ตอนที่ 146 ผมเป็นเจ้าชายแห่งอารยธรรมพื้นเมือง 1

สตรีมเมอร์สาว กินพิชิตอวกาศ

อย่างไรเสีย พวกเขาก็จะได้กินอาหารอันโอชะใช่หรือไม่?

ในเมื่อทุกคนเห็นด้วย พวกเขาก็เริ่มนับจำนวนสมาชิกกันได้ทั้งหมดห้าสิบแปดคน ซึ่งรวมกัปตันแล้ว ขณะที่ยานอวกาศลำเล็กของสวี่หลิงอวิ๋นได้เคลื่อนตัวเข้าไปในยานอวกาศลำใหญ่อีกครั้ง จากนั้นพวกเขาก็เริ่มเคลื่อนตัวออกไปยังธารน้ำแข็งที่ขั้วโลกใต้

บนฟากฟ้าเหนือพวกเขา นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งที่เป็นผู้เชี่ยวชาญตรวจจับยานอวกาศยูเอฟโอของสิ่งมีชีวิตต่างอารยธรรม มองดูค่าตัวเลขของเครื่องตรวจจับในมือด้วยความสับสน “แปลกจัง ค่าตัวเลขเคยขึ้นชัดมาก่อน แต่ทำไมค่าตัวเลขถึงหายไปในเวลาแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้นนะ?”

“ผมถามหน่อยสิ ชาร์ ท่านแน่ใจเหรอ? มันอาจจะเป็นสัญญาณทั่วไปที่ผุดขึ้นมาในอากาศก็ได้ ท่านก็รู้ว่าเทหวัตถุแต่ละดวงมักจะปล่อยคลื่นสัญญาณออกมาเป็นระยะ ๆ”

“แต่มันต่างกัน!” นักวิชาการชาร์ยังคงยืนยันในมุมมองของตนเอง “ต้องมียานอากาศของสิ่งมีชีวิตต่างอารยธรรมมาลงจอดที่นี่แน่ ๆ”

“เอาล่ะ พอแล้ว ผมคิดว่าท่านควรจะไปปรึกษาหารือกับเพื่อนร่วมสถาบันท่านอื่น อย่าลืมล่ะ ถ้าท่านหายานอวกาศต่างอารยธรรมขั้นสุดยอดลำนี้ไม่เจอ ท่านจะต้องชดเชยค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินทางในครั้งนี้เต็มจำนวน”

“ได้เลย ฉันเข้าใจแล้ว!” ชาร์รู้สึกรำคาญเล็กน้อย วางสมุดบันทึกในมือลง และโทรศัพท์หาคณบดีอย่างไม่เต็มใจ

“ชาร์ คุณเองก็น่าจะรู้ดีว่าถ้าครั้งนี้คุณยังหายานสิ่งมีชีวิตต่างอารยธรรมไม่เจออีก ทางสถาบันของเราคงไม่สามารถสนับสนุนค่าใช้จ่ายได้มากมายขนาดนั้น อีกอย่างผมเองก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายให้คณะกรรมการโรงเรียนฟังยังไง”

“เข้าใจแล้วครับ ท่านอาจารย์ใหญ่” ชาร์วางโทรศัพท์ลงพร้อมกับหัวใจที่หนักอึ้ง มองดูผิวน้ำที่แน่นิ่ง ทุบเข้ากับรั้วที่อยู่ล้อมรอบอย่างรุนแรง จากนั้นจึงหันกลับไปที่ท้องเรือ โดยที่เขาไม่ได้รับรู้เลยว่าภายใต้พื้นผิวน้ำมียานอวกาศขนาดมหึมากำลังมุ่งหน้าไปยังขั้นโลกเหนือ

ที่นี่เป็นธารน้ำแข็งขนาดใหญ่และลึกลับ แม้แต่เทคโนโลยีปัจจุบันของอารยธรรมพื้นเมืองก็ยังไม่สามารถตรวจจับธารน้ำแข็งลึกลับแห่งนี้ได้ มีแค่บ้านขนาดเล็กเพียงไม่กี่หลังที่สามารถตรวจจับได้

สวี่หลิงอวิ๋นและพรรคพวกของเธอจำนวนห้าสิบแปดคนค่อย ๆ ไต่ขึ้นมาจากใต้ท้องทะเลลึกขึ้นมายังธารน้ำแข็ง

จากนั้นเธอก็ถอดเกราะป้องกันตัวออก สวี่หลิงอวิ๋นหายใจและปล่อยลมสีขาวออกมา ก่อนจะขมวดคิ้ว “ที่นี่หนาวเกินไปหรือเปล่า? ติดลบห้าสิบองศาเชียวเลยเหรอ?”

อากาศปกติไม่ได้ส่งผลอะไรต่อศักยภาพทางร่างกายของเธอมากนัก ทว่าตอนนี้เธอกลับรู้สึกได้ถึงลมหนาวที่พัดหวิวเข้ามา จนลมเย็นยะเยือกนั้นซึมซับเข้ามาถึงกระดูกของเธอ

“เกือบจะ 60 องศาแล้วครับ” ช่างเทคนิคหยิบเครื่องเทอร์โมมิเตอร์ออกมาวัดอุณหภูมิ “พวกเราควรออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดครับ”

“ว่าแต่พวกเราจะไปไหนกันดีล่ะ?”

ไม่มีใครรู้เกี่ยวกับอารยธรรมของที่นี่ หากพวกเขาลับลอบเข้าไปมั่วซั่วโดยประมาทและไม่ระวังตัวให้ดี ก็อาจจะโดนจับได้

“พวกเราตรวจพบสถานีส่งสัญญาณที่อยู่ใกล้เคียง บางทีพวกเราอาจจะลอบเข้าไปในอารยธรรมพื้นเมืองได้”

ทุกคนไม่ได้แสดงความคิดอะไร ในขณะที่โอคาซี สวี่หลิงอวิ๋น และช่างเทคนิคตัดสินใจเข้าไปก่อน สำหรับคนที่เหลือจะตามหาที่พักพิงสำหรับพักผ่อน

สถานีส่งสัญญาณมีขนาดเล็กมาก และภายนอกสถานีมีสิ่งมีชีวิตขนปุยล้อมรอบอยู่ พวกมันมีขนาดตัวไม่ใหญ่มากนัก ขนาดของมันคล้ายคลึงกับสุนัขบนโลก ทว่าพวกมันกลับดูแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

ร่างกายของพวกมันถูกปกคลุมไปด้วยขน สวี่หลิงอวิ๋นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าดวงตาของพวกมันอยู่ตรงไหน แต่พวกมันกลับดูน่ารักยิ่งนัก

ขนเยอะจังเลยนะ

และดูเหมือนว่าพวกมันจะรับรู้ถึงกลิ่นได้อย่างแม่นยำ ถึงแม้ว่าสวี่หลิงอวิ๋น โอคาซี และเฟอโร ทั้งสามจะยังซ่อนตัวอยู่และยกเกราะกำบังขึ้นมา พวกมันจะยืนขึ้นอย่างตื่นตระหนก รวมทั้งส่งเสียงขู่ในลำคอ สายตาของพวกมันจับจ้องไปยังจุดที่พวกเขายืนอยู่อย่างเหม่อลอย

พวกมันรู้สึกประหลาดใจ ทั้งที่ได้กลิ่นแปลกประหลาด แต่ทำไมกลับพวกมันถึงหาตัวคนไม่เจอเลย?

“โต้วเหมี่ยว พวกแกเห็นอะไรงั้นเหรอ?” ชายคนหนึ่งที่อยู่ในชุดเสื้อคลุมที่ให้ความอบอุ่นเดินออกมาจากสถานีอย่างงุ่มง่าม มองดูสัตว์ขนปุยอย่างระวังตัว บรรจุลูกปืนใส่ปืนในมือและมองดูบริเวณโดยรอบ

ทั้งสองสัตว์ขนปุยและมนุษย์ต่างไม่พบอะไรผิดปกติหลังจากเฝ้ามองอยู่นาน มีเพียงเสียงลมเหนือพัดหวิวเข้ามาเท่านั้น ชายหนุ่มลดปืนในมือลงและหันไปลูบสัตว์ขนปุย “เฮ้ เจ้าน้องชาย แกวิตกกังวลเกินไปแล้ว ที่นี่ไม่มีอะไรผิดปกติสักหน่อย”

สัตว์ขนปุยแลบลิ้นออกมาและเลียมือของเขา

ทั้งสามคนรวมถึงสวี่หลิงอวิ๋นเฝ้ามองอยู่ในความเงียบสงบ จนกระทั่งชายคนนั้นกำลังจะเดินกลับเข้าไปในสถานี เธอจึงรีบเดินออกไป แปรสภาพพลังดวงดาวให้กลายเป็นตาข่ายขนาดใหญ่และลากเขาออกไป

เมื่อเห็นดังนั้น สัตว์ขนปุยก็พยายามกัดพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง ทว่าสวี่หลิงอวิ๋นกลับลากเขาออกมาได้สำเร็จ

ช่างเทคนิคหยิบแผ่นขนาดเล็กในมือของเขาออกมาและแปะมันไว้บนหน้าผากของชายผู้นั้นโดยตรง ขณะที่แผ่นอื่นถูกแปะเอาไว้บนหน้าผากของพวกเขาทั้งสามคน

สิ่งนี้จะทำให้พวกเขาเข้าถึงหน่วยความจำของอีกฝ่ายได้ รวมถึงข้อมูลชีวิตส่วนตัวของเขาเช่นกัน

หลังจากนั้นไม่นาน ชายคนนั้นก็ฟื้นขึ้นมาขณะอยู่นอกสถานี ขณะที่สัตว์ขนปุยทั้งหลายล้อมรอบเขาเอาไว้และใช้ลิ้นเลียคางของเขา

“โอ้ว โต้วเหมี่ยว ดูว่าพวกแกซนขนาดไหน ถึงทำให้ฉันสะดุดล้มลงไปแบบนี้!” ชายผู้นั้นไม่ได้สังเกตเห็นถึงความผิดปกติอะไร ยกยิ้มขึ้นพร้อมกับลูบศีรษะ และเดินเข้าสถานที่ไป

สวี่หลิงอวิ๋นและคนอื่น ๆ ต่างได้รับข้อมูลพื้นฐานของโลกใบนี้แล้ว

โลกใบนี้ถูกแบ่งออกเป็นสามทวีปที่อยู่กระจัดกระจายกัน ได้แก่ ทวีปกาตาร์ ทวีปกลาเซียร์เหนือและใต้

มนุษย์ทุกคนล้วนอาศัยอยู่ในทวีปกาตาร์ และมีประชากรทั้งหมดหมื่นล้านคน

อำนาจการปกครองของพวกเขาค่อนข้างแปลกประหลาด เพราะประเทศชาติไม่ได้เป็นผู้ปกครอง แต่กลับถูกควบคุมโดยสถาบันต่าง ๆ แทน

สถาบันการศึกษาของแต่ละแห่งจะมีคณะกรรมการโรงเรียน ซึ่งคณะกรรมการโรงเรียนเหล่านั้นจะถูกก่อตั้งขึ้นเป็นสมาคม รวมทั้งความแข็งแกร่งของกองทัพทหารก็อยู่ในสถาบันเช่นกัน

สถาบันทางการศึกษาจะถูกแบ่งออกเป็นแผนกกิจการพลเรือน แผนกการทหาร แผนกการเรียนรู้ แผนกการวิจัย แผนกตุลาการ และแผนกอื่น ๆ

ทุกหน่วยงานล้วนมีอำนาจอย่างแท้จริง

ระดับของที่นี่ถูกแบ่งออกเป็นสองขั้วอย่างชัดเจน มีเพียงการเล่าเรียนเท่านั้นที่จะทำให้พวกเขาก้าวหน้า และแหล่งข้อมูลแห่งการเรียนรู้ส่วนใหญ่มักอยู่มือของกลุ่มสมาคมและผู้บริหารระดับสูงของทางสถาบัน คนยากจนทำได้เพียงสมัครเรียนหลักสูตรฟรีตลอดชีวิตของพวกเขา ในเมื่อพวกเขาไม่สามารถร่ำเรียนไปจนถึงระดับสูงได้ จุดจบบั้นปลายชีวิตของพวกเขาคงเป็นเพียงแค่คนชนชั้นล่างเท่านั้น

สำหรับคนชนชั้นล่างนั้นเป็นระดับชนชั้นที่โดนกดดันให้เป็นบุคคลเบื้องล่าง

ชีวิตของพวกเขาถูกหมุนรอบไปด้วยชนชั้นสูงและสมาคมชั้นสูงของทางสถาบัน

ชายหนุ่มที่สวี่หลิงอวิ๋นและคนอื่น ๆ ได้พบเป็นเพียงชนชั้นล่างที่โชคดีเท่านั้น เนื่องจากเขาเป็นคนเฉลียวฉลาด จึงได้เข้าเรียนในระดับชั้นสูง เขาได้รับการศึกษาในแผนกการวิจัยและจบออกมาเป็นนักวิจัย

เนื่องจากเขาไม่ได้มาจากครอบครัวที่มีฐานะ เขาจึงต้องทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินส่งน้องชายน้องสาวให้ได้รับการศึกษาที่ดี โดยเต็มใจที่จะเดินทางมายังธารน้ำแข็งขั้วโลกใต้เพียงคนเดียว ซึ่งเป็นสถานที่ที่ไม่มีใครอยากมาและไม่มีแม้แต่คนจะอาศัยอยู่ในรัศมีนี้

ไม่เพียงแต่ต้องอดทนต่อความเหงา แต่ยังคงต้องอดทนต่อสัตว์ร้ายบนพื้นที่แห่งนี้ด้วย

โชคดีที่เรือบรรทุกสินค้าจากแผ่นดินใหญ่กาตาร์จะแวะเอาเสบียงมาให้เขาที่นี่ทุกสัปดาห์เว้นสัปดาห์ ดังนั้นเขาจะได้พบปะผู้คนบ้างบางครั้งและไม่ต้องอดตายอยู่ที่นี่

สัตว์ขนปุยนี้เป็นอีกหนึ่งสิ่งมีชีวิตที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอยู่บนธารน้ำแข็งขั้วโลกใต้ ทันทีที่วิลเห็นว่าพวกมันถูกแม่ของพวกมันทอดทิ้ง เขาจึงพาพวกมันกลับมาที่สถานีเพื่อเลี้ยงดูพวกมัน และสุดท้ายพวกมันก็กลายเป็นเพื่อนร่วมทางของเขา

“พวกเขาสามารถออกเดินทางไปพร้อมกับเรือขนเสบียงลำนี้ได้” สวี่หลิงอวิ๋นลูบคางของตนเอง “ลองคำนวณดูแล้ว เรือน่าจะกลับมาในตอนบ่ายของวันนี้ใช่ไหม?”

“ประมาณนั้นครับ”