ตอนที่ 111

My Disciples Are All Villains

ทุกๆ คนต่างก็เห็นพลังของจางฉิวชู พลังยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์มากับตา

เหล่าสาวกทั้งหลายที่อยู่บนแท่นบูชาหยกเขียวต่างตกใจเมื่อได้เห็นสิ่งนี้

หมิงซี่หยินขมวดคิ้ว เมื่อเขามองเห็นคลื่นพลังมุทราที่ทรงพลังมากยิ่งขึ้น เขาก็ได้ส่ายหัวก่อนที่จะพูดออกมา “ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่ายังไม่ต้องการที่จะสู้ที่นี่ ทำไมเจ้าต้องบังคับให้ข้าสู้กับเจ้าด้วยล่ะ? “

จางฉิวชูมองไปที่หมิงซี่หยินอย่างดูถูกก่อนที่จะพูดจาอย่างเย้ยหยันออกมา “เจ้าไม่ใช่คนที่จะตัดสินเรื่องนี้! “

พลังลมปราณได้พุ่งออกมาจากร่างกายของหมิงซี่หยินเช่นกัน พลังนั้นสามารถปัดป้องพลังจากคลื่นพลังมุทราได้ “กี่ปีมาแล้วที่พวกเราได้ประมือกัน พลังของเจ้าน่ะอ่อนแอลงไปรึเปล่า? “

“ขี้แพ้อย่างเจ้าจะพูดอะไรแบบนั้นได้ยังไงกัน เจ้ามันก็เก่งแต่ใช้ปากเท่านั้น” จางฉิวชูได้เริ่มโจมตีอย่างรวดเร็วดุจดั่งสายฟ้าก่อน

ปั๊ง! ปั๊ง! ปั๊ง!

ทั้งคู่ต่างก็ต่อสู้กันบนกลางอากาศ

คลื่นพลังของจากทั้งสองฝ่ายได้ซัดเข้าใส่กัน!

หมิงซี่หยินถอยกลับไปในขณะที่กำลังสู้อยู่ เขาได้รวบรวมคลื่นพลังก่อนที่จะซัดเป็นฝ่ามือเข้าใส่การโจมตีของจางฉิวชู

ปั๊ง! ปั๊ง! ปั๊ง!

ผู้ฝึกยุทธที่มีพลังวรยุทธต่ำกว่าขั้นมหาราชครูยากที่จะมองตามการต่อสู้ได้ทัน การต่อสู้ของผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์แบบนี้เป็นการต่อสู้ที่ยากจะพบเจอ ผู้ฝึกยุทธที่สามารถมองตามการต่อสู้ได้ทันได้จ้องมองการต่อสู้อย่างประทับใจ

“พลังมุทราของผู้อาวุโสยอดเยี่ยมจริงๆ ข้ามั่นใจว่าจอมวายร้ายนั่นจะต้องแพ้ในไม่ช้าแน่”

“หรือว่าจีเทียนเด๋าจงใจที่จะปราบปรามลูกศิษย์ของตัวเขาเองกันแน่ ทำไมถึงได้ส่งให้หมิงซี่หยินมาเจอกับผู้อาวุโสจางแบบนี้ ผู้อาวุโสจางเป็นผู้ที่มีพลังวรยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์เชียวนะ”

“นี่มันไม่มีอะไรแปลกเลย ผู้อาวุโสจางน่ะยังไม่แม้แต่จะเอาจริงด้วยซ้ำไป พวกเรามาดูกันต่อเถอะ…”

“แม้จะไม่มีผู้อาวุโสจาง แต่ยังไงพวกเราก็ยังมีท่านนักบวชผู้อาวุโสอยู่ ไม่จำเป็นจะต้องกังวลเลย”

เหล่าฝูงชนทั้งหลายพอใจกับคำพูดมาก พวกเขาได้แต่เฝ้ามองดูการต่อสู้ต่อไป

พลังคลื่นมุทราเป็นพลังที่คล้ายกับพลังฝ่ามือมุทรามาก หมิงซี่หยินรู้วิธีที่จะจัดการกับพลังมุทราเป็นอย่างดี ตัวเขาใช้พลังเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเพื่อปัดเป่าพลังคลื่นมุทราไป และเพราะแบบนั้นเองจางฉิวชูจึงกลายเป็นฝ่ายบุกและหมิงซี่หยินจึงเป็นฝ่ายที่ตั้งรับ

“ตาแก่ ข้าบอกเจ้าแล้วว่าอย่าทำแบบนี้! ” หมิงซี่หยินโบกแขนของตัวเอง ในตอนนี้ตัวเขายังคงใช้พลังของตัวเองปัดเป่าพลังโจมตีอย่างต่อเนื่อง

ปั๊ง! ปั๊ง! ปั๊ง!

หมิงซี่หยินล่าถอยไปด้วยในขณะที่ปกป้องตัวเอง

จางฉิวชูได้พูดออกมาในระหว่างที่โจมตี “อ่อนแอซะจริง! ” หมิงซี่หยินมีฝีมือไม่เท่าไหร่สำหรับจางฉิวชู ในตอนนั้นเองเขาก็รวบรวมพลังอีกครั้ง

หมิงซี่หยินรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติเกิดขึ้น ‘เจ้าแก่นี้ดูเหมือนว่าจะแข็งแกร่งขึ้นจากเมื่อก่อน…’ หมิงซี่หยินมองไปรอบตัว ในตอนนี้ตัวเขาอยู่ใกล้กับแท่นบูชาหยกเขียวมาก ถ้าหากจางหยวนฉานหรือผู้อาวุโสคนอื่นๆ ปรากฏตัวขึ้น หมิงซี่หยินเองก็จะตกเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบไป

ในตอนนี้หมิงซี่หยินสังเกตเห็นจางฉิวชูกางฝ่ามือออกมา ในตอนนั้นคลื่นพลังมุทรากว่าหลายสิบทิศได้ถูกฝ่ามือของเขาดูดเอาไว้ พลังลมปราณได้พุ่งออกมาจากร่างกายของจางฉิวชูก่อนที่จะหายไปอย่างรวดเร็ว

ปั๊ง! ปั๊ง! ปั๊ง!!

หมิงซี่หยินได้ถูกกดดันจนล่าถอยกลับไปเรื่อยๆ

จางยี่จ้องมองการต่อสู้อย่างพึงพอใจ เขาได้พูดออกมากับฝูงชนที่กำลังจ้องมองดูการต่อสู้อยู่ “ตามที่คาดการณ์เอาไว้ หมิงซี่หยินเจ้าน่ะก็ยังอ่อนแอเช่นเดิม”

หมิงซี่หยินหันหลังกลับก่อนที่จะหนีไป

“เจ้านี่มีเป้าหมายอะไรกันแน่? ” จางฉิวชูที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่แปลกใจ

หมิงซี่หยินได้พุ่งหนีออกไปกว่าหลายสิบเมตรแล้ว เขาอาศัยแรงกระแทกจากที่โดนฝ่ามือของจางฉิวชูเป็นแรงดีดที่ช่วยในการหลบหนี

“มาจับข้าสิถ้าหากเจ้ากล้าพอ…ศิษย์พี่สามของข้ากับอาจารย์กำลังจะมา! “

จางฉิวชูไม่ได้คิดว่านั่นเป็นเรื่องจริง เขาได้พูดออกมาอย่างเย็นชาในระหว่างที่กำลังตามล่าต่อไป “วิ่งหนีอย่างงั้นหรอ? มันสายไปซะแล้วล่ะ! ” จางฉิงชูได้ปลดปล่อยพลังร่างอวตารแห่งร้อยวิถีออกมา “พลังร่างอวตารแห่งร้อยวิถี! “

ด้วยพลังร่างอวตารที่เปิดใช้ทำให้จางฉิวชูสามารถเพิ่มความเร็วการเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว ตัวเขาได้ปรากฏตัวข้างๆ กับหมิงซี่หยินก่อนที่จะซัดฝ่ามือเข้าใส่

ตู๊ม!

“ข้ารู้อยู่แล้วเจ้าแก่! ” หมิงซี่หยินเองก็ได้ใช้พลังร่างอวตารแห่งร้อยวิถีเช่นเดียวกัน และเพราะแบบนั้นหมิงซี่หยินจึงสามารถหลบการโจมตีอันรุนแรงได้

แต่ถึงแบบนั้นพลังร่างอวตารแห่งร้อยวิถีของจางฉิวชูก็มีดอกบัวผลิกลีบทั้งหมดถึง 2 กลีบด้วยกัน ในขณะเดียวกันพลังร่างอวตารของหมิงซี่หยินทั้งเล็กกว่าและยังไม่มีกลีบดอกบัวแม้แต่สักกลีบ เมื่อพลังร่างอวตารทั้งสองได้เข้าปะทะกัน มันเป็นเหมือนกับการต่อสู้ระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ หมิงซี่หยินได้ล้มลงกับพื้นอย่างเลี่ยงไม่ได้

เหล่าสาวกที่ยืนอยู่บนแท่นบูชาหยกเขียวต่างเห็นฉากปะทะอันยิ่งใหญ่อันนี้ได้ดี

“พลังร่างอวตารของท่านผู้อาวุโสจางมีถึง 2 กลีบด้วยกัน หมิงซี่หยินน่ะได้แพ้ไปแล้ว! “

“แต่พวกเราก็ไม่ควรที่จะดูถูกหมิงซี่หยินจะดีกว่า ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่าเจ้านั่นจะมีพลังร่างอวตารแห่งร้อยวิถีได้ เจ้านั่นได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์ไปแล้วสินะ”

“แต่เจ้านั่นน่ะดันโชคไม่ดีเอาซะเลย ท่านผู้อาวุโสจางน่ะอยู่ที่นี่แล้ว และเจ้านั่นก็วิ่งมาหาเขาด้วยตัวเองแบบนี้ ดูเหมือนว่าท่านผู้อาวุโสจางจะเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของหมิงซี่หยินสินะ! “

เหล่าสาวกจากแท่นบูชาหยกเขียวต่างก็รู้สึกตื่นเต้นและภูมิใจเมื่อเห็นฉากการต่อสู้เมื่อครู่

ในตอนนั้นเองบี่เอี๊ยนได้ลอยอยู่บนขอบฟ้า ลู่โจวกำลังนั่งอยู่บนหลังของมันและกำลังเฝ้าดูเหตุการณ์เบื้องล่างอย่างใจเย็น

“ท่านอาจารย์ พวกเราจะไม่ช่วยศิษย์พี่สี่กันหน่อยหรอ? ” หยวนเอ๋อถามออกมาอย่าร้อนใจ

“หมิงซี่หยินน่ะมีพลังยุทธอยู่ที่ขั้นศักดิ์สิทธิ์นานแล้ว ข้าไม่คิดว่าเจ้านั่นจะมีพรสวรรค์น้อยไปกว่าด้วนมู่เฉิงหรอกนะ ถ้าหากข้าลงมือช่วยจริง เจ้านั่นจะได้ฝึกฝนตัวเองในการต่อสู้ได้ยังไงกัน? ” ลู่โจวพูดออกมาอย่างเฉยเมย

“ท่านอาจารย์ฉลาดหลักแหลมจริงๆ ข้าก็อยากที่จะต่อสู้…กับเจ้าพวกนั้นเหมือนกัน” หยวนเอ๋อได้ชี้ไปยังเหล่าสาวกทั้งหลายที่อยู่บนแท่นบูชาหยกเขียว

“แค่ดูก็พอ อย่าซนซะล่ะ” ลู่โจวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

“ค่ะ”

เหล่าศิษย์สาวกทั้งหลายที่อยู่บนแท่นบูชาหยกเขียวล้วนแต่เป็นผู้ฝึกยุทธที่มีพลังวรยุทธระดับต่ำต้อย คงจะไม่มีความหมายอะไรที่จะต้องไปสู้กับเจ้าพวกนี้

เมื่อจางฉิวชูสามารถโจมตีโดนหมิงซี่หยิน เขาก็จับจ้องไปที่พื้นดินอย่างไม่ละสายตา ‘การโจมตีนี้ทำให้หมิงซี่หยินไม่บาดเจ็บสาหัสก็ต้องตายไปแล้วแน่’

หมิงซี่หยินตกลงบนพื้นเนื้อตัวนั้นเต็มไปด้วยฝุ่นควัน เหล่าผู้เฝ้าสังเกตการณ์ทั้งหลายต่างก็คาดสายตาไปจากเขา

เมื่อฝุ่นควันหายไป ในตอนนั้นเสียงอะไรบางอย่างก็ได้ดังขึ้นมา

พรึ๊บ! พรึ๊บ! พรึ๊บ!

ในตอนนั้นเองเถาวัลย์อันแปลกประหลาดก็เริ่มงอกขึ้นมาจากพื้นดิน เถาวัลย์พวกนั้นตรงไปที่จางฉิวชู

“เคล็ดวิชาเวหาพงพนาอย่างงั้นหรอ? ” ในฐานะที่จางฉิวชูเป็นคู่ปรับเก่าของหมิงซี่หยิน ตัวเขาจำเคล็ดวิชานี้ได้ดี นี้ถือเป็นจุดเด่นของผู้ใช้เคล็ดวิชาเวหาพงพนา ผู้ใช้เคล็ดวิชานี้สามารถใช้พลังลมปราณที่มีเพื่อกระตุ้นให้พืชพรรณต่างๆ เจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ถ้าหากหมิงซี่หยินได้อยู่ในป่าแล้ว พลังวรยุทธที่ตัวเขามีจะแข็งแกร่งขึ้นเป็นอย่างมาก ‘เจ้านั่นตั้งใจจะทำอะไรกันแน่? ‘

“เจ้าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์! เจ้าคิดว่าข้าจะไม่มีวิธีรับมือกับเคล็ดวิชาเวหาพงพนาของเจ้าหลังจากที่ผ่านมาได้หลายปีแล้วอย่างงั้นหรอ? ” จางฉิวชูตะโกนออกมาในขณะที่กำลังเรียกพลังร่างอวตารออกมาอีกครั้ง แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไรเขาก็ถูกเถาวัลย์พันธนาการร่างเอาไว้ เถาวัลย์พวกนี้เริ่มเติบโตและหนาแน่นมากยิ่งขึ้น

“ท่านผู้อาวุโส! ” เหล่าสาวกจากแท่นบูชาหยกเขียวต่างตกใจที่เห็นแบบนั้น

ในเวลานั้นเองพลังงานบางอย่างก็ได้พุ่งออกมาจากเถาวัลย์

ตู๊ม! ตู๊ม! ตู๊ม!

ในตอนนั้นเองเถาวัลย์ทั้งหลายก็ถูกเผาไป มันถูกเผาจนหดเล็กลงไปในทันที

“เจ้าแก่! ลืมมันไปซะเถอะ! ข้าไม่ได้คิดจะสู้กับเจ้าในวันนี้! ” หมิงซี่หยินไอออกมาก่อนที่จะหันหลังกลับไปเพื่อหนี

“…”

เมื่อเห็นแบบนั้นสีหน้าของลู่โจวก็ยังคงนิ่งเฉย ตัวเขารู้สึกพูดไม่ออกเมื่อเห็นหมิงซี่หยินพยายามที่จะหนี ลูกศิษย์ของเขาหมิงซี่หยินคนนี้เดิมทีก็มักจะหนีเอาชีวิตรอดได้เก่งกาจอยู่แล้ว แต่ก็เพราะแบบนั้นลูกศิษย์คนนี้จึงคิดแต่จะวิ่งหนีเอาชีวิตรอดอย่างเดียว ลูกศิษย์คนนี้ไม่ได้คิดแม้แต่จะเผชิญหน้ากับศัตรูเลยแม้แต่น้อย

หมิงซี่หยินยังคงวิ่งหนีต่อไป

จางฉิวชูที่เห็นแบบนั้นก็ได้ตะโกนออกมา “จอมวายร้ายของศาลาปีศาจลอยฟ้ามีดีแค่นี้สินะ….” เสียงของเขาดังไปทั่วทั้งป่าแห่งนี้

เมื่อได้ยินแบบนั้นเหล่าสาวกทั้งหลายที่อยู่บนแท่นบูชาหยกเขียวต่างก็หัวเราะเยาะออกมา ดูเหมือนว่าจอมวายร้ายของศาลาปีศาจลอยฟ้าจะไม่ได้น่ากลัวเหมือนกับที่พวกเขาเคยจินตนาการเอาไว้ จอมวายร้ายนั่นได้หนีไปอย่างรวดเร็วเพราะความหวาดกลัว!

จางฉิวชูได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึก “ด้วยพลังร่างอวตารดอกบัวสองกลีบของข้า เจ้าถึงกับต้องแบกพลังร่างอวตารไร้กลีบดอกบัวของเจ้าหนีไปอย่างน่าสมเพชแบบนี้ ช่างน่าไม่อายซะจริง”

พลังร่างอวตารแห่งร้อยวิถี!

กระบวนท่าขั้นสุดยอด!

จางฉิวชูได้ปลดปล่อยพลังที่มีออกมาอีกครั้ง หลังจากนั้นเขาก็เคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว ในตอนนี้เขาสามารถไล่ตามหมิงซี่หยินได้ทันอีกครั้ง คลื่นพลังจากร่างอวตารของจางฉิวชูก็ได้ปล่อยพลังออกมาอย่างมหาศาลใส่หมิงซี่หยิน

ตู๊ม!

ครั้งนี้หมิงซี่หยินไม่ได้ใช้พลังร่างอวตารของเขาป้องกันตัวเองเอาไว้ได้ทัน ตัวเขาในตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากเรือเล็กที่กำลังลอยล่องอยู่ที่กลางทะเลที่เต็มไปด้วยพายุลูกใหญ่ หมิงซี่หยินที่ถูกการโจมตีเข้าไปเต็มๆ ได้ร่วงลงกับพื้น หมิงซี่หยินพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะห้ามเลือดของตัวเองเอาไว้ “เข้ามา! เจ้าน่ะฆ่าข้าไม่ได้หรอก! “

จางฉิวชูได้พูดออกมาอย่างหยิ่งผยองในระหว่างที่บินอยู่กลางอากาศ “เจ้าคิดว่าจะยั่วยุให้ข้าใช้สุดยอดเคล็ดวิชาได้อย่างงั้นหรอ? เจ้าน่ะมันอวดดีจนเกินไป! เจ้าน่ะก็ไม่ต่างอะไรจากคนที่ตายไปแล้ว! ” ทันทีที่พูดจบจางฉิวชูก็ได้ยกมือขวาของเขาขึ้นมา ในตอนนั้นเองอาวุธสีเทาก็ได้ปรากฏขึ้นบนมือ มันหมุนไปมาครู่หนึ่งก่อนที่จะหยุดนิ่งอยู่ในมือของเขา อาวุธที่ปรากฏออกมาเป็นกระบี่ที่มีสีเทาครึ่งเล่มและสีแดงเข้มอีกครึ่งเล่ม

เหล่าสาวกที่อยู่บนแท่นบูชาหยกเขียวต่างก็รู้สึกตกตะลึงเมื่อได้เห็นอาวุธชิ้นนี้

“กระบี่ตัดชีวา! นั่นมันกระบี่ตัดชีวาของท่านผู้อาวุโสจาง! “

“สามปีก่อนท่านผู้อาวุโสจางสามารถเอาอาวุธระดับสรวงสวรรค์ชิ้นนี้กลับมาจากหรงเป่ยได้! “

“อย่างงี้เองสินะ ข้ารู้แล้วว่าทำไมเขาถึงใช้พลังขั้นสุดยอดติดต่อกันมากขนาดนี้ ท่านผู้อาวุโสมีอาวุธระดับสรวงสวรรค์อยู่นี่เอง…”

“หมิงซี่หยินเจ้าน่ะได้ตายไปแล้ว! ทุกๆ ครั้งที่กระบี่เล่มนี้ปรากฏออกมา มันจะต้องพรากชีวิตของศัตรูไป! “

ซู่ว! ซู่ว! ซู่ว!

กระบี่ตัดชีวาสั่นไปมา หลังจากนั้นคลื่นพลังอันบริสุทธิ์ก็ได้ห่อหุ้มกระบี่เล่มนั้นเอาไว้

“หมิงซี่หยิน ตายซะ! “

หมิงซี่หยินไม่คิดมาก่อนว่าจางฉิวชูจะมีอาวุธระดับสรวงสวรรค์แบบนี้ และนอกจากนี้เขายังเป็นผู้รู้จุดอ่อนของเคล็ดวิชาเวหาพงพนาดี ในตอนนี้หมิงซี่หยินไม่มีทางที่จะเอาชนะเขาได้เลย!

จางฉิวชูได้ยกกระบี่ตัดชีวาขึ้น! หลังจากนั้นเขาก็ได้ใช้มันฟาดลงไปกับพื้น แต่ก่อนที่จะทำแบบนั้นได้เสียงของอะไรบางอย่างก็ได้ลอยเข้ามาใกล้มากขึ้น

พรึ๊บ!

เคียวพื้นพิภพและปลอกอาวุธได้ร่วงหล่นจากบนท้องฟ้าก่อนที่จะตรงไปยังมือของหมิงซี่หยิน