ตอนที่ 142 วางแผนปัดแข้งปัดขากัน เกิดเรื่องวุ่นวายในสวนดอกไม้ (4)

หวนคืนชะตาแค้น

“องค์หญิงเอ่ยชมเกินไปแล้วเพคะ หม่อมฉันก็ทำไปมั่วซั่วเท่านั้นเอง” มู่ชิงอีกล่าว

องค์หญิงหมิงเวยมองผ้าปิดหน้าของมู่ชิงอีแล้วลอบถอนหายใจเงียบๆ แววตาที่มองมู่ชิงอีแฝงไปด้วยความเห็นใจและปวดใจ เอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “คนแปลกประหลาดบนโลกนี้มีอยู่มาก เจ้าก็อย่าเก็บเอามาใส่ใจเลย” มู่ชิงอีนิ่งไป ครั้นเห็นแววตาที่แฝงนัยยะบางอย่างกวาดมองตนเป็นระยะๆ ถึงได้เข้าใจว่าองค์หญิงหมิงเวยกำลังปลอบใจนางอยู่เลยอดยิ้มน้อยๆ ไม่ได้ “ขอบพระทัยองค์หญิงเพคะ ไม่ต้องเป็นห่วงหม่อมฉัน ไม่แน่…คนที่ควรเป็นห่วงคือตัวพวกนางเอง”

องค์หญิงหมิงเวยชะงักแล้วสำรวจมองมู่ชิงอีอย่างละเอียดครู่หนึ่ง ฉับพลันก็ผุดยิ้มเอ่ยว่า “ช่างเถิด ข้าควรจะมองออกนานแล้ว ข้ากับเจ้า…ไม่เหมือนกัน”

มู่ชิงอีกะพริบตาอย่างฉงน แม้แต่คนที่ฉลาดอย่างนางก็ไร้หนทางจะเข้าใจได้ว่าประโยคนี้ขององค์หญิงหมิงเวยหมายความว่าเช่นใดในเวลาอันสั้น ทว่าองค์หญิงหมิงเวยกลับไม่คิดจะอธิบาย นางแค่ยิ้มน้อยๆ แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

บรรดาสตรีสูงศักดิ์ของเหล่าขุนนางมารวมตัวกันนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร แต่ละคนแค่พูดคุยแลกเปลี่ยนกันเสียงเบาซึ่งความจริงแล้วเป็นเรื่องข่าวลือที่ทุกคนต่างรู้ดีอยู่แล้ว รวมถึงพูดคุยเรื่องขบขันเป็นเพื่อนฮองเฮาบ้างเป็นครั้งคราว มู่ชิงอีนั่งพูดคุยเป็นเพื่ององค์หญิงหมิงเวยอยู่ด้านหน้าสุดย่อมเห็นปฏิสัมพันธ์ของเหล่าพระสนมด้านบนในสายตาอยู่แล้ว เหมือนว่าหรงเฟยมักจะพยายามหาเรื่องไม่น่าภิรมย์ใจให้มู่เฟยหลวน แต่ในท้องของมู่เฟยหลวนมีบุตรคอยปกป้องไว้อยู่ อีกทั้งตัวนางเองก็มาจากตระกูลที่ไม่ได้ต่ำต้อย ยิ่งไปกว่านั้นความเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทก็มีมากกว่า ดังนั้นหรงเฟยย่อมไม่ได้อยู่ในสายตาของนางอยู่แล้ว นางมักโต้กลับด้วยการเสแสร้งแกล้งยิ้ม บางครั้งก็ยั่วโมโหจนหรงเฟยต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทว่าฮองเฮากลับไม่กล้าล่วงเกินใคร นางเพียงยิ้มแผ่วเบานั่งดูอยู่ด้านข้างและยามที่ทั้งสองเริ่มทะเลาะกันถึงจะเอ่ยขึ้นมาไม่กี่ประโยค

หรงเฟยเองก็เป็นบุตรีของท่านแม่ทัพ นางเป็นบุตรีของภรรยาเอกซึ่งหากเทียบพื้นเพแล้วนางมีความตรงไปตรงมากกว่ามู่เฟยหลวนแสนเจ้าเล่ห์อยู่ไม่น้อย ครั้นเห็นว่าลับฝีปากนางไม่ไหว ดวงตาก็เหลือบต่ำลงไปเห็นมู่อวิ๋นหรงที่หน้าตาสะสวยหมดจดสวมชุดสีชมพูบานเย็นเข้าพอดี ใบหน้าจึงผุดรอยยิ้มเย็นชาออกมา จากนั้นก็ยกยิ้มกล่าว “ใช่แล้วน้องหญิง คุณหนูสามของจวนเจ้าก็มาด้วยมิใช่หรือ เหตุใดถึงไม่เชิญนางมาพูดคุยด้วยสักหน่อยเล่า รออีกไม่นานคุณหนูสามก็ต้องอภิเษกกับหนิงอ๋องแล้ว ถึงตอนนั้นโหรวเฟยคงไม่ได้ออกนอกวังไปส่งน้องสาวออกเรือนกระมัง”

โหรวเฟยหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อยยิ้มบางกล่าว “ลำบากพี่หญิงต้องเป็นห่วงแย่เลยเพคะ แต่ตอนนี้พูดอะไรไปก็เกรงว่านางจะคิดว่าเราไม่สำรวมกิริยามากกว่า”

หรงเฟยปิดปากหัวเราะคิกคักกล่าว “จะเป็นอย่างนั้นได้เช่นไร หากจะหัวเราะคงหัวเราะเยาะไปนานแล้ว คุณหนูสามยังอายุไม่ถึงวัยปักปิ่นเลยก็คิดเรื่องแต่งงานของตัวเองแล้ว เพียงแต่น่าสงสารคุณหนูสี่…ฉังหนิงจวิ้นจู่เหลือเกิน แต่ดูจากตอนนี้แล้ว…ถือว่าจวิ้นจู่ก็มีบุญเพราะเรื่องเลวร้ายเหมือนกัน…”

มู่เฟยหลวนถลึงตาจ้องหรงเฟยอย่างชิงชังแวบหนึ่งแล้วยิ้มเย็นชาเอ่ย “หรงเฟยหมายความว่าหนิงอ๋องเป็นแบบนี้เพราะเวรกรรมอย่างนั้นหรือ แช่งองค์ชาย…มิใช่โทษสถานเบาเลยนะเพคะ!” หรงเฟยปิดปากทำทีหวาดกลัวเอ่ย “โหรวเฟย เจ้าอย่าใส่ความข้าต่อหน้าคนมากมายสิ ข้าขี้ขลาด ตอนแรกเรื่องยกเลิกงานอภิเษกมิใช่ว่าหนิงอ๋องเอ่ยขอสักหน่อย ถือว่าหนิงอ๋อง…ก็ถูกทำให้พลอยลำบากไปด้วยมากกว่า”

ไม่ว่าตอนแรกมู่หรงอานจะมีท่าทีเช่นไรตอนขอยกเลิกการอภิเษก แต่ความจริงจวนซู่เฉิงโหวเป็นฝ่ายบอกเองว่าคุณหนูสี่ร่างกายอ่อนแอโรครุมเร้า ไร้ความสามารถจะรับตำแหน่งพระชายาของหนิงอ๋องได้ เดิมทีหลังจากยกเลิกการอภิเษกไปฮ่องเต้ก็ไม่ได้คิดจะประทานการอภิเษกให้มู่อวิ๋นหรงสักนิด ในเมื่อมู่อวิ๋นหรงก็เป็นเพียงบุตรอนุเท่านั้น อีกทั้งเดิมทีฮ่องเต้แคว้นหวาก็กลัวว่าโอรสของตนจะได้ไปอยู่กับคนไม่ดี และคงมิอาจทำเรื่องอับอายให้องค์ชายอภิเษกกับบุตรอนุคนหนึ่งแล้วขึ้นเป็นพระชายาได้ แต่สุดท้ายไม่รู้ว่าโหรวเฟย กงอ๋องและอวิ๋นเฟยไปพูดเช่นไรจนยอมกำหนดงานอภิเษกขึ้นมา ส่วนหนิงอ๋องก็ไม่ได้ติดใจอะไรเลยเป็นผลทำให้ไม่มีใครสนใจเรื่องนี้อีก

ถึงแม้เสียงที่มู่เฟยหลวนและหรงเฟยคุยกันจะไม่ได้ดังนัก ทว่ามู่ชิงอีและองค์หญิงใหญ่ที่พากันเอือมระอาต่างอยู่ใกล้พวกนางไม่น้อย สองสาวที่ได้ฟังพวกนางทะเลาะตอบโต้กันไปมา องค์หญิงหมิงเวยจึงขมวดคิ้วอย่างนึกรังเกียจแล้วส่งยิ้มเย้ยหยันให้มู่ชิงอี มู่ชิงอีย่อมเข้าใจความหมายขององค์ใหญ่หมิงเวยอยู่แล้วจึงยิ้มบางแล้วก้มหน้าไม่มองคนด้านบนอีก

“กราบทูลฮองเฮา แม่นางเชียนหลิงมาแล้วเพคะ” นางในคนหนึ่งเข้ามากราบทูลด้วยเสียงนอบน้อม

ฮองเฮามุ่นคิ้วเอ่ยถาม “แล้วเหตุใดไม่เชิญนางเข้ามาเล่า”

นางในมีท่าทีลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วกราบทูลว่า “คุณชายเว่ยพาแม่นางเชียนหลิงส่งเข้าประตูวังมา เดิมทีควรพานางเข้ามาทำความเคารพฮองเฮา แต่แม่นางเชียนหลิงสุขภาพไม่ค่อยดีนัก เพิ่งเดินถึงสวนดอกไม้ก็อาการกำเริบ หม่อมฉันเลยทำได้เพียงพานางไปพักผ่อนที่ศาลารั่วหวาตรงสวนดอกไม้แล้วถึงมากราบทูลพระองค์เพคะ”

ฮองเฮาสีหน้าเปลี่ยนแล้วรีบเอ่ยถามว่า “เชิญหมอหลวงมาหรือยัง”

นางในคนนั้นพยักหน้าตอบ “เชิญมาแล้วเพคะ”

“เช่นนั้นก็ดี ให้คนดูแลแม่นางเชียนหลิงให้ดี อย่าให้เกิดเรื่องอันใดขึ้นเด็ดขาด เจ้ากลับไปบอกว่าไม่จำเป็นต้องมาทำความเคารพข้าหรอก พักผ่อนให้ดีเถิด” ฮองเฮาทรงรับสั่งไป

รอจนกระทั่งนางในคนนั้นออกไป ทุกคนต่างก็พากันแปลกใจว่า แม่นางเชียนหลิงที่ทำให้ฮองเฮาทรงดูจริงจังขนาดนี้เป็นใครกันแน่ อีกทั้งดูเหมือนจะมีความเกี่ยวข้องกับคุณชายเว่ยด้วย แต่ตามที่เล่าลือมาทางบ้านคุณชายเว่ยไม่มีเครือญาติและภรรยาที่ไหน

“ฮองเฮาเพคะ แม่นางเชียนหลิงเป็นใครกันหรือ” หรงเฟยชิงถามก่อน

ฮองเฮายิ้มกล่าว “พวกเจ้าคงยังไม่รู้ แม่นางเชียนหลิงผู้นี้ก็คือคู่หมั้นของคุณชายเว่ย ว่ากันว่าแม่นางสุขภาพไม่ดีมาตั้งแต่ยังเยาว์ ยิ่งไปกว่านั้นยังโตมาพร้อมกับคุณชายเว่ยอีกด้วย ตามที่คุณชายเว่ยบอก คิดว่าจะจัดงานแต่งปีหน้า เพราะเหตุนี้เลยถือโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพของฝ่าบาทในปีนี้พาแม่นางเชียนหลิงมาเมืองหลวงด้วยกัน เกรงว่าวันหน้าคุณชายเว่ยคงอยู่เมืองหลวงแคว้นหวาอีกนาน” เรียกได้ว่าเว่ยอู๋จี้เป็นเศรษฐีอันดับหนึ่ง อีกอย่างไม่มีใครรู้เลยว่าตกลงแล้วเขาเป็นคนแคว้นไหนเพราะแทบไม่อยู่กับที่ ไม่ว่าจะแคว้นหวา แคว้นเย่ว์ แคว้นเป่ยฮั่นล้วนมีจวนตั้งไว้ หากเขายินดีลงหลักปักฐานที่แคว้นไหน ถึงแม้จะไม่ได้มีความสำคัญต่อบ้านเมืองแต่กลับมีผลต่อเศรษฐกิจอย่างมากแน่นอน

นอกจากตกตะลึงแล้ว ทุกคนต่างก็อดทนต่อความอยากรู้อยากเห็นไม่ได้

คู่หมั้นของคุณชายเว่ยผู้นี้ไม่เคยได้ยินใครพูดถึงมาก่อน อีกอย่างฮองเฮาก็เรียกชื่อของนางแปลกๆ โดยปกติแล้วขอแค่คนที่มีสถานะสักหน่อย หากจะเรียกคงเรียกแซ่สกุลหรือนามส่วนตัวไปเลยเพราะในเมื่อนามส่วนตัวไม่เหมาะที่จะป่าวประกาศบอกใคร แต่แม่นางเชียนหลิงกลับไม่เป็นเช่นนั้น ตอนที่ฮองเฮาเรียกไม่ได้สื่อถึงความเลินเล่อเลยสักนิด อีกอย่างฮองเฮาย่อมไม่มีทางผิดพลาดเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ เช่นนั้นก็ต้องเพราะแม่นางเชียนหลิงมีชื่อเรียกเช่นนี้อยู่แล้วอย่างนั้นหรือ

“เสด็จแม่ หมิงฮุ่ยอยู่ไหนหรือเพคะ” จู่ๆ องค์หญิงใหญ่ที่นั่งอยู่ด้านหน้าก็เปิดปากถามพลางขมวดคิ้ว

คนที่นั่งในพระตำหนักเสียนเต๋อล้วนเป็นพวกบรรดาฮูหยินและคุณหนูของสกุลขุนนาง องค์หญิงและจวิ้นจู่วัยเยาว์ไม่กี่คน รวมถึงองค์หญิงไหวหยางและหย่งจยาจวิ้นจู่ต่างไม่มีใครอยู่เลย ฮองเฮากลัวว่าพวกนางนั่งอยู่ที่นี่จะเบื่อหน่ายเลยรับสั่งให้พวกนางออกไปเที่ยวเล่นนานแล้ว นางชะงักไปครู่หนึ่ง คิ้วตึงพลางครุ่นคิดแล้วเอ่ย “หย่งจยาจวิ้นจู่บอกว่าอยากไปชมดอกไม้ที่สวน แล้วพากันไปหมดเลยหรือ”

องค์หญิงหมิงเวยมุ่นคิ้วกล่าว “เช่นนั้นเสด็จแม่ส่งคนไปตามนางกลับมาเถิด อย่าให้เกิดเรื่องอันใดขึ้นเลยเพคะ

ตอนต่อไป