะลาออกด้วยตัวเองก็กลัวว่าผมจะไม่พอใจ ดังนั้นผมจะเป็นคนดำเนินการให้เธอเอง”

“พวกคุณ—” หลานเล่อซินรู้สึกไม่สบอารมณ์ เธอโกรธมากจนอยากจะยืนขึ้น แต่แล้วกลับพบว่าตัวเธอเองนั้นไม่ได้ใส่อะไรเลย

เธอนั่งยองๆ อยู่ตรงนั้น กอดหน้าอกแน่นพยายามจะไปหยิบเสื้อผ้า แต่ด้วยสายตาคนอื่นที่จ้องมองที่เธอ เธอจึงไม่กล้าขยับเลยแม้แต่น้อย

“นักแสดงต้องการสวมเสื้อผ้า พวกแกอยากจะยืนดูอยู่อีกทำไมกัน?” เย่เหลียนอีกล่าว:“ผู้ชายทุกคนหันหลังกลับหน่อย”

หลานเล่อซินอดไม่ได้ที่จะมองไปที่สือมูเฉิน เพราะสือมูเฉินเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่ไม่จำเป็นต้องฟังคำสั่งจากเย่เหลียนอี

เขาไม่ได้หันหลังกลับ แต่กำลังคุยกับหลานเสี่ยวถางโดยก้มหน้าลง ทั้งสองคนพูดคุยและหัวเราะกัน และไม่ได้มุ่งความสนใจไปที่เครื่องเล่นแผ่นเสียงนั้นเลยสักนิด

หลานเล่อซินรู้สึกเพียงว่าเขากำลังมองดูเธอด้วยสายตาที่สมเพช

เขาไม่แม้แต่จะมอง มันยิ่งทำให้เธออับอายขายขี้หน้ามากขึ้น!

ต่อหน้าสือมูเฉินเธออุตส่าห์รักษาศักดิ์ศรีและความเย่อหยิ่งของเธอมาตั้ง 28 ปี และในตอนนี้มันถูกเหยียบให้จมดินอย่างสมบูรณ์!

เธอสวมเสื้อผ้าด้วยปลายนิ้วที่สั่นเทา ใบหน้าของเธอซีดเซียวจนน่ากลัว ลมหายใจของเธอแรงถี่ขึ้นเรื่อยๆ และเธอไม่รู้ว่าเธอสามารถทำอะไรได้อีก

เธอเข้าใจดีว่าถึงแม้เธอจะกระโดดจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงเพื่อวิ่งหนี แต่เธอก็ต้องถูกคนสกัดจับไว้อย่างแน่นอน เธอยิ่งคิดเธอก็ยิ่งอยากรู้มากขึ้นเรื่อยๆ ผู้หญิงคนที่หลานเสี่ยวถางช่วยชีวิตไว้นั้นคือใคร? ใครกันที่มีความสามารถมากขนาดนี้ และทำสิ่งนี้ได้อย่างโจ่งแจ้ง เขาสามารถปิดท้องฟ้าด้วยฝ่ามือเดียวได้จริงหรือ? !

เธอจิกเล็บของตัวเองจนเล็บเกือบจะฝังอยู่ในฝ่ามือ ทำให้รู้สึกเจ็บปวด เมื่อหลานเล่อซินเห็นคราบน้ำที่เจิดจ้าบนเครื่องเล่นแผ่นเสียงนั้น และเธอก็รีบไปเช็ดมันอย่างบ้าคลั่ง

อย่างไรก็ตาม เธอยังเข้าใจด้วยว่า เธอไม่สามารถลบภาพในหัวใจของสือมูเฉินได้ และเธอจะไม่มีโอกาสเดินเข้าไปอยู่ในหัวใจของเขาได้อีกแล้ว!

“เอาล่ะ นักแสดงแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว” เย่เหลียนอีพูด: “ลำดับต่อไปเข้าสู่รายการถัดไปกันเถอะ!”

ในขณะที่พูดอยู่นั้น ลูกน้องของเขากำลังเตรียมตัวสำหรับรายการที่สองอยู่นั้น เย่เหลียนอีถามอย่างเป็นกันเองว่า: “ใช่สิ การแสดงรายการเมื่อกี้นี้ ได้ไรท์วีดิโอลงแผ่นซีดีไว้แล้วหรือยัง?”

ทันใดนั้นก็มีคนนำซีดีที่เพิ่งไรท์เสร็จมาให้: “คุณหนูใหญ่ครับ นี่คือวิดีโอของนักแสดงที่เต้นเมื่อกี้นี้ครับ”

เย่เหลียนอีหยิบมันขึ้นมา แล้วยื่นให้หลานเสี่ยวถาง: “ถางถาง เก็บไว้ให้ดีนะ ถ้าว่าง ๆก็สามารถเอาออกมาชื่นชมได้ มันจะช่วยทำให้มีความสุขทั้งกายและใจ”

หลานเสี่ยวถางหยิบมันขึ้นมา และพบว่าเนื่องจากซีดีเพิ่งถูกไรท์เสร็จ ดังนั้นบนซีดียังมีไอร้อนอยู่บ้าง

เธอยิ้ม: “ขอบคุณค่ะ”

“เอาล่ะ รายที่สองกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว”ในขณะที่เย่เหลียนอีพูดอยู่นั้น เธอก็ถือแชมเปญขึ้นมาจากบนโต๊ะแล้วจิบหนึ่งคำ

เมื่อเห็นสิ่งนี้หลานเสี่ยวถางก็รีบหยุดเธอทันที: “แผลของคุณยังไม่หายดี คุณยังดื่มไม่ได้นะคะ!”

เย่เหลียนอีตกตะลึงครู่หนึ่ง แล้วยิ้มอย่างตื้นตันใจฉายออกมาจากดวงตาของเธอ

เธอทำงานอยู่ใน honor นั้น นอกจากพี่ชายไม่กี่คนแล้วก็ไม่เคยมีใครห่วงใยเธอเลย ?เพราะคุณพ่อยุ่งมาก นอกเสียจากว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่ คุณพ่อเลี้ยงเธอแบบปล่อยปะละเลย

ต่อมานั้นส่วนพี่ชายก็สืบทอดอุตสาหกรรมต่อจากตระกูล และบินไปทั่วโลกเกือบตลอดทั้งปี ใครจะมีเวลามาสนใจใยดีนิสัยความเคยชินของเธอแบบนี้ได้อย่างไรกัน?

ดังนั้น เมื่อเธอเป็นหวัดและอารมณ์ไม่ดีเธอก็จะดื่มแต่เหล้า

เวลาเธอได้รับบาดเจ็บ และเมื่อเธอรู้สึกไม่สบายใจเธอก็จะดื่มเหล่าเช่นกัน

เธอไม่ชอบกลิ่นบุหรี่ ดังนั้นเธอจึงมักจะระบายอารมณ์ด้วยการดื่มเหล้า

ลูกน้องของเธอไม่มีใครกล้าที่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของเธอ? อย่างมากที่สุด ก็มีการเตือนเพราะความห่วงใยบ้างเป็นบางครั้งแค่นั้น

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มีคนขัดขวางอยู่ตรงหน้าเธอ และไม่ยอมให้เธอดื่มเหล้า!

ความรู้สึกนี้มันรู้สึกแปลกแต่กลับรู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก

เย่เหลียนอีวางแก้วไวน์ลงทันที จากนั้นจึงหยิบนมที่อยู่ด้านข้างและจิบสองสามครั้ง

ข้าง ๆเธอ ลูกน้องของเธอเห็นเข้าพอดีแววตาแสดงออกมาด้วยความประหลาด

ต้องรู้ว่าในอดีตนั้นเคยมีบางคนถ้าขัดขวางคุณหนูใหญ่ ผลที่ตามมาก็คือ……

อย่างไรก็ตาม หลานเสี่ยวถางไม่มีความหมายอะไรแอบแฝง เมื่อเธอเห็นว่าเย่เหลียนอีหยุดดื่ม เธอก็วางใจและมองไปที่เกิดเหตุ

ฉากเมื่อกี้นี้มันก็น่ากลัวมากพอแล้ว ถ้าเช่นนั้นฉากที่สองจะเป็นยังไง?

ในขณะนี้เย่เหลียนอีโน้มตัวและกระซิบที่ข้างหูของหลานเสี่ยวถาง: “ต้องการรู้วิธีการเอาชนะคน ๆหนึ่งหรือไม่? นั่นคือการคว้าสิ่งที่เขาหวงแหนมากที่สุด แล้วทำลายมันทิ้งซะ”

หลานเสี่ยวถางพึ่งเข้าใจอย่างกะทันหัน

สิ่งที่หลานเล่อซินใส่ใจมากที่สุด น่าจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างเธอและสือมูเฉิน

ในเหตุการณ์เมื่อกี้นี้ทำให้หลานเล่อซินเสียหน้าเป็นอย่างมาก ทำลายภาพลักษณ์ของเธอต่อหน้าสือมูเฉิน ดังนั้นในเกมหน้าควรจะทำให้จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเธอหายสาบสูญไปเลยหรือเปล่านะ?

ตั้งแต่เล็กจนโตหลานเสี่ยวถางไม่เคยเห็นการต่อสู้แบบนี้เลย? แม้ว่าการแก้แค้นแบบนี้จะบรรเทาความโกรธของเธอได้ แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลเล็กน้อย ดั่งที่หลานเล่อซินเคยพูดไว้ เมื่อสือมูเฉินเห็นสิ่งเหล่านี้จะรู้สึกและคิดว่าเธอเลวเกินไปหรือเปล่านะ?

หรือเขากลัวแม่ของตัวเอง? ก็เลยเกลียดเธอที่ครอบครัวของเธอทำแต่เรื่องโหดร้ายมาโดยตลอด?

ด้วยความรู้สึกกังวลใจหลานเสี่ยวถางหันไปมองสือมูเฉิน ประจวบเหมาะเขาก็หันมามองเธอเช่นกัน

เมื่อสือมูเฉินมองดูท่าทางของหลานเสี่ยวถางแล้ว ก็รู้ว่าเธอกำลังกังวลอะไรอยู่

เขาถอนหายใจออกมาด้วยความกังวล และแน่นอนว่าแม้ว่าภรรยาของเขาจะมีผ่านประสบการณ์เรื่องเลวร้ายมามากแค่ไหนก็ตาม แท้ที่จริงแล้วเธอก็ยังคงเป็นกระดาษเปล่าใบหนึ่งเท่านั้น

เธอไม่รู้เลยว่าแท้ที่จริงสิ่งเหล่านี้สำหรับเขาแล้วมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย

เพราะเขาเคยถูกพี่ชายของตัวเองนั้นเล่นงานตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นเขาก็มีด้านมืดในใจด้วยเช่นกัน สมัยนั้นหากเขามีความสามารถ เขาก็จะไม่ปฏิเสธการแก้แค้นแบบนี้ด้วยเช่นกัน

ท้ายที่สุดเขาเชื่อในคำพูดนี้เสมอ นั่นคือเมตตาต่อศัตรู เท่ากับโหดร้ายต่อตัวเอง!

หัวใจของหลานเสี่ยวถางกำลังสับสนวุ่นวายจนทำอะไรต่อไปไม่ถูกอยู่นั้น เธอก็รู้สึกว่ามือของเธอนั้นถูกสือมูเฉินกุมไว้อยู่ในฝ่ามือของเขา เขามองลงมาที่เธอ ลดเสียงของเขาและพูดกระซิบข้างหูของเธอ: “อันที่จริงผมต้องขอบคุณคุณแม่ยายของผม ที่ช่วยแก้แค้นให้กับภรรยาของผมด้วยนะ”