บทที่ 136 ร่วมด้วยช่วยกัน

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

ตั้งแต่เซียวลิ่วหลังมาเข้าเรียนที่กั๋วจื่อเจียน ก็มักจะกลายเป็นที่จับตามองของทุกคน เหตุเพราะหน้าตาท่าทางของเขาช่างละม้ายคล้ายคลึงกับท่านจี้จิ่วหนุ่มหรืออดีตผู้อำนวยการกั๋วจื่อเจียนที่เสียชีวิตในอุบัติเหตุเพลิงไหม้

แม้แต่พวกอาจารย์ที่เคยเห็นท่านจี้จิ่วยังอดตะลึงไม่ได้เลยว่าบนโลกนี้มีคนหน้าคล้ายกันขนาดนี้อยู่ด้วยจริงๆ

แต่ก็ต้องยอมรับความจริงว่าจี้จิ่วได้ตายไปแล้ว พวกอาจารย์เองก็ไปเข้าร่วมพิธีศพของเขา จึงพยายามจะไม่นำตัวตนของทั้งสองคนมาปะปนกัน

แม้หน้าตาจะเหมือนกัน แต่ดูจากแววตาท่าทางโดยรวมแล้วก็มีจุดที่ต่างกันอยู่ไม่น้อย

นอกจากนี้ ทั้งกิริยาวาจารวมถึงลายมือของเซียวลิ่วหลังนั้นก็แตกต่างกับของท่านจี้จิ่วหนุ่มอยู่ไม่น้อย

คนเราต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนถึงจะเกิดใหม่ได้ขนาดนี้

แล้วถ้าเซียวลิ่วหลังคือท่านจี้จิ่วหนุ่มจริงๆ เหตุใดเขาถึงไม่กลับไปที่ตระกูลเล่า

แถมเขายังขาพิการอีกด้วย

หากอยู่ในราชวงศ์ก่อน ผู้ที่ร่างกายไม่สมประกอบจะไม่สามารถเข้าสอบเคอจวี่ได้ ภายหลังพอการเปลี่ยนแปลงของราชวงศ์ กฎนั้นก็ถูกยกเลิกไป

น้อยคนนักที่จะเคยเห็นหน้าค่าตาท่านจี้จิวตัวเป็นๆ

“ไฉนวันนี้ท่านอันจวิ้นอ๋องถึงมาเข้าเรียนได้เล่าขอรับ”

ท่านรองเจิ้งร้องทักขึ้นตอนที่เห็นอันจวิ้นอ๋อนเดินเข้าในหอหมิงเจิ้งของสำนัก

อันจวิ้นอ๋องได้รับสิทธิพิเศษไม่ต้องเข้าเรียนทุกวัน และในวันนี้ถือเป็นการปรากฏตัวครั้งแรกที่กั๋วจื่อเจียนหลังจากเปิดภาคเรียน

อันจวิ้นอ๋องยิ้มเอ่ยตอบ “ข้าได้ยินมาว่ามีบัณฑิตผู้เก่งกาจท่านหนึ่งมาเข้าเรียนที่นี่”

ไม่บอกก็รู้ว่าอันจวิ้นอ๋องกำลังพูดถึงเซียวลิ่วหลังอยู่แน่นอน รองเจิ้งจึงแกล้งเอ่ยยอไปหนึ่งที “ไม่เท่าไหร่หรอกขอรับ เทียบกับท่านไม่ได้เลยสักนิดขอรับ”

“ท่านพูดเช่นนั้นก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เขาน่ะคือคนที่ข้าเล็งไว้ตั้งแต่แรกแล้ว” อันจวิ้นอ๋องเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ

รองเจิ้งถึงกับไปไม่ถูก

อันจวิ้นอ๋องอธิบายต่อ “พวกเราตระกูลจวงอยากจะเสนอชื่อเขาตั้งนานแล้ว แต่เขาดันสอบเข้าได้เอง พอเห็นแบบนี้แล้ว ท่านรองเจิ้งยังมองว่าเขาไม่เท่าไหร่หรอกอยู่ไหม”

รองเจิ้งยกมือปาดเหงื่อพลางคิด หากเป็นคนอื่นป่านนี้คงมองเซียวลิ่วหลังเป็นศัตรูคู่แข่งไปนานแล้ว

ฟังจากที่เขาพูดเมื่อครู่…ดูเหมือนว่า ตระกูลจวงต้องการดึงตัวเซียวลิ่วหลังมาเป็นพวกสินะ

อันจวิ้นอ๋องตั้งใจจะตีสนิทกับเซียวลิ่วหลังจริงๆ ตระกูลจวงเองถึงแม้จะผลิตคนมากความสามารถออกมาทุกรุ่นอยู่แล้ว แต่ถ้าได้คนฉลาดอย่างเซียวลิ่วหลังมาอยู่ด้วย ก็น่าจะสร้างความได้เปรียบให้แก่ตระกูลได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

อันจวิ้นอ๋องหันไปถามรองเจิ้ง “ท่านตอบข้ามาตามตรง บัณฑิตที่ชื่อเซียวลิ่วหลังคนนั้นเรียนเก่งแค่ไหน”

“คือว่า…” รองเจิ้งลังเลอยู่พัก “เขาเป็นเด็กที่มีความสามารถคนหนึ่งเลยทีเดียว แต่ถ้าถามกระหม่อม คิดว่ายังไม่มีใครสามารถเทียบเคียงท่านอันจวิ้นอ๋องได้เลยขอรับ”

“ไม่ต้องเอาข้าไปเทียบหรอก”

รองเจิ้งอ้ำอึ้งอยู่พัก ก่อนจะประสานมือแล้วเอ่ย “หากไม่นับท่าน เขาคือคนที่เก่งที่สุดในบรรดาบัณฑิตหน้าใหม่ขอรับ”

“ดีมาก ตระกูลจวงต้องการคนเก่งๆ แบบเขานี่แหละ” อันจวิ้นอ๋องยิ้มมุมปาก

“เป็นเกียรติแก่เขาที่เป็นที่ต้องการของตระกูลจวงขอรับ!” รองเจิ้งปั้นหน้ายิ้มอย่างไม่เต็มใจนัก

ว่ากันตามตรง รองเจิ้งรู้สึกไม่ถูกชะตากับเซียวลิ่วหลังเท่าไหร่นัก รู้สึกว่าเจ้าเด็กคนนี้ชอบปีนเกลียว ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง

“ถ้าเช่นนั้น กระหม่อม…” รองเจิ้งมองอันจวิ้นอ๋องราวกับมีนัยแฝง

“เอาละ ในเมื่อกั๋วจื่อเจียนเพิ่งจะกลับมาเปิดอีกครั้ง มิอาจเว้นตำแหน่งจี้จิ่วให้ว่างอีกต่อไป ข้าจะบอกท่านปู่ว่าให้พูดถึงรองผู้อำนวยการเจิ้งในด้านดีเมื่อยามจำเป็น”

“ขอบพระทัยจวิ้นอ๋อง! ขอบพระทัยราชครูขอรับ!” รองเจิ้งเอ่ยขอบคุณไม่หยุดปาก

ทุกคนในเรือนต่างรู้เรื่องที่กู้เจียวกำลังจะหุ้นกับเถ้าแก่รองเพื่อเปิดโรงหมอ นางไม่ได้บอกพวกเขาว่าใครเป็นผู้ดำเนินงาน บอกแค่ว่าต้องใช้เงินแปดร้อยตำลึงเพื่อเป็นเจ้าของในสัดส่วนครึ่งหนึ่ง

ทุกคนต่างสนับสนุนความคิดนี้

พอทานมื้อเย็นเสร็จ จู่ๆ หญิงชราก็เดินเข้าไปหากู้เจียวแล้วควักถุงเงินออกมาให้นาง

“ทำอะไรน่ะ” กู้เจียวเอ่ยถามด้วยความตกใจ

“ถ้าได้กำไรแล้ว อย่าลืมเอามาคืนข้าล่ะ” หญิงชราเอ่ย

ถุงเงินที่ว่าคือเงินปากโลงของหญิงชราที่นางเก็บหอมรอมริบทั้งจากเงินที่กู้เจียวเคยให้นางไว้ เงินที่นางเคยแอบเอายาของกู้เจียวไปขาย รวมถึงเงินที่นางไปหลอกคนให้มาดูละครและให้นางช่วยดูลายมือให้

นับได้ทั้งหมดห้าสิบตำลึง ไม่น้อยเลยทีเดียว!

กู้เจียวนึกในใจ ถ้านางไม่คิดทำมาค้าขาย ชาตินี้คงไม่รู้เลยว่าหญิงชราร่ำรวยขนาดนี้!

กู้เสี่ยวซุ่นเองก็ควักเงินออมของตัวเองให้กู้เจียว

ส่วนกู้เหยี่ยนเอาเงินค่าขนมของตัวเองยกให้นางหมด อีกทั้งยืมเงินล่วงหน้าจากจิ้งคงมาอีกสิบตำลึง แน่นอนว่าเขาต้องทำงานใช้หนี้ให้จิ้งคง

เซียวลิ่วหลังเองก็ได้เงินค่าขนมจากการรับจ้างเขียนการบ้านให้พวกลูกเศรษฐี แต่กระนั้นแล้ว เขามองว่าหากจะเปิดโรงหมอ เงินแค่นี้คงไม่พอแน่นอน

เขาจึงเดินไปหาหลินเฉิงเยี่ยแล้วตบบ่าของเขา “เจ้ากังวลสินะว่าจะทำการบ้านได้หรือไหม เจ้าเคยผมร่วงเพราะเขียนเรียงความแปดตอนไม่ได้ใช่หรือไม่ ให้ข้าช่วยไหม คิดไม่แพงหรอก ไม่พอใจยินดีคืนเงินให้ครึ่งหนึ่งเลย”

หลินเฉิงเยี่ย “…”

ครั้งต่อมาพอเถ้าแก่รองและกู้เจียวได้มาเจอกัน รู้ตัวอีกที จำนวนเงินที่กู้เจียวมีได้แซงหน้าเถ้าแก่รองไปแล้ว

เถ้าแก่รองคิดในใจ นางไปทำอะไรมา…

ด้วยความที่เป็นเถ้าแก่มาหลายปี เขาจึงพอมีเส้นสายอยู่บ้าง จึงไม่กังวลเรื่องจำนวนที่จะเข้ามาช่วยในโรงหมอ แต่ตอนนี้ปัญหาใหญ่ที่พวกเขาเจอคือเรื่องทำเลที่ตั้ง

หากถามกู้เจียว นางมองว่าควรเปิดระแวกกั๋วจื่อเจียนจะดีที่สุด

กู้เจียวจึงติดต่อนายหน้าจางไป

นายหน้าจางพาพวกเขาไปดูทำเลบริเวณถนนฉางอันและถนนเสวียนอู่ บริเวณถนนฉางอันมีผู้คนจำนวนมากหลั่งไหลและมีความเจริญรุ่งเรืองมากกว่า แต่ติดตรงที่ไม่เหลือทำเลดีๆ ให้เช่า หรือไม่ก็เจอทำเลที่พอใช้ได้แต่ราคาสูงลิ่ว อันที่ราคาถูกหน่อยก็ดันสภาพไม่ดีอีก

“ถ้าอย่างนั้นลองไปดูทำเลที่ถนนเสวียนอู่ดีไหม” นายหน้าจางเสนอ

ถนนเสวียนอู่ไม่ได้มีผู้คนพลุกพล่านเท่ากับถนนฉางอัน ถ้าให้เลือกยังไงทำเลตรงฉางอันน่าจะดีกว่า

นายหน้าจางหัวเราะ “ถ้าเทียบกันแล้วถนนเสวียนอู่จะอยู่ใกล้กั๋วจื่อเจียนมากกว่า ยังไงก็ถือว่าเป็นทำเลทองเหมือนกัน!”

“ไปดูกันเถอะ” กู้เจียวเอ่ย

“ก็ได้” เถ้าแก่รองถอนหายใจ

ทั้งสามเดินไปยังถนนเสวียนอู่ หากมองเผินๆ จะเห็นว่าถนนนี้มีความเป็นระเบียบมากกว่าถนนฉางอัน ถึงแม้ปริมาณคนจะน้อยกว่า

นายหน้าจางพาพวกเขาไปดูห้องแถวที่ใช้ทำการค้าและอยู่อาศัยได้ “เดิมตรงนี้เคยเป็นที่พักมาก่อน ต่อมาปรับให้เป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์ พวกท่านทั้งสองว่าอย่างไร”

ที่นี่สภาพดีกว่าตรงถนนฉางอันมาก แต่ดูเหมือนเถ้าแก่รองจะถูกใจกับห้องแถวที่อยู่ติดกันมากกว่า

“ตรงนั้นมีคนซื้อไปแล้วขอรับ” นายหน้าจางเอ่ย

“แล้วตรงนี้ราคาเท่าไหร่ล่ะ”

“สามร้อยตำลึงขอรับ” นายหน้าจางตอบ

“สาม… สามร้อยตำลึงเชียวรึ” เถ้าแก่รองนึกว่าตัวเองหูแว่วเสียอีก

นายหน้าจางยิ้มให้เขา “ใช่แล้วท่าน ค่าเช่าจ่ายรายปี ค่ามัดจำหนึ่งพันตำลึง”

“แพงเกินไปแล้ว!” ขนาดว่าเถ้าแก่รองเป็นคนเมืองหลวง ยังรู้สึกเลยว่าราคานี้แพงโดยใช่เหตุ

นายหน้าจางอธิบายให้เขาฟัง “หากเป็นปีที่แล้ว ท่านอาจจะได้ราคาสองร้อยห้าสิบตำลึง แต่ปีนี้กั๋วจื่อเจียนกลับมาเปิดเรียนอีกครั้ง ทำให้ราคาพื้นที่แถวนี้ขึ้นสูงไปตามๆ กัน”

“ถ้าสามร้อยตำลึงแล้วได้ห้องนี้ยังว่าไปอย่าง” เถ้าแก่รองเอ่ยพลางชี้ไปทางห้องแถวข้างๆ ที่มีขนาดใหญ่กว่า

“ท่านแน่ใจหรือว่าจะเอาตรงนั้น” กู้เจียวเอ่ยถาม

“ก็มันมีพื้นที่เยอะกว่านี่นา!”

กู้เจียวพยักหน้าส่งสัญญาณให้นายหน้าจางหยิบเอกสารชุดหนึ่งขึ้นมา “ถ้าเช่นนั้น ก็ลงนามเลยดีไหมขอรับ”

“ไหนบอกว่าตรงนี้ถูกซื้อไปแล้วยังไงล่ะ” เถ้าแก่รองทำหน้าสงสัย

“ใช่แล้วท่าน ทำเลตรงนี้มีคนซื้อไปแล้ว เจ้าของคือจิ้งคงคนของข้าเอง เอาละ มา มา มา เวลาไม่คอยใคร สามร้อยตำลึงก็สามร้อยตำลึง ปล่อยเช่าถูกๆ ให้ท่าน” กู้เจียวเอ่ยพลางหยิบโฉนดออกมา

เถ้าแก่รองเอามือกดร่องใต้จมูก ก่อนจะเป็นลมล้มลงไป…

พอจิ้งคงรู้ว่ากู้เจียวกำลังจะเปิดโรงหมอ ก็พลันยกโฉนดที่ดินให้โดยไม่พูดอะไรสักคำ

แน่นอน กู้เจียวจะปล่อยให้เจ้าตัวเล็กเสียเปรียบได้อย่างไร น้ำใจก็ส่วนน้ำใจ ธุรกิจก็ส่วนธุรกิจ ไหนๆ ก็จะเช่าแล้ว มาเช่ากับคนกันเองน่าจะดีกว่า แต่ถ้าที่ตรงนี้ไม่ถูกใจเถ้าแก่รองนางก็ไม่บังคับ ใครจะไปรู้ล่ะว่าดันถูกใจเขาเฉย

กู้เจียวทำท่าแบมือสองข้าง “เรื่องนี้โทษข้าไม่ได้หรอกจริงไหม”

พอเถ้าแก่รองฟื้นมา พบว่าสัญญาถูกลงนามเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็จ่ายเงินและค่ามัดจำอย่างไม่เต็มใจ

หากว่ากันตามตรง ที่ทางตรงนี้ก็ยังไม่ได้ถูกใจเถ้าแก่รองเท่าไหร่นัก ต่อให้อยู่ใกล้กับกั๋วจื่อเจียนก็ตาม เพียงเพราะแค่มีกั๋วจื่อเจียนตั้งอยู่ใกล้ๆ ใช่ว่าจะช่วยค้ำจุนโรงหมอของเขาได้เสียทีเดียว

พอมาถึงวันที่สองของการต่อเติมโรงหมอ

ขณะที่เขากำลังเจรจากับช่างไม้ว่าจะตั้งตู้เก็บยาไว้ตรงไหน และขณะที่กู้เจียวกำลังใช้ไม้กวาดกวาดพื้น ก็มีบัณฑิตน้อยรูปงามเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าร้าน

เขาหรี่ตามองกู้เจียวอยู่พักหนึ่ง แล้วยืนนิ่งเหมือนว่ากำลังคิดอะไรอยู่

จากนั้นก็เดินเข้าไปใกล้ๆ กู้เจียว ใช้พัดชี้เข้ามาที่ตนเอง แล้วเอ่ยทัก “แม่หญิง จำข้าได้หรือไม่”

“จำไม่ได้” กู้เจียวตอบอย่าไม่ลังเล

“ทำไมเจ้าถึงจำข้าไม่ได้ละ ดูข้าสิ!” บัณฑิตน้อยเท้าเอวแล้วเดินเข้าไปใกล้ๆ กว่าเดิม

กู้เจียวไม่แม้แต่จะมองเขา ก้มหน้าก้มตากวาดพื้นด้วยความตั้งใจ

บัณฑิตน้อยพยายามเดินไปตรงหน้ากู้เจียว “เจ้าต้องจำข้าได้แน่นอน! เพราะข้าจำเจ้าได้!”

ตรรกะอะไรกัน

เจ้าจำข้าได้แปลว่าข้าต้องจำเจ้าได้หรืออย่างไร

ความพยายามของบัณฑิตน้อยไม่หยุดอยู่แค่นั้น จู่ๆ เขาลงไปคุกเข่าต่อหน้ากู้เจียวแล้วมองขึ้นมาพยายามสบตากับนาง

“ต้องการอะไร” กู้เจียวเริ่มจะหมดความอดทน

บัณฑิตน้อยหัวเราะ “ในที่สุดเจ้าก็จำข้าได้สักที”

“ที่นี่ยังไม่เปิดให้บริการ แนะนำว่าไปโรงหมออื่นเถอะ” กู้เจียวเอ่ย

“อ๋อ ที่แท้ที่นี่ก็คือโรงหมอนี่เอง เจ้าทำงานที่นี่รึ” ที่ถามออกไปแบบนั้นก็เพราะมองว่ากู้เจียวไม่น่าจะมีเงินเปิดโรงหมอ อย่างดีก็แค่เป็นลูกจ้างที่นี่นั้น

กู้เจียวไม่พูดอะไร ก้มหน้ากวาดพื้นต่อ

“เช่นนั้นข้าก็จะได้เจอเจ้าบ่อยๆ แล้วสิ!”

“เจ้าป่วยบ่อยรึไง” กู้เจียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ

บัณฑิตน้อยส่ายหัว นึกในใจ ช่างเป็นคนใจกว้างยิ่งนัก หากเป็นคนอื่นป่านนี้คงโดนด่าไปแล้ว จากนั้นก็พยายามชวนนางคุยต่อ “รู้หรือไม่ว่าพื้นที่รอบๆ กำลังจะเปลี่ยนเป็นอะไร”

“ข้าไม่รู้” กู้เจียวตอบ

“พื้นที่แถวนี้กำลังจะทำเป็นสำนักบัณฑิตน่ะสิ!”

“อ๋อ” กู้เจียวยังคงหน้านิ่ง

ส่วนเถ้าแก่รองที่บังเอิญได้ยินบัณฑิตน้อยพูดเรื่องพื้นที่แถวนี้ก็เกิดหูผึ่ง รีบพุ่งตัวมาทางนี้ แล้วพูดคุยกับบัณฑิตน้อย “เมื่อครู่เจ้าว่าอย่างไรนะ สำนักบัณฑิตอะไรรึ”

“พวกท่านไม่เคยได้ข่าวเลยรึ ไท่จื่อเฟยกำลังจะสร้างสำนักบัณฑิตสำหรับสตรีแล้ว! บนถนนเส้นนี้แหละ ตั้งแต่บริเวณทิศตะวันตกของร้านท่านไปจนถึงด้านหลัง ไท่จื่อเฟยทรงกว้านซื้อไว้หมดแล้ว” บัณฑิตน้อยเอ่ย พลางเอานิ้วชี้ที่จุดนี้ “ตอนแรกข้านึกว่าห้องแถวตรงนี้จะโดนซื้อไปด้วยเสียอีก แต่ด้วยความที่ที่ผ่านมาพวกเขาตามหาเจ้าของไม่เจอก็เลยเว้นเอาไว้ ว่าแต่พวกเจ้ามาเช่าตรงนี้ได้อย่างไรกัน ขนาดไท่จื่อเฟยยังตามหาเจ้าของที่ไม่เจอเลย ไฉนพวกท่านถึงหาเจอได้ล่ะ”

เถ้าแก่รองตอบในใจ ก็เพราะเจ้าของที่ตรงนี้เป็นเณรน้อยยังไงล่ะ!

ในเมื่อพื้นที่รอบๆ ตรงนี้กำลังจะเปิดสำนักบัณฑิตหญิง ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องทำมาค้าขายแล้วสิ

เถ้าแก่รองซ่อนท่าทีดีใจเอาไว้ แล้วเอ่ยถามบัณฑิตน้อย “เจ้าเข้าใจผิดหรือเปล่า พวกข้าไม่เห็นจะเคยได้ยินข่าวนี้มาก่อนเลย!”

“ข่าวภายในน่ะ ไม่แปลกหรอกที่พวกท่านไม่เคยได้ยิน!”

ข่าวภายในอย่างนั้นรึ กู้เจียวชำเลืองมองบัณฑิตน้อยผู้นี้

บัณฑิตน้อยทำท่าตบมือ “เอาละ ข้าต้องไปแล้ว ไว้มาหาพวกท่านใหม่อีกทีตอนสำนักบัณฑิตเปิดแล้ว! ไท่จื่อเฟยช่างเป็นคนมีวิสัยทัศน์ยิ่งนัก บุกเบิกสำนักบัณฑิตสำหรับสตรีแห่งแรกในแคว้นเจา ต่อไปเด็กผู้หญิงจะมีสิทธิ์ในการเรียนหนังสือเหมือนเด็กผู้ชายแล้ว! พวกท่านว่านางสุดยอดไปเลยใช่ไหม ร้อยปีข้างหน้า ประวัติศาสตร์จะต้องจารึกพระนางไว้อย่างแน่นอน!”

กู้เจียวไม่ได้สนใจว่าใครจะถูกจารึกอะไรยังไง แต่ที่รู้ๆ ก็คือ หากแถวนี้มีสำนักบัณฑิตหญิงตั้งขึ้นมาอย่างไรก็ส่งผลดีต่อธุรกิจของพวกเขา

เถ้าแก่รองหุบยิ้มแทบไม่ลง

ทำเลตรงนี้ช่างดีจริงๆ !

ในหัวของเขาปรากฏภาพเงินที่กำลังไหลมาเทมาหาเขา!

ข่าวการก่อตั้งสำนักบัณฑิตสตรีได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วในหมู่ชนชั้นสูง ราชวงศ์ยุคนี้ถือว่ามีหัวสมัยใหม่กว่ายุคก่อนที่มองว่าสตรีจะต้องอยู่กับเย้าเฝ้ากับเรือนเท่านั้น และหากต้องการเรียนหนังสือก็ทำได้แค่เชิญอาจารย์ไปสอนที่เรือน

กู้จิ่นอวี้เองก็เช่นกัน มีอาจารย์เข้ามาสอนหนังสือนางที่จวน

และในวันนี้เอง นางได้รับจดหมายเชิญเข้าเรียนที่สำนักบัณฑิตสตรี

นางเพิ่งรู้ข่าวว่าไท่จื่อเฟยวางแผนจะสร้างสำนักบัณฑิตสำหรับสตรีบริเวณใกล้ๆ กับกั๋วจื่อเจียน

“เจตนาที่ไท่จื่อเฟยมอบของขวัญให้ข้า มิใช่เพราะอยากให้ข้าไปเป็นท่านหญิง แต่เพราะต้องการให้ข้าเข้าเรียนที่สำนักบัณฑิตสตรีนั่นเอง”

ก็นะ ระดับไท่จื่อเฟยน่ะหรือจะแต่งตั้งให้ตนเป็นท่านหญิงง่ายๆ น่ะ

ด้วยความที่สำนักบัณฑิตสตรีเพิ่งจะริเริ่ม เป็นธรรมดาที่หลายๆ ตระกูลอาจยังไม่กล้าส่งบุตรสาวของตัวเองเข้าเรียน กู้จิ่นอวี้เป็นสตรีที่มีชื่อเสียงดีงามมาโดยตลอด หากให้จิ่นอวี้นำร่อง จะต้องมีคนมาสมัครเรียนตามแน่นอน