บทที่ 152 เล่นสนุกกับองค์ชายสาม

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

“กลุ่มของพวกเราเน้นเรื่องอิสรภาพในการแสดงออก” เฮ่อเหลียนเวยเวยครุ่นคิดอยู่นาน จนในที่สุด ก็สามารถหาคำตอบที่ตนเองพอใจได้ เพราะสุดท้ายแล้ว นางก็ยังต้องการที่จะชนะอยู่ดี

ห้วนหมิงเสียงตกตะลึงอีกครั้ง “อิสรภาพในการแสดงออก” พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ พวกเขาไม่ได้คิดอะไรเลย และวางแผนที่จะไปเผชิญหน้ากับเหล่าศิษย์จากหอชั้นดีในวันพรุ่งนี้แล้วเช่นนั้นหรือ

“พวกเจ้าจะชนะกันได้จริงหรือ” ชายชราจับหน้าผากอย่างช่วยไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อมั่นในตัวเด็กสาวคนนี้ แต่เป็นเพราะอีกสองคนที่เขายังไม่รู้จักตัวตนอย่างชัดเจนต่างหาก

ครั้งนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบกลับอย่างมั่นใจ “พวกเราจะต้องชนะ”

“เจ้ามั่นใจขนาดนั้นเชียวหรือ” ชายชราคนนั้นหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่ ปกติแล้วหญิงสาวคนนี้มักจะพูดน้อย แต่พอนางพูดคำเหล่านี้ในตอนนี้ เขาก็คิดว่าจะต้องมีบางอย่างอยู่เบื้องหลังแน่

เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มและพยักหน้า “กลุ่มของพวกเรานั้นแตกต่างจากกลุ่มอื่น”

“ต่างกันอย่างไรหรือ” ความอยากรู้ของห้วนหมิงเสียงถูกกระตุ้น

เฮ่อเหลียนเวยเวยลูบคางของตน และโค้งริมฝีปากบางของตนเองอย่างมีนัยยะ “เป้าหมายของพวกเราชัดเจน คือสนใจที่เงินและผลตอบแทน ครั้งนี้ เจ้าสำนักใจดีอย่างมาก ผู้ชนะจะได้รับเงินรางวัลถึงหนึ่งแสนตำลึงเลยทีเดียว”

ปากของห้วนหมิงเสียงกระตุกแล้วกระตุกอีก นี่คือสิ่งที่นางหมายถึงความแตกต่างระหว่างกลุ่มของนางกับกลุ่มอื่นๆ เช่นนั้นหรือ

หึหึ ช่างต่างกันมากจริงๆ

เขาอยู่ที่สำนักไท่ไป๋มาหลายปีแล้ว และนี่เป็นครั้งแรกที่ใครสักคนจะเข้าร่วมการแข่งขันเพราะเงินรางวัล…

“ช่างเถอะ ช่างเถอะ” ห้วนหมิงเสียงถอนหายใจยาวเพราะมันช่างน่าขำยิ่งนัก “พาเพื่อนร่วมโต๊ะของเจ้ามาที่นี่ แม้ว่าข้าจะแก่แล้ว แต่ข้าก็ยังพอจะสอนกระบวนท่าบางอย่างให้เขาได้ ส่วนเรื่องโหราศาสตร์ แม้ว่าข้าไม่สามารถช่วยเหลือได้โดยตรง แต่ที่นี่ก็มีตำราโบราณอยู่เล่มหนึ่งที่เจ้าสามารถเอากลับไปด้วยได้”

เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดอยู่ครู่หนึ่ง และรู้สึกว่านี่อาจเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้กับพวกเขา

ทั้งนี้ หลังจากหอชั้นดี พวกเขาต้องเจอกับหอชั้นเยี่ยม และพวกเขาก็ไม่อาจเมินเฉยต่อความแข็งแกร่งของเฮยเจ๋อได้เลย

การได้รับคำแนะนำจากผู้อาวุโสห้วนก็ถือว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์

“เมื่อถึงเวลาค่ำ ข้าจะพาเขามาหา” เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะเบาๆ “และมาที่นี่ด้วย”

ห้วนหมิงเสียงพยักหน้าและลูบเคราของตนเอง “เพื่อนร่วมโต๊ะของเจ้าถนัดเรื่องอะไรหรือ และตอนนี้เขาอยู่ในระดับใดแล้ว”

“ข้าไม่เคยถาม” เฮ่อเหลียนเวยเวยคาดเดาเอาเอง “เขาน่าจะอยู่ในธาตุดิน”

นิ้วมือที่กำลังลูบเคราของห้วนหมิงเสียงหยุดชะงักทันที ดวงตาของเขาเบิกขึ้นเล็กน้อย “ธาตุดิน ที่เป็นระดับต่ำที่สุดเช่นนั้นหรือ” มันมีค่าเท่ากับผายลมเลย พวกเขาจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน

“อาจจะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตาลง และดวงตาของนางก็เป็นประกายเล็กน้อย “รอจนกว่าจะค่ำก็แล้วกัน ข้าจะพาเขามาหา ผู้อาวุโสห้วนจะได้พูดคุยกับเขาเอง”

ห้วนหมิงเสียงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับ “ก็คงทำได้เพียงเท่านี้แล้วล่ะ”

ผู้ฝึกปราณธาตุดิน เขาจะต้องใช้เวลาครุ่นคิดอย่างยาวนานและหนักหน่วง เป็นเวลานานหลายปีแล้วที่เขาไม่ได้เจอคนในระดับนี้ เฮ้อ

จะกล่าวโทษห้วนหมิงเสียงที่มีปฏิกิริยาเช่นนี้ก็ไม่ได้ ใครๆ ต่างก็รู้ดีว่านอกจากรัฐบุรุษอาวุโสของจักรวรรดิจ้านหลงผู้นี้จะเป็นผู้มีอิทธิพลในตุลาการแล้ว เขายังเป็นผู้ฝึกปราณที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก และในฐานะที่เป็นคนปูทางให้กับหน่วยพิฆาตวิญญาณ จึงสามารถเรียกเขาได้ว่าเป็นปรมาจารย์ที่ทุกคนชื่นชม

อย่างที่เขาเคยพูดเอาไว้ตั้งแต่สิบกว่าปีก่อน ว่าเขาไม่เคยเจอผู้ฝึกปราณในธาตุดินเลย เขาจึงต้องคิดให้ถี่ถ้วนว่าจะฝึกศิษย์คนนั้นอย่างไร…

“ผู้เฒ่าห้วน ท่านตั้งใจจะสอนพวกเขาจริงๆ หรือ” หลังจากที่เฮ่อเหลียเวยเวยจากไป ก็มีร่างของมนุษย์สีฟ้าปรากฎขึ้นด้านหลังของห้วนหมิงเสียง “มันจะไม่เสียเวลาเปล่าหรือ พวกศิษย์จากหอสามัญที่อยู่กับคุณหนูเฮ่อเหลียนคนนั้น ไม่มีใครมีความถนัดใดๆ เลย ดังนั้น ครั้งล่าสุดที่ท่านบอกให้ไปมองหาคนที่มีพรสวรรค์จากหอสามัญ ท่านถึงไม่ได้รับการตอบรับเลย แต่ตอนนี้ ท่านกลับเป็นครูฝึกให้กับศิษย์จากหอสามัญเช่นนี้ มันจะไม่ยุติธรรมต่อการแข่งขันหรือไม่ขอรับ”

เคราสีขาวยาวของห้วนหมิงเสียงกระพือ “หากข้าสอนเพียงไม่กี่คำ แล้วทำให้ศิษย์ใหม่จากธาตุดินชนะการแข่งขันได้ ก็หมายความว่าพวกคนที่มีชื่อเสียงจากหอชั้นเลิศ และหอชั้นเยี่ยมก็อ่อนหัดเกินไปแล้ว”

“ผู้เฒ่าห้วนตั้งใจจะใช้พวกเขาฝึกฝนเหล่าศิษย์ใหม่จากหอชั้นเลิศเช่นนั้นหรือขอรับ” ร่างของมนุษย์คนนั้นเลิกคิ้วขึ้น ใบหน้าของเขาค่อยๆ แสดงให้เห็นว่าเข้าใจอีกฝ่าย

ห้วนหมิงเสียงยิ้มเบาๆ รอยยิ้มนั้นลึกลับและงดงามราวกับสวรรค์ “เด็กสาวที่ชื่อว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยนั้นมีตัวแปรมากเกินไป การปรากฏตัวของนางจะทำลายความรู้สึกเหนือชั้นกว่าของพวกศิษย์จากหอชั้นเลิศที่เคยเป็นมาตลอดหลายปี ข้าจะบอกความจริงให้เจ้าฟัง ตอนนี้ข้าไม่ค่อยพอใจผู้ที่ถูกคัดเลือกพวกนั้น ดังนั้น ข้าจึงต้องการจะสร้างอุปสรรคให้กับพวกเขา และดูว่าพวกเขาจะสามารถข้ามผ่านมันไปได้หรือไม่ แต่นี่ก็ไม่ใช่การแข่งขันของเด็กสาวคนนั้นเพียงคนเดียว แต่ยังรวมถึงอีกสองคนนั้นด้วย ข้าจึงต้องแน่ใจว่าคนอื่นๆ จะไม่ฉุดรั้งนาง อย่างน้อยๆ ก็ต้องรับประกันว่าพวกเขาจะแข่งขันชนะในสองรอบแรก เพื่อให้นางได้ประลองกับพวกหอชั้นเลิศ”

“แต่ผู้ฝึกปราณธาตุดินนั้น…” ร่างมนุษย์ยังคงคลางแคลงใจ “ช่วงเวลาสั้นๆ ในคืนเดียว คงไม่อาจเพิ่มความสามารถของเขาได้มากนัก”

ห้วนหมิงเสียงก้มหน้าลงและถอนหายใจ “จงทำให้ดีที่สุด และยอมรับโชคชะตา ข้าเพียงแค่หวังว่าคนที่เด็กสาวคนนั้นพามา จะไม่ใช่คนที่หัวทึบจนเกินไป…”

พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน มีลมพัดมาอย่างแผ่วเบา ณ มุมหนึ่งในโรงอาหารของสำนักไท่ไป๋

“หลังกินข้าวเสร็จแล้ว ตามข้าไปที่หนึ่งสิ” เฮ่อเหลียนเวยเวยวางตะเกียบไม้ไผ่ในมือลง และมองไปยังชายที่อยู่ตรงหน้า พร้อมกับหาวอย่างเกียจคร้าน

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยใช้ผ้าขาวเช็ดมุมปากของตนเองอย่างสง่างาม และตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเพียงคำเดียว “ได้”

นี่ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยมักจะเข้าใจผิดว่าคนตรงหน้าจะต้องมีภูมิหลังอันสูงส่งหรือเป็นราชวงศ์ เพราะแม้แต่ท่วงท่าในการกินอาหารของเขายังน่ามองเลย เมื่อเทียบกับเหล่าคนดังที่อยู่บนป้ายโฆษณาในยุคสมัยใหม่ ท่าทีของเขานั้นดูมีเสน่ห์ยิ่งกว่าเสียอีก

“เจ้าไม่ถามหน่อยหรือว่าข้าจะพาเจ้าไปที่ไหน” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มบางๆ พร้อมกับมองหน้าเขาและเลิกคิ้วขึ้น

ทันใดนั้น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ยิ้มพร้อมกับมองเข้าไปในดวงตาของนาง ด้วยท่าทีที่ดูเยือกเย็นและมีเสน่ห์ มันช่างดูเย้ายวนอย่างมาก “อะไรกัน หรือว่าเจ้าคิดจะทำอะไรกับข้าเช่นนั้นหรือ”

เขากำลังหยอกนางหรือ เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วพร้อมกับเผยรอยยิ้มที่ดูลึกซึ้ง “หากขายเจ้าให้กับหอนางโลมชายน่าจะได้ราคาดีทีเดียว”

เมื่อเงาทมิฬที่กำลังฟังอยู่ได้ยินเช่นนั้น ก็รู้สึกว่าตนเองชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น

ขายฝ่าบาท…ขายฝ่าบาทให้กับหอนางโลมชายเช่นนั้นหรือ

คุณหนูเฮ่อเหลียนคนนี้ไม่อยากมีชีวิตต่อไปแล้วหรืออย่างไรกัน

“เหอะ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอื้อมมือไปหยิบถ้วยชา ขณะที่นิ้วเรียวยาวสัมผัสถ้วย ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความคิด “ดูเหมือนว่าผู้สนับสนุนทางการเงินจะมั่นใจในรูปร่างหน้าตาของข้ามาก”

เฮ่อเหลียนเวยเวยรินชาให้ตัวเอง และยิ้มให้ “แน่นอน เจ้าไม่ได้ส่องกระจกทุกวันหรืออย่างไรกัน รูปร่างหน้าตาอย่างเจ้า สามารถทำให้ผู้คนยอมเสียเงินโดยไม่ต้องคิดเลย”

เงาทมิฬตอบกลับในใจ [ยอมเสียเงินโดยไม่ต้องคิด ไม่ว่าฝ่าบาทจะเสด็จไปที่ใด ผู้คนต่างก็เทหัวใจของพวกเขาให้กับฝ่าบาท]

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจิบชาอย่างไม่รีบร้อน จากเดิม ริมฝีปากบางที่งดงามอยู่แล้วนั้น ก็ยิ่งชุ่มชื้นมากขึ้นหลังจากที่ถูกเคลือบไปด้วยน้ำชา เมื่อถูกกระทบด้วยแสงยามเย็น ก็ราวกับว่ามันกำลังเปล่งแสงจางๆ ออกมา “ดูเหมือนว่าข้าจะมีคุณสมบัติที่ดีทีเดียว”

ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นประกาย “เจ้าก็คิดที่จะเข้ามาในแวดวงนี้เช่นนั้นหรือ ข้ามีสถานที่แห่งหนึ่งที่เปิดรับเจ้าโดยเฉพาะ”

เงาทมิฬ…เดี๋ยวก่อน ทำไมบทสนทนานี้ถึงฟังดูแปลกประหลาดขึ้นเรื่อยๆ เล่า

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้มพร้อมกับยกมือข้างซ้ายของตนไว้บนโต๊ะ แล้วนิ้วมือข้างขวาก็เอื้อมไปจับคางของเฮ่อเหลียนเวยเวยโดยไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ ในขณะที่ตัวของเขาก็โน้มไปหาหญิงสาว…