ตอนที่ 179 เสียงสนั่นลั่นก้องฟ้า

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

” เพราะเหตุใด?” ฉากเปิดตัวอันอลังการเปี่ยมรสนิยมนี้ นอกจากเหยียบเมฆเจ็ดสีศีรษะมีวงแหวนทองเรืองรองเข้ามาอย่างพระเอกแล้ว ทอดตามองดูทั่วทวีปฉงหลิง เกรงว่าคงไม่อาจหาได้อีก

“หนังตาของข้าเต้นกระตุกอย่างสาหัส พี่ฉินสมควรระวังไว้” สวีเซิ่งพยายามเหนี่ยวรั้ง

ฉินจิ่วเกอไม่แยแส สุภาพบุรุษเปิดกว้างสำรวม “พี่สวีวางใจเถอะ ซ้ายเงินทองขวาจองโลง ใช่แล้ว หนังตาข้างไหนของท่านกระตุกล่ะ?”

สวีเซิ่งเอ่ยอย่างสัตย์ซื่อ “สองข้าง”

“นั่นมันตาเหล่แล้ว ไม่เกี่ยวกับโชคดีร้าย” ฉินจิ่วเกอโพล่งออกมา

จากนั้นจุดโคมต่ออย่างไม่ถือสา ดวงไฟสามร้อยดวงสว่างเรืองรอง ราวหิ่งห้อยเริงระบำยามค่ำคืน

ฉินจิ่วเกอเหินขึ้นฟ้าราวหงส์สยายปีก สองเท้าสะกิดเบาๆ ใส่โคมที่ใหญ่ที่สุดดวงหนึ่ง

ประกายแสงสว่างมลังเมลืองวับวาว นำพาร่างของฉินจิ่วเกอลอยขึ้นสู่เบื้องบน ชายเสื้อขาวโบกสะบัดพลิ้วอย่างเป็นธรรมชาติและอิสรเสรี ค่อยๆ ลอยสู่กลางฟ้า

ร่างของฉินจิ่วเกอถูกห้อมล้อมด้วยดวงไฟ แสงโคมแห่งภูติพรายรายล้อมรอบ ยกลอยขึ้นสู่เก้าสวรรค์เหนือฟ้าเมฆาตำหนักศักดิ์สิทธิ์

สายลมโชยพัดแสงจันทร์กระจ่าง วิหคนกกาทั้งหลายเงียบเป็นเป่าสาก

ดวงไฟรายรอบ แสงเงาวับวอมแวม สไตล์อันเฉิดฉายเยาว์วัย โดดเด่นไม่เหมือนใคร

พิสุทธิ์ไพศาลสามารถเหาะเหินเดินอากาศ ท่องทะยานไปทั่วโลกกว้าง

ทว่าผู้ที่ใช้พลังยุทธ์ขั้นพิสุทธิ์ไพศาล ยืนหยัดท่ามกลางแสงไฟรายล้อม นับแต่โบราณกาลมาล้วนไม่มี น่าแตกตื่นสะท้านโลก

สวีเซิ่งพึมพำ ใคร่ครวญว่าตนเองใช่มีคนที่ชอบพอแล้วหรือไม่ มิเช่นนั้นสามารถหยิบยืมวิธีการเปิดตัวเช่นนี้ นับว่าไม่เลวเลย

นอกจากพรรคหลิงเซียวระยะนี้ฮวงจุ้ยผีสางยิ่ง เรียกว่าสิบหยินชั่วร้ายเก้าอาฆาต พิฆาตผีกระชากวิญญาณ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาวุโสสาม ยามนี้ควงหนังสติ๊ก ท่าทางเหมือนวีรบุรุษควงกระบี่คู่ใจทอดตามองทั่วทุกสารทิศ

อาวุโสใหญ่บรรลุเก้าดวงธาตุสูงสุด ตลอดร่างอัดแน่นด้วยพลังทะลวงฟ้า พลังหยั่งรู้ของมันเรียกว่าขั้นสุดยอด

ชั่วพริบตานั้น ท้องฟ้ามืดดับ ดาราลับล่วงไปชั่วครู่

อาวุโสใหญ่แผ่สัมผัสเทวะออกกวาดกราด สัมผัสได้ถึงรูปแบบเปิดตัวจอมปลอมของศิษย์ตน ยามนี้กำลังคิดร่อนลงสู่พรรคหลิงเซียวท่ามกลางแสงเทียนอันอบอุ่น

อาวุโสใหญ่ยืนกุมมือน้อยของศิษย์น้องเล็ก เด็กหญิงผ่านเวลามาสองปี ยามนี้กลายเป็นบุปผาแรกแย้ม

เกศาดำขลับรวบมวยอยู่กลางศีรษะ สูงส่งเย็นชาไม่นิยมพูดจา ชายกระโปรงขาวยาวพลิ้วไหว เรือนร่างอ้อนแอ้นสูงโปร่ง หว่างคิ้วแฝงกลิ่นอายนิยมชมชอบของผู้คน

หญิงงามเพียบพร้อม ประกายตาระริกไหว เปล่งประกายระยับวาววามราวอัญมณีดูเหมือนแฝงแววถวิลห่วงหาข่าวคราวดีงาม

มองดูคนอื่นๆ กำลังเล่นสนุกหยอกล้อหัวเราะสนุกสนาน

แต่ประกายนัยน์ตาของตงฟางฉิงอวี่ยามนี้คล้ายอดรนทนไม่ไหว ในใจไม่คิดรั้งรอเนิ่นนาน ในอกปรากฏภาพของคนผู้นั้นที่จากไปนานหลายปีที่เริ่มเก่าเหลืองตามวันเวลา ดวงหน้าพร่าเลือน

ยินดีโศกศัลย์ขุ่นเคืองต่อว่า ทั้งหมดคล้ายยังอยู่ในวันวาน หากแท้ที่จริงล้วนผ่านมานับร้อยค่ำวันคืน

อาวุโสใหญ่เองมองทะลุซึ้ง หากมิได้ชี้บอก เพียงเอ่ยปากคล้ายไม่เจตนา “เอ๋? ดูทางนั้นสิ ไฉนจู่ๆ ก็มีดวงอาทิตย์แดงเถือก?”

ตอนนี้คือเวลาเที่ยงคืน ยังห่างไกลจากช่วงเช้า เหล่าศิษย์ต่างแปลกใจ ไฉนจู่ๆ ดวงอาทิตย์ก็ขึ้นมาได้เล่า?

ตงฟางฉิงอวี่เองก็กลอกกลิ้งนัยน์ตาสุกใสคลอน้ำ มองผ่านไปทางทิศที่อาวุโสใหญ่ชี้บอก มองเห็นเมฆาชั้นแล้วชั้นเล่าม้วนตลบ ระหว่างมีดดาบคมเขี้ยวของพลทหารบนฟ้า ปรากฏประกายสีทองขึ้นมาจริงๆ

ประกายนัยน์ตาดำขลับคล้ายบังเกิดความพร่ามัวเลือนราง ประดุจดั่งมองเห็นเป็นหิ่งห้อยตัวใหญ่จำนวนมากมายกำลังรวมตัวกัน

ทอดตามองไป ท่ามกลางหมอกมัวพันลี้ ท้องฟ้าเจือด้วยไอหมอกหนาแน่น

“ดูนั่น! มีคน!”

เจ้าอ้วนน่าตายเบิกตาเล็กหยีเป็นเส้นเดียวของมันออกมา เลิกเปลือกตาทั้งบนล่าง อย่างไรก็ยังได้แค่เส้นเดียวอย่างนั้น

ทว่านี่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสายตาอันยาวไกลของมัน เพียงกวาดตามองครึ่งวินาที นิ่งตะลึงอีกครึ่งวินาที ก็ชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปยังเงาร่างคนอันเลือนรางกลางแสงไฟขอบฟ้า

ทุกผู้คนแตกตื่นตะลึง อัคคีไฟไร้น้ำหนัก เช่นเดียวกับเวลาที่ไม่อาจย้อนทวนกลับได้

ประกายไฟแลบแวบวับ ไฉนในนั้นถึงมีคนได้เล่า?

จากนั้น ตงฟางฉิงอวี่ที่ไร้อารมณ์ร่วม คว้ากระโปรงตนเองแน่น บีบเคล้นเส้นด้ายใยไหมไว้ในใจกลางฝ่ามือ

ยังจำได้ว่าหลายวันก่อน มีคุณชายชุดขาวในดวงใจนาง สนทนาพาที ชักนำนางปีนป่ายขึ้นสู่ยอดภูเขา ฝ่าดงหนามตะปุ่มตะป่ำ ค่ำคืนอันงดงามนั้น ปรากฏพลุไฟหลากสีสันสว่างจ้าราวดารา ยังมีโคมไฟลอยฟ้าในความฝันนั้น

มีเพียงเขาเท่านั้น ที่สามารถทำสิ่งของเหล่านั้นออกมาได้ เอาชนะใจของเด็กสาวไร้เดียงสา

ยามนี้ในใจล้วนถูกถมจนเต็มล้น ไม่อาจรับเอาเงาร่างของผู้อื่นได้อีกต่อไป ต่อให้เป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็กน้อยก็ไม่ได้

ดวงดาราคือเพื่อนเจ้าสาว จันทราและเมฆามาเป็นพ่อสื่อ ต่างร่วมกันอำนวยอวยพร กำนัลแสงเงินยวงฉาบทาพวกมัน ไม่ว่าศาสตราอาวุธวิเศษหรือเทพโอสถใด ล้วนไม่อาจเทียบเทียมได้

นั่นคือความทรงจำอันเลอค่า งดงามที่สุด ไม่มีสิ่งใดเทียบเปรียบได้

จับจูงมือกันอย่างไร้ข้อจำกัด เดินร่วมทางกันและกัน

เหยียบย่ำลงบนแผ่นดินกว้างใหญ่ ทอดตามองดูท้องฟ้ายาวไกล นับดวงดาวไร้สิ้นสุด ท่องทะยานบนเมฆขาวพลิ้ว

ท้องนภาสีดำประดับประกายพลุไฟอลังการ กาลเวลาและความทรงจำทับซ้อนกัน

ท้องฟ้ากลับไปเป็นค่ำวันนั้น ดวงดาวดวงนั้น คน ยังคงเป็นคนในค่ำคืนนั้น ไม่เคยเปลี่ยนไป ไม่เคยจากไปไหน

ตงฟางฉิงอวี่จู่ๆ ก็รู้สึกดวงตารื้นน้ำ กลางนัยน์ตาชืดชาปรากฏประกายบุปผาน้ำเบ่งบาน

เบื้องบนเวทีกลั่นน้ำค้างอันหนาวเย็นกลางเหมันต์ ถูกแต่งแต้มด้วยประกายอัญมณีระยับเป็นดวงๆ ร้อยเรียงเป็นวงแหวนอันสุดแสนงดงามประทับจิต

ปรารถนารอยแย้มยิ้มพันจินของโฉมงาม คิดถึงคะนึงหา มิสู้ได้พบหน้า

ฉินจิ่วเกอเองก็มองเห็นแววตาของหญิงงาม ในใจสะท้านหวั่นไหว คิดถลาลงสู่พื้นให้เร็วกว่านี้ โอบรัดสาวงามไว้แนบอก

เกิดเป็นคน ย่อมต้องใช้ชีวิตติดพื้นดิน คิดเหินบินขึ้นฟ้า แม้อิสรเสรี หากไร้ซึ่งความสนิทคุ้นเคย

นอกจากนี้ เช่นเดียวกับคำกล่าวของเหล่าเมธี สุดยินดีหรรษาคือโศกา

สรุปแล้วนี่ก็คือการกระตุ้นเตือนต่อชนรุ่นหลัง เกิดเป็นคนสมควรทำตัวติดดินเข้าไว้ ปล่อยวางบ้าง ไม่งั้นอาจมีเรื่องราวยุ่งยากตามมา

ขณะที่ฉินจิ่วเกอกำลังฉลองงานเลี้ยงจับคู่ อาวุโสสามที่ด้านหลังเขากำลังใช้รัศมีพลังแห่งทรราช เหนี่ยวสายรัดยางด้วยเรี่ยวแรงที่รวมรั้งไว้เนิ่นนานของมัน

พายุร้ายพัดวันฟ้าใส ชะตามนุษย์เองก็ไม่อาจทำนายได้เหมือนดินฟ้า นี่คือการควบคุมบงการแห่งสวรรค์ ไม่อาจพร่ำรำพันตัดพ้อผู้ใด

หนังยางเล็งเพ่งขึ้นสู่ฟ้า อาวุโสสามยกยิ้มมุมปาก สะบัดไหล่บิดเอว ย่นจมูกใหญ่โต หรี่ตาจนยิบหยี ลิ้นจรดเพดานปาก สุดท้ายตัดใจปล่อยมือ

เสียงขวับเขวี้ยวดังคราหนึ่ง เสียดบาดบรรยากาศความเงียบงันยามค่ำคืน รังสีฆ่าฟันอันสดใหม่กระแทกใส่อีกาที่บินไม่ขึ้น

ลูกกระสุนเงินพุ่งทะยานออก ทะลวงทะลุศิลาภูเขา ถล่มทลายปฐพี

ลากพาประกายอำมหิตพุ่งสูงล้ำ โบยบินขึ้นเหนือฟ้าอย่างฮึกเหิม ไม่อาจใช้กำลังแรงมนุษย์ไล่ติดตามเป้าหมายได้

ประดุจดั่งปีศาจวายุอสนีมหาอเวจีเก้านรก ควบประกายอัคคีหยินหยางจักรวาลสามสิบหกภพกวาดทลาย

ฉินจิ่วเกอเห็นนางในดวงใจอยู่ดีมีสุข ความหม่นหมองโศกาในใจก้มลายสลายหายไปกับเมฆหมอก

ขณะกำลังจะล้วงเอาชนวนจุดพลุออกมา คิดเสริมบรรยากาศอันเยาว์วัยแก่โคมไฟลอยฟ้า ก็พลันได้ยินเสียงแหวกตัดฝ่าอากาศราวสายอสนีบาตฟาดถล่มขลุกๆ ใส่หัวตัวเอง

ตงตง!

ตอนแรก เหมือนเสียงพระเคาะไม้บักฮื้อยามสวดบริกรรม

ครืนครืน

จากนั้น ฟังดูเหมือนคลื่นทะเลก่อร่างสร้างซัดสาด

ตูมตูมม

สุดท้าย กลับกลายเป็นถล่มศิลาฟ้าสะท้าน เบิกทะลวงทิศทั้งหก คล้ายสามารถทะลวงทะลุสู่เหนือยอดจักรวาล

พลานุภาพปานนั้น ฉีกกระชากห้วงมิติ ป่วนปั่นโลกา เป้าหมายของมันก็คือกลางหน้าผาก!

เสียงกลองครืน เสียงหัวใจเต้นกระหน่ำ

ฉินจิ่วเกอสังหรณ์ร้ายรุนแรง ตนเองเป็นถึงยอดยุทธ์พิสุทธิ์ไพศาล นอกเหนือจากติงหลันผู้พรสวรรค์เป็นพิเศษ แม้แต่พิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุดมันยังสามารถเอาชัยได้

แต่การโจมตีที่พลันมุ่งใส่อย่างกะทันหันนี้ แม้มีปฏิกิริยา ทว่าไม่อาจป้องกัน

ได้แต่เบิดตาโตจ้องมองไปเบื้องหน้า เปลวไฟท่วมฟ้าดูราวกับแสงโลหิต

เดิมทีมันคิดผ่านการเฉลิมฉลองหวนพบพานอย่างงดงาม ไม่คาดเพียงพริบตา กลับยากสำเร็จ!

ฉินจิ่วเกอโศกาอาดูรเต็มหน้า ต้องตะโกนออกมาต่อหน้าฝูงศิษยานุศิษย์พรรคหลิงเซียวที่กำลังซาบซึ้งตื้นตันและประหลาดใจอยู่เบื้องล่าง “ชิบ*!”

ผัวะ!

จักรวาลระเบิดแตกกระจาย ทำลายล้างสามพันไมล์

ฉินจิ่วเกอเบิกตาจ้องมอง ก้อนหินกระจอกก้อนเล็กๆ ที่ตนเองไม่มีทางมองเห็นในวันธรรมดาทั่วๆ ไป กลับโบยบินพุ่งทะยานเข้าใส่ใบหน้าของมันอย่างโอ่อ่าทระนง

ตลอดรายทาง ดวงไฟดวงน้อยกะพริบวับวาว ถูกก้อนหินทะลวงวายุทลายเมฆาพุ่งผ่าน พื้นผิวของศิลาเคลือบทาด้วยน้ำมันติดไฟ

ฉินจิ่วเกอที่เพิ่งล้วงเอาชนวนพลุไฟออกมา คิดจุดชนวนไฟ ไม่คาดคิดว่าต้องเผชิญสถานการณ์กะทันหัน ต้องแตกตื่นตะลึงลาน!

หลังจากร้องตะโกนชิบ* ศิษย์พี่ใหญ่พรรคหลิงเซียวกล้ำกลืนโทสะอัดอก เบิกตาดูชนวนพลุในมือที่ถูกจุด

ร่างสูงส่งของมันถูกกระแทกที่ใบหน้าอย่างแรง สมองของมันแทบกลายเป็นกากเต้าหู้

บนเวทีกลั่นน้ำค้าง ศิษย์ทั้งหลายเบิกตามองอย่างโง่งม อาวุโสประหลาดใจ

อะไรกัน? หรือว่ากระบวนท่านี้จะมีวัตถุประสงค์พิเศษ คิดทำร้ายตนเองเอาชนะใจสาว?

อาวุโสใหญ่ส่ายศีรษะ มันไม่เข้าใจอย่างยิ่ง ไม่เข้าใจเลย

“วู้ฮุ!”

เจ้าอ้วนน่าตายชี้นิ้วขึ้นฟ้าส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายจนบรรดาศิษย์ทั้งหลายที่ตัวแข็งอยู่ต้องสะดุ้งตื่นจากภวังค์

มองเห็นเจ้าอ้วนน่าตายยกสองมือขึ้นฟ้า สองตาถลึงมองจนกลมกว้าง เปล่งเสียงร่ำร้องราวสุกรถูกเชือด “ศิษย์พี่ใหญ่!”

บนท้องฟ้า ฉินจิ่วเกอรวมทั้งดวงโคมหลายร้อย และก้อนศิลาที่พุ่งมากระแทกหน้า พลันเกิดการเสียดสีอย่างรุนแรงจนเกิดประกายไฟ

ฉับพลันนั้น บรรยากาศเกิดการบีบอัดกะทันหันจนระเบิดจ้า ก่อเกิดเป็นศูนย์กลางพลังงานการระเบิดอันครึกโครม

กล่าวอย่างง่ายๆ ก็คือศิษย์พี่ใหญ่แห่งพรรคหลิงเซียว ยกมือกุมหน้าผาก ระเบิดออกที่กลางฟ้า

ทุกผู้คนนั่งลงกับพื้น ร่ำไห้อาลัยศิษย์พี่ใหญ่ ภาพเหตุการณ์ระเบิดยิ่งใหญ่อลังการ หนักหน่วงกระจัดกระจาย สะท้านสะเทือนขวัญ

เพลิงกาฬเผาผลาญท่วมฟ้า สุดท้ายปรากฏลูกไฟขนาดสิบจั้งพุ่งโหม่งลงพื้นดิน ยังเจิดจ้ายิ่งกว่าดวงอาทิตย์

ภาพเหตุการณ์นั้น หากขยายใหญ่ออก คาดว่าคงไม่ต่างจากฉากผานกู่เบิกฟ้าดินเท่าใด

ยิ่งใหญ่ไพศาล สะท้านเขย่าขวัญ หาที่เปรียบมิได้

ทุกผู้คนล้วนเบิกตามองดูศิษย์พี่ใหญ่ระเบิดไปต่อหน้า สุดท้ายท้องฟ้ากลายเป็นเงียบงัน ก้อนเนื้อร่างสีดำควันโชยโขมงก้อนหนึ่งร่วงลงสู่พื้น ตกลงยังหลังเขา

อาวุโสสามเก็บหนังสติ๊กกลับคืนไปนานแล้ว กลับไปพักผ่อนนอนหลับอย่างสบายอกสบายใจ

ไม่ทราบเพราะเหตุใด เมื่อครู่ตนเองยิงลูกหนังสติ๊กออกไป ก็พลันได้ยกภูเขาออกจากอก คล้ายได้โบยบินไปจนสุดใจ

อารมณ์ขุ่นมัวหลายวันมานี้ไม่เพียงสลายหายเป็นฝุ่นผง กระทั่งขอบเขตพลังฝีมือขั้นสูงสุดของมัน คล้ายบังเกิดการผ่อนคลายออกอีกด้วย

ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมยิ่ง!

นั่นก็คือสภาวะจิตของอาวุโสสามยามเข้านอน แสงจันทร์ดาราส่องสว่างกระจ่างใสสะท้อนในบึงน้ำเย็นแห่งห้วงฝัน

อาวุโสสี่กำลังหลับใหลเข้าสู่ความฝันอันแสนหวาน ที่ข้างหูพลันได้ยินเสียงเรียก ที่แท้เป็นอาวุโสใหญ่ที่พิโรธโกรธกริ้วทะลวงฝ่าเข้ามาหา คว้าคอเสื้อมันลากถูลู่ถูกังออกจากห้องนอน

น่าสมเพชอาวุโสสี่ยังคงอยู่ในความฝัน ไม่ทราบว่าที่แท้เกิดเรื่องใดขึ้น

คนสวมใส่เสื้อผ้าบางเบาเข้าที่นอน กางเกงยังเป็นกางเกงขาสั้น

เมื่อออกจากห้อง สายลมเหนือกรรโชกโบกโบยยะเยือก แช่แข็งอาวุโสสี่จนคิดกลับบ้าน สองขาเปลือยขนลุกชี้ชัน ยืนสั่นอย่างอาดูรกลางแจ้ง

น้ำมูกที่ไหลร่วงลง เพียงพริบตาก็กลายเป็นเกล็ดน้ำแข็ง

ผู้ฝึกตน ล้วนเป็นคนทั้งสิ้น มีเกิดแก่เจ็บตาย มีความรู้สึกของคน

มิเช่นนั้นในโลกไท่จี๋คงไม่มีต้าหลัวจินเซียน นั่นต่างหากที่มิใช่คนธรรมดา นั่นต่างหากจึงจะเรียกว่าเทพเซียนที่แท้จริง