บทที่ 190 เผ่นเป็นดี

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 190 เผ่นเป็นดี

แต่พวกเขาอยู่ห่างกันค่อนข้างไกล ไม่ทันไล่ตามมาได้ในทันที

ช่วงวิกฤตอันตราย เผ่าสิงซากสมุทรคนนี้คำรามเสียงต่ำ หยิบเอาโลงศพหยกโลงนั้นออกมาอีกครั้ง จากการกัดฟันอย่างรุนแรงโลงนี่ก็ปะทุอีกครั้ง ในขณะเดียวกับที่เกิดเป็นทะเลแสงผืนหนึ่ง ก็มีนิ้วข้างหนึ่งยื่นออกมาจากในทะเลแสง จากในโลงศพหยก

นิ้วนี้เมื่อปรากฏขึ้นก็ชี้ไปที่เหนือศีรษะสวี่ชิงทันที

เสียงเปรี๊ยะๆ ดังสะท้อนไปทั่ว อันตรายรุนแรงกลุ่มหนึ่งพวยพุ่งภายในกายสวี่ชิง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป ถอยไปข้างหลังอย่างไม่ลังเลใดๆ ทั้งสิ้น และในเสี้ยวขณะที่เขาถอยหลังไป ผู้สืบทอดมรรคาเผ่าสิงซากสมุทรตนนี้ในที่สุดก็ได้พักหายใจ ร่างถอยไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว คิดจะทิ้งระยะห่าง

แต่บรรพจารย์สำนักวัชระที่อยู่ข้างๆ ประสบเรื่องทุกข์ใจไม่หยุด ตอนนี้ก็ร้อนใจกระวนกระวาย เขาเห็นเจ้าเงาครั้งนี้สร้างคุณงามความชอบหลายต่อหลายครั้งแล้ว นี่ทำให้เกิดความรู้สึกร้อนรนอย่างรุนแรง รู้สึกว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไปตัวเองจะต้องกลายเป็นหน่วยพลีชีพแน่นอน

ดังนั้นดวงตาจึงแดงก่ำ คำรามออกมาไม่เสียดายอักขระอัสนีระเบิดตัวเองหลายครั้งแลกมาซึ่งความเร็วขีดจำกัดสูงสุด พุ่งทะยานออกไป เพียงพริบตาก็ทะลุแขนของผู้สืบทอดมรรคาเผ่าสิงซากสมุทรที่ลนลานทำอะไรไม่ถูก

ในชั่วเสี้ยวขณะที่เลือดสาดกระเซ็นมา ผู้สืบทอดมรรคาตนนี้สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมหาศาล ส่วนบรรพจารย์สำนักวัชระก็ถอยกลับมาอย่างรวดเร็ว กลับมาด้วยความเบิกบาน

มองไกลๆ แล้ว คนทั้งสองที่อยู่ในการต่อสู้ครั้งนี้ต่างถอยกันทั้งคู่ เพียงแต่เทียบกับความอเนจอนาถน่าสังเวชของผู้สืบทอดมรรคาเผ่าสิงซากสมุทรแล้ว สวี่ชิงสุขุมกว่ามาก

แต่เขาก็ไม่ได้ประมาท เขารู้ดีว่ากำลังรบของเหมี่ยวเฉินไม่ได้มีเพียงเท่านี้ เพียงแต่เพราะสูญเสียโอกาสได้เปรียบ การลงมือราวพายุของตนและความแปลกประหลาดของเจ้าเงา อีกทั้งยังมีความแข็งแกร่งของกายเนื้อภายใต้วิชาวิหคทองหลอมหมื่นวิญญาณ ถึงทำให้เหมี่ยวเฉินก้าวเข้าสู่วิกฤตอันตรายได้ในพริบตา

แม้ในใจจะเสียดายที่ไม่อาจฆ่าอีกฝ่ายให้ตายได้ในทีเดียว แต่สวี่ชิงเข้าใจดีว่าไม่สามารถยื้ออยู่ต่อไปได้แล้ว

ดังนั้นในพริบตาที่ถอย ความเร็วของเขาก็ปะทุ ทะยานไปที่ไกล เจ้าเงาและเหล็กแหลมสีดำก็เข้ามาใกล้ในทันที หนีไปด้วยกัน

ส่วนผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรที่ไล่ตามมาจากรอบๆ ตอนนี้ส่วนใหญ่ล้วนอยู่กับผู้สืบทอดมรรคาทางนั้น ส่วนที่เหลือกำลังไล่ตามสวี่ชิงมา แต่ไล่ตามมาได้ไม่กี่ก้าวแต่ละตนก็ต่างหน้าเปลี่ยนสี กระอักเลือดออกมา โดนพิษร้ายแรงเข้าแล้ว

คนที่โดนพิษยังมีเหมี่ยวเฉิน ผู้สืบทอดมรรคาที่ผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรปกป้องเอาไว้ตนนั้นด้วย ตอนนี้เขาโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ผลักผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรรอบๆ กระเด็น จิตสังหารในดวงตาท่วมฟ้า ความอัดอั้นในใจพุ่งจนถึงขีดสูงสุด

ตอนที่เขายังมีชีวิตเขาเป็นอัจฉริยะฟ้าประทานแแห่งเผ่าหยกวิญญาณ สัมผัสช่องเวทได้หนึ่งร้อยยี่สิบช่อง หลังจากที่แตกดับโดยไม่คาดฝันก็กลายเป็นเผ่าสิงซากสมุทร เผ่าสิงซากสมุทรให้ความสำคัญจัดให้เขาอยู่ในอันดับราชาภายใต้การฝึกฝนอบรมอย่างเต็มที่ ในที่สุดก็ก้าวสู่ขอบเขตไฟชีวิตสี่ดวง

พูดได้ว่าไม่ว่าจะเป็นเผ่าหยกวิญญาณหรือเผ่าสิงซากสมุทร เขานอกจากความตายครั้งนั้นแล้วก็ไม่เคยได้รับความอัปยศเช่นนี้อีกเลย โดยเฉพาะตอนนี้ใบหน้าด้านขวาของเขาเสียโฉม หูข้างขวาละลาย นี่ทำให้เขาที่ให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอกเป็นอย่างมาก ความบ้าคลั่งในใจถาโถมรุนแรง

“ข้าจะฆ่าเจ้า!” ผู้สืบทอดมรรคาตนนี้ลูบใบหน้าด้านขวา เปลวไฟทั่วทั้งร่างลุกโชนสุดกำลัง ไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว

สวี่ชิงที่อยู่ไกลๆ หันกลับมามอง หรี่ตาลง ในใจเกิดความรู้สึกอย่างลองอีกครั้ง ทว่า เขาก็ต้องหน้าเปลี่ยนสีทันที

ที่ปลายขอบฟ้าไกลตอนนี้มีกลิ่นอายสามกลุ่มปะทุท่วมฟ้า ความแข็งแกร่งของกลิ่นอายนี้อยู่เหนือกว่าระดับสร้างฐาน นั่นเป็นผู้แข็งแกร่งระดับแก่นลมปราณของเผ่าสิงซากสมุทร มีทั้งหมดสามตน กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้อย่างรวดเร็ว

มองไกลๆ ฟ้าดินส่งเสียงคำรามก้อง ลม เมฆเปลี่ยนสี คลื่นที่หอบม้วนเนื่องจากผู้แข็งแกร่งสามตนนี้ประดุจสวรรค์พิโรธจะลงทัณฑ์สรรพชีวิตทั้งหลาย

สวี่ชิงสูดลมหายใจ ความรู้สึกอันตรายแผ่ออกมาจากเลือดเนื้อทุกชุ่นในร่างกาย เขาไม่หยุดรั้งรีรอใดๆ โคจรพลังบำเพ็ญทั้งหมดในร่าง กายเนื้อก็เช่นกัน ทำให้ความเร็วได้รับการเพิ่มพลังจนถึงขีดจำกัดสูงสุด หนีได้เร็วยิ่งขึ้น มุ่งหน้าควบทะยานไปที่ไกล

ในขณะเดียวกัน ข้างหลังของเขาก็มีเสียงสนั่นหวั่นไหวระเบิดดังขึ้นมา เสียงคำรามอย่างโกรธแค้นรางๆ สะท้อนก้องฟ้าดิน

“โจรชั่ว ข้าไม่เชื่อว่ากับแค่วิชาเร้นกายของเจ้าจะหนีการค้นหาของเผ่าสิงซากสมุทรไปได้!!”

เสียงคำรามนี้สวี่ชิงคุ้นเคยดี คือเด็กระดับแก่นลมปราณที่ก่อนหน้านี้ไล่สังหารนายกองนั่นเอง และฟังจากคำพูดของมัน เห็นได้ชัดว่านายกองหนีไปจากการไล่สังหารของมันได้

นี่ทำให้ในขณะเดียวกับที่สวี่ชิงคาดเดาตัวตนและพลังบำเพ็ญที่แท้จริงของนายกองมากกว่าเดิม ในใจก็ยิ่งร้อนรน เขารู้ดีว่านายกองที่เป็นตัวต้นเหตุในตอนนี้จะได้รับการไล่ล่าจากคนนับไม่ถ้วน ทว่าหากเมื่อหานายกองไม่เจอ เช่นนั้น ตนก็จะดึงดูดสายตาทุกคู่มาแน่นอน

ดังนั้นสวี่ชิงจึงมองไปทางเหล็กแหลมสีดำ

บรรพจารย์สำนักวัชระที่อยู่ในเหล็กแหลมสีดำไม่ลังเลแม้แต่น้อย เสี้ยวพริบตาต่อมาอักขระอัสนีบนเหล็กแหลมก็ระเบิดขึ้นอีกเจ็ดแปดตัวทันที แลกมาซึ่งความเร็วยิ่งขึ้น เหวี่ยงสวี่ชิงพุ่งไปข้างหน้าสุดแรง

อาศัยการเพิ่มพลังของบรรพจารย์สำนักวัชระ ความเร็วของสวี่ชิงเพิ่มระดับขึ้นอีกครั้ง เพียงพริบตาก็ก้าวข้ามระยะพันจั้ง ก้าวออกมาจากชายขอบแดนต้องห้าม มาถึงโลกภายนอก

ในตอนที่กลิ่นอายระดับแก่นลมปราณบนท้องฟ้าจับเป้าหมายมาที่เขา เด็กระดับแก่นลมปราณข้างหลังคำราม ในเสี้ยวพริบตาที่มันมาพร้อมด้วยระลอกคลื่นน่าครั่นคร้าม สวี่ชิงก็ไม่ลังเลอะไรทั้งนั้น กระตุ้นยันต์ส่งข้ามไร้ขั้นตอนทันที

เพียงเสี้ยวพริบตา ร่างของสวี่ชิงก็รางเลือน จวนเจียนจะส่งข้ามจากไปได้แล้ว ทว่าในตอนนี้เอง เสียงแค่นจมูกก็ดังมาจากท้องฟ้าไกล

เผ่าสิงซากสมุทรสูงใหญ่สามเศียรหกกรตนนั้น กลิ่นอายระดับแก่นลมปราณทั้งร่างแข็งแกร่งมาก เหนือกว่าเด็กระดับแก่นลมปราณ

เขาอยู่ไกลมาก ชี้มาทางสวี่ชิงทางนี้

“ผนึก!”

คำนี้พูดออกมา มิติรอบๆ สวี่ชิงถูกผนึกทันใด แต่ยันต์ส่งข้ามไร้ขั้นตอนในมือเขาทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง เมินเฉยซึ่งการผนึกของระดับแก่นลมปราณ ยังคงโคจรเช่นเดิม กระทั่งว่าระลอกคลื่นส่งข้ามก่อตัวขึ้นแล้ว จะส่งข้ามสวี่ชิงจากไปได้แล้วเต็มที

“หืม” เผ่าสิงซากสมุทรระดับแก่นลมปราณที่อยู่ปลายฟ้าไกลดวงตาจ้องเพ่ง หยิบเอามุกเม็ดหนึ่งออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วบีบแหลกทันที!

“สะบั้น!”

คำนี้เพียงดังขึ้น ยันต์ส่งข้ามไร้ขั้นตอนในมือสวี่ชิงก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป เหมือนเชื่อมโยงกับมุกเม็ดนั้น จากการแหลกละเอียดของมุก ยันต์ส่งข้ามก็หักแตกตามไปด้วย ในขณะที่เสื่อมฤทธิ์ ทางสวี่ชิงก็ถูกพลังวิเศษจากเผ่าสิงซากสมุทรระดับแก่นลมปราณห่อหุ้ม

พลังกลุ่มนี้มาพร้อมด้วยพลังทำลายซึ่งทุกสิ่ง ทำให้เลือดเนื้อทั่วร่างสวี่ชิงเหมือนจะฉีกขาดแห้งเหี่ยว

ช่วงวิกฤตอันตราย สวี่ชิงตาแดงก่ำ เอายันต์ส่งข้ามไร้ขั้นตอนออกมาอีกครั้งแล้วกระตุ้น

ยันต์ส่งข้ามไร้ขั้นตอนของเขามีทั้งหมดสามชิ้น ใช้ตอนอยู่บนราชรถไปหนึ่งอัน เหมือนครู่ถูกหักไปหนึ่งอัน ตอนนี้เป็นอันสุดท้ายแล้ว

ในขณะเดียวกันนี้เขาก็เรียกเรือเวทออกมาทันทีเพื่อทำการต้านทาน เสี้ยวพริบตาต่อมาเรือเวทถูกระเบิดแหลกละเอียดเป็นชิ้นๆ แต่เศษเสี้ยวเนื้อจวีอิงในนั้นก็ยังต้านทานการทำลายล้างที่นี่เอาไว้ได้ ทำให้การโจมตีอันถึงแก่ชีวิตกลายเป็นอาการบาดเจ็บสาหัสเท่านั้น

สวี่ชิงกระอักเลือดสดๆ ออกมา กระดูกทั่วร่างหักกร๊อบ ไฟชีวิตในร่างของเขาดับไปทันที ทั้งตัวแห้งเหี่ยวเหมือนเปื่อยสลาย ยิ่งถูกการโจมตีจากแรงมหาศาลนี้เหวี่ยงขึ้นมา ตำแหน่งหลายๆ ที่ทั่วร่างหักแหลก จิตวิญญาณไม่มั่นคงบาดเจ็บสาหัสทันที

แต่จากการต้านทานนี้ ก็แลกโอกาสการส่งข้ามมาให้ยันต์ส่งข้ามไร้ขั้นตอนอันสุดท้าย แม้ผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณบนท้องฟ้าจะมาถึงอย่างรวดเร็ว แต่ยันต์ของสวี่ชิงเป็นยันต์ที่รองเจ้ายอดเขาลำดับเจ็ดมอบให้ เดิมก็เป็นสิ่งที่ผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อเนิดสร้างขึ้น มีจุดที่อัศจรรย์ไม่ธรรมดา

ตอนนี้จากการที่เขาใช้ติดๆ สองครั้ง ในเสี้ยวพริบตาที่เงาร่างของเขาลอยเอ่อด้วยเลือดสดๆ พลังส่งข้ามก็ปะทุขึ้นมา ร่างของสวี่ชิงหายไปในบัดดล!

แทบจะในเสี้ยวพริบตาที่เขาหายไป ผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณเผ่าสิงซากสมุทรตนนั้นก็มาถึงทันที ลอยต่ำลงบนจุดที่สวี่ชิงหายไป ทำให้แผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่น เกิดเป็นหลุมลึก ระลอกคลื่นรอบๆ ซัดโหมรุนแรง

“ยันต์ส่งข้ามที่ผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดสร้าง อีกทั้งยังมีถึงสองอัน ตัวตนของคนคนนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน ทว่าถูกคำสาปวิญญาณโลกันต์ของข้า ด้วยพลังบำเพ็ญของคนคนนี้อย่างมากสามวันก็จะต้องแตกดับแน่นอน!” สีหน้าของเผ่าสิงซากสมุทรตนนี้ย่ำแย่ หมุนตัวกะพริบวูบก็มุ่งหน้าไปแดนต้องห้าม

และในเสี้ยวพริบตาที่เขาจากไป ในขณะเดียวกับที่ระลอกคลื่นที่เกิดขึ้นจากเรื่องนี้ทำให้เผ่าสิงซากสมุทรโกรธแค้นเดือดดาล ค้นหาอย่างบ้าคลั่งรอบๆ ในบริเวณที่กว้างเวิ้งว้างไกลลิบก็เกิดระลอกบิดเบี้ยวรางเลือน

บริเวณที่บิดเบี้ยวดูเหมือนไม่มีอะไรทั้งนั้น แต่ความจริงแล้วสิ่งที่แอบซ่อนอยู่ในนั้นก็คือนายกองนั่นเอง

ทั่วร่างของเขาเต็มไปด้วยบาดแผล แขนข้างหนึ่งใช้การไม่ได้แล้ว ที่เอวยิ่งมีบาดแผลขนาดใหญ่ที่ใกล้จะถูกฟันขาดเต็มที ทำให้ทั้งตัวเขากลิ่นอายอ่อนแรงมาก

ตอนนี้ในมือข้างเดียวที่เหลืออยู่ของเขาถือเปลือกหอยเจ็ดสีอันหนึ่งเอาไว้ เปลือกหอยอันนี้เปล่งแสงเจ็ดสีออกมา มีผลอันน่าอัศจรรย์ในการแอบซ่อนอำพราง ทำให้ตัวตนของเขาพร้อมทั้งกลิ่นหายล้วนหายไปอย่างไร้ร่องรอย

นี่ก็คือวิธีที่ทำให้นายกองหนีการไล่ฆ่าของผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณเผ่าสิงซากสมุทรมาได้ แต่ตอนนี้เขาอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย

เขามองสวี่ชิงบีบยันต์ส่งข้ามไร้ขั้นตอนจากไปตาปริบๆ เดิมยังคิดจะมาทักทาย แต่ภาพที่เห็นทำให้เขาตัวสั่น

“ไม่อยู่แล้วหรือ ไปแล้วอย่างนั้นหรือ ส่งข้ามหนีไปแล้วหรือ ข้า…”

นายกองพลันกรีดร้องคร่ำครวญในใจ เขารู้สึกว่าเรื่องนี้เปลี่ยนไปแปลกๆ ตัวเองก็แค่แทะไปทีหนึ่งเท่านั้น ทำไมจมูกเทวรูปจึงระเบิดเล่า

ความจริงจนถึงตอนนี้เขารู้สึกว่าเรื่องนี้เหลือเชื่อ ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยสงสัยสวี่ชิง แต่พอแทะครั้งนั้นจมูกก็ระเบิดทันที ความถี่ก็พอๆ กัน ทำให้ตัวเขาคิดว่ามีโอกาสสูงมากที่เกิดจากตัวเอง

“ตาแก่ไม่ได้พูดแบบนี้นี่นา ตอนนั้นเขาไม่ได้ทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้…” นายกองถอนหายใจยาว ในขณะเดียวกับที่หนีไปด้วยหน้าตากลัดกลุ้มทุกข์ระทม ในใจก็มีความภูมิใจเล็กน้อย

“แต่เรื่องนี้พูดในอีกมุมหนึ่งก็คือข้าเก่งกาจกว่าตาแก่ เรื่องวันนั้นนี้…เร้าใจ!”

นายกองสูดลมหายใจลึก ในขณะเดียวกับที่ในใจเกิดความภาคภูมิใจ รอบๆ ก็เกิดเสียงดังกึกก้อง กลิ่นอายระดับแก่นลมปราณแต่ละทางๆ ปะทุ กระทั่งว่ามีกลิ่นอายระดับปราณก่อกำเนิดแผ่มาจากที่ไกล

นี่ทำให้นายกองก้มหน้าทันที คลานไปกับพื้นขยับไปทีละนิดๆ ด้านหนึ่งก็เพื่อแอบซ่อน อีกด้านหนึ่งคือเขากลัวความเคลื่อนไหวชัดเกินไป ตัวเองจะตายจริงๆ…

“อย่างมากก็แค่ทิ้งท่อนล่างก็ได้แล้ว…”

ผ่านไปเช่นนี้สามวัน

จากการบ่มเพาะของเรื่องนี้ เผ่าสิงซากสมุทรทั้งเผ่าโกรธแค้นเดือดดาลโดยสมบูรณ์ ค้นหาอย่างบ้าคลั่งทุกขอบเขต ความจริงแล้วเรื่องนี้สำหรับเผ่าสิงซากสมุทรแล้วรุนแรงสุดขีด ความอัปยศยิ่งไม่อาจพรรณาได้

เพราะภาพที่เด็กระดับแก่นลมปราณกังวลเกิดขึ้นแล้ว

เวลาสามวัน จมูกของเทวรูปบรรพชนศพที่เจ็ดก็ยังไม่คืนสภาพกลับมา

ตอนนี้ ข้างหน้าเทวรูปบรรพชนศพที่เจ็ด เด็กระดับแก่นลมปราณก้มหน้า สีหน้าซีดเผือด ข้างๆ เขามีผู้บำเพ็ญกลางคนยืนอยู่

ผู้บำเพ็ญกลางคนคนนี้ไม่ใช่เผ่ามนุษย์ ที่หลังมีปีกสองข้าง กลิ่นอายทั่วทั้งร่างเก็บลงไป แต่เขาอยู่ตรงนั้นกลับทำให้เด็กระดับแก่นลมปราณสั่นสะท้าน

“ท่านโหวอั้นจั่ว เรื่องนี้ข้า…”

“อิงหลิง เรื่องนี้ราชาพิโรธนัก” ผู้บำเพ็ญกลางคนคนนั้นเงยหน้าต้องเพ่งเทวรูปที่เนื่องจากไม่มีจมูกจึงดูแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง และจ้องมองท่าทีของผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรสามสี่ตนที่กำลังสำรวจและลองซ่อมแซมตรงนั้น ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

ร่างของเด็กระดับแก่นลมปราณสั่นเทิ้มรุนแรงยิ่งกว่าเดิม

ไม่นานนัก ผู้บำเพ็ญเผ่าสิงซากสมุทรที่อยู่ตรงจมูกเทวรูปเหล่านั้นก็มายังข้างหน้าโจวอั้นจั่วคนนั้นด้วยสีหน้าอัดอั้นและจนปัญญา เอ่ยขึ้นอย่างเคารพนอบน้อมว่า

“ท่านโหว การแตกสลายของเทวรูปแปลกประหลาดนัก พวกข้าไร้ความสามารถ ไม่อาจซ่อมแซมได้ นอกเสียจากว่าจะนำชิ้นส่วนที่หายไปทั้งสองชิ้นนั่นกลับมา บางทีอาจจะมีหวัง”

โหวอั้นจั่วเงียบนิ่ง หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็เอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา

“ความหมายของพวกเจ้าก็คือ หนึ่งในวัตถุศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าสิงซากสมุทร เทวรูปบรรพชนศพที่เจ็ดองค์นี้ นับจากนี้เป็นต้นไปก็จะปรากฏต่อหน้าคนในเผ่าด้วยรูปลักษณ์ที่ไม่มีจมูก เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่”