บทที่ 165 อีกแล้วหรือนี่ 5 (1)

คาร์ลไม่ได้ใส่ใจกับสายตาที่จ้องมาที่เขา

~มนุษย์!~

อย่างไรก็ตามเขาเริ่มกังวลกับความเห็นของราอน

~ข้าภูมิใจในตัวเจ้ายิ่งนัก!..มันเป็นความรู้สึกที่เยี่ยมยอดไปเลย..พวกเราทำมันได้!~

คาร์ลพยายามอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ตัวเองสนใจกับอารมณ์ที่เริ่มหลากหลายของราอน เขาหันหน้าไปทางจักรพรรดิที่ยืนสูงกว่าเขาหนึ่งระดับ องค์จักรพรรดิเป็นคนที่เราสามารถพบได้เฉพาะในสถานการณ์แบบนี้เท่านั้น แต่ความคิดของคาร์ลที่กำลังมองไปยังองค์จักรพรรดิไม่ได้ซาบซึ้งไปกับความภูมิใจในโอกาสที่ได้เข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิแต่อย่างใด

‘มีข่าวลือว่าร่างกายของเขาอ่อนแอใช่มั้ย?’

เขาได้ยินมาว่าองค์จักรพรรดิร่างกายอ่อนแอซึ่งการที่เขายังมีชีวิตอยู่สามารถเรียกว่าปาฏิหาริย์ได้เลย ด้วยซ้ำและแม้แต่อดีตองค์จักรพรรดิก็เป็นแบบนี้เช่นกัน

‘ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาเห็นองค์ชายเอดินเป็นสมบัติอันล้ำค่าของพวกเขา’

นี่คือหนึ่งในคำอธิบายขององค์ชายเอดินในนิยายเรื่องกำเนิดวีรบุรุษ

<องค์จักรพรรดิรู้สึกอิจฉาในตัวองค์ชายเอดินที่มีทุกอย่างเพียบพร้อมมากกว่าเขา>

เอดินมีร่างกายที่แข็งแรงมาตั้งแต่เด็กๆและมีความสามารถด้านการใช้ดาบในระดับสูง เอดินคือผู้ที่เกิดมาพร้อมคุณสมบัติต่างๆที่องค์จักรพรรดิปรารถนา เอดินจึงใช้สิ่งนี้เพื่อทำให้องค์จักรพรรดิต้องพึ่งพาในตัวเขา จากการที่มีองค์จักรพรรดิซึ่งมีร่างกายอ่อนแอมาถึง 2 รุ่นทำให้เอดินได้เรียนศิลปะการต่อสู้เกือบทุกแขนงเพื่อไม่ให้ร่างกายของตนอ่อนแอลง

“คาร์ล เฮนิตัส!”

จักรพรรดิเพียงองค์เดียวของทวีปตะวันตกเอ่ยเรียกชื่อคาร์ลขึ้นมาก่อนที่คาร์ลจะทำความเคารพอย่างนอบน้อมและเป็นทางการ จักรพรรดิมองมาที่คาร์ลและเอ่ยต่อไป

“การกระทำของเจ้าในช่วงเหตุการณ์วางระเบิดในตำหนักแสงตะวันเปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญและงดงามยิ่งนัก!”

เสียงขององค์จักรพรรดิดังก้องไปทั่วพื้นที่ด้วยเครื่องเวทย์ขยายเสียง

“ชาวต่างอาณาจักรเช่นเจ้าได้ลงมือทำในสิ่งที่ยากยิ่งนักซึ่งแม้แต่ชาวจักรวรรดิเองก็ยากจะทำมันได้! ตำหนักแสงตะวันไม่ถล่มลงมาและมีผู้รอดชีวิตจำนวนหลายร้อยคนก็เพราะสิ่งที่เจ้าทำ!”

คาร์ลลอบสังเกตใบหน้าขององค์จักรพรรดิในขณะที่กำลังกล่าวสรรเสริญการกระทำของเขาอยู่ ดูเหมือนองค์จักรพรรดิจะร่างกายอ่อนแอจริงๆอย่างที่มีข่าวลือ

‘แต่พวกเขาทั้งคู่ก็ไม่ได้มีอะไรต่างกันเลยสักนิด..’

แม้ว่าสุขภาพร่างกายของทั้งองค์จักรพรรดิและองค์ชายเอดินจะแตกต่างกันแต่ความคิดของพวกเขากลับมีทิศทางไปในแนวเดียวกันอยู่ดี

คาร์ลหยุดความคิดของตนลงและแสร้งวางตัวเป็นขุนนางผู้ทรงเกียรติอีกครั้ง เขาตั้งใจฟังสิ่งที่องค์จักรพรรดิกล่าวต่อไป

“ข้าขอตอบแทนความช่วยเหลือและความกล้าหาญของเจ้า..ด้วยเหรียญพระราชทานชั้น3และสมบัติอีกจำนวนหนึ่ง!”

เหรียญพระราชทานสีเงินถูกประดับลงบนเสื้อของคาร์ล

เฮ!!!!!!เฮ!!!!!!เฮ!!!!!!เฮ!!!!!!

ไชโย!ไชโย!ไชโย!ไชโย!ไชโย!

เสียงโห่ร้องแสดงความยินดีดังก้องไปทั่วจัตุรัสกลางเมือง

องค์จักรพรรดิตบไปที่ไหล่ของคาร์ลเบาๆ

“เจ้าทำได้ดีมาก”

คาร์ลเห็นถึงความจริงใจจากทางจักรวรรดิ พวกเขามอบเหรียญพระราชทานชั้นที่ 3ให้กับเขา จากเหรียญพระราชทานทั้งหมดของจักรวรรดิ เหรียญพระราชทานชั้นที่ 3 ถือเป็นเหรียญในระดับสูงสุด

ชั้นที่ 1 สำหรับผู้ที่สร้างชื่อเสียงให้กับอาณาจักร

ชั้นที่ 2 สำหรับวีรบุรุษแห่งสงคราม

ชั้นที่ 3 สำหรับผู้ที่เป็นแบบอย่างและเสียสละเพื่ออาณาจักร

เหรียญพระราชทานชั้นที่ 3 ถือเป็นเกียรติสูงสุดที่ชาวต่างอาณาจักรจะได้รับและคาร์ลเป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับเกียรตินี้หลังจากผ่านมาเป็นเวลานานหลายศตวรรษ

‘อาจเป็นเพราะจักรวรรดิไม่ค่อยมีเรื่องดีๆให้กล่าวถึงสักเท่าไหร่’

ดูเหมือนจักรวรรดิจะประสบความล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำอีกในสายตาของอาณาจักรอื่นๆ พวกเขาสูญเสียประสาทเมเปิ้ลไปและหัวหน้าหอระฆังยังเกือบถูกลอบสังหารในตำหนักแสงตะวัน

คาร์ลคือแสงอันทอประกายที่ปรากฏขึ้นมาต่อหน้าพวกเขาในสถานการณ์แย่ๆเช่นนี้

~มนุษย์! ข้าภูมิใจในตัวเจ้าจริงๆ..เจ้าอาจเป็นคนอ่อนแอแต่จิตใจของเจ้าประเสริฐยิ่งนัก!~

คาร์ลเพิกเฉยต่อความเห็นของราอน

“ทำไมเจ้าไม่พูดอะไรสักหน่อยล่ะ?”

องค์จักรพรรดิชี้ไปที่แท่นพิธีทางด้านหน้า

นี่ถือเป็นหนึ่งในขั้นตอนก่อนที่สมบัติจะถูกมอบให้คาร์ล เขาโค้งทำความเคารพต่อองค์จักรพรรดิก่อนจะค่อยๆหันหน้าไปทางจัตุรัสกลางเมือง

ทั่วทั้งลานกว้างของจัตุรัสกลางเมืองเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมาก

~มนุษย์! บิลอสอยู่ทางขวามือของเจ้า! นั่นไงๆๆ เขาอยู่ใกล้ๆกับน้ำพุ!~

สายตาของคาร์ลเบนไปยังน้ำพุทันที แน่นอนว่าเขาเป็นคนสั่งให้บิลอสมาที่นี่โดยเฉพาะ

‘พวกเขาอยู่ที่นี่กันหมดแล้วสินะ’

บิลอส นักเล่นแร่แปรธาตุขี้เมาและแม้แต่แมวขนสีแดงในอ้อมแขนของเชวฮันก็ล้วนแต่อยู่ที่นี่

ถึงคาร์ลจะมองเห็นใบหน้าของพวกเขาไม่ชัดเพราะระยะที่ไกลเกินไปแต่เขาก็สามารถจำลักษณะและรูปร่างของพวกเขาทั้งหมดได้

คาร์ลกวาดสายตาไปมองรอบๆจัตุรัสกลางเมืองอีกครั้ง

ผู้คนต่างส่งเสียงเชียร์และคาดหวังว่าเขาจะพูดอะไร

คาร์ลทิ้งระยะไว้ครู่หนึ่งและเริ่มพูด

“ข้ามีความสุขยิ่งนัก”

ขุนนางหนุ่มผู้นี้ดูมีความสุขจริงๆอย่างที่เขาพูด

ผู้คนที่มารวมตัวกันในจัตุรัสกลางเมืองต่างยินดีกับขุนนางหนุ่มที่ได้รับเหรียญพระราชทานจากองค์จักรพรรดิ พวกเขารู้สึกดีใจเมื่อเห็นว่าขุนนางผู้นี้ได้รับการยกย่องอย่างสมเกียรติ พวกเขาได้ยินเกี่ยวกับสิ่งที่ขุนนางหนุ่มผู้นี้ทำ แน่นอนว่าพวกเขาต่างตกใจที่รู้ว่าตำหนักแสงตะวันถูกลอบวางระเบิดแต่พวกเขาก็รู้สึกโล่งใจที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บและตัวตำหนักไม่ได้ถล่มลงมา

แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับพลเมืองเฉกเช่นพวกเขานัก เพราะคนที่ได้รับการช่วยเหลือจากเหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นขุนนางกันส่วนใหญ่

จากเหตุผลดังกล่าวดูเหมือนสิ่งเดียวที่พวกเขาจะทำได้คือการส่งเสียงให้กำลังใจขุนนางผู้นี้โดยไม่มีอารมณ์ซาบซึ้งไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นนัก

แน่นอนว่าคาร์ลเองก็รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี

“ข้ามีความสุขที่ตัวเองสามารถช่วยชีวิตผู้อื่นไว้ได้!..ข้ามีความสุขที่สามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างเต็มที่!”

ประโยคที่คาร์ลเอ่ยต่อมาทำให้สีหน้าของเหล่าพลเมืองเปลี่ยนไปเล็กน้อย เอ่อ..ที่เขาบอกว่าตัวเองมีความสุขไม่ใช่เพราะได้รับเหรียญพระราชทานหรอกหรือ?

อ่า..มันเป็นอย่างนี้เองสินะ! เขามีความสุขที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่นและทำหน้าที่ของการเป็นขุนนางได้อย่างสมเกียรติ

คาร์ลมองไปที่องค์จักรพรรดิเมื่อความเงียบเริ่มปกคลุมไปทั่วจัตุรัสกลางเมืองจากคำพูดสั้นๆของคาร์ล

“…ได้เวลามอบสมับติแล้วล่ะ”

จักรพรรดิเอ่ยขึ้นอีกครั้งก่อนจะมีคนเดินออกมาพร้อมกับกล่องของขวัญขนาดใหญ่ จักรพรรดิสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างเมื่อเขาหันไปเห็นสายตาที่คาร์ลมองไปยังกล่องสมบัติที่ถูกห่อด้วยกำมะหยี่สวยงาม

เขาสามารถบอกได้ว่าขุนนางผู้นี้รู้สึกลังเล

ขุนนางที่บอกว่าตัวเองมีความสุขจู่ๆก็มีสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมา

ไหนจะสายตาที่คาร์ลแอบชำเลืองมาทางเขาบ่อยๆ องค์จักรพรรดิเคยเห็นสายตาเช่นนี้ มันเป็นสายตาของคนที่มีบางอย่างจะพูดแต่ไม่กล้าพูดมันออกมาต่อหน้าองค์จักรพรรดิ

“เจ้ามีอะไรอยากจะพูดงั้นหรือ?”

จักรพรรดิพยายามไม่ให้ตัวเองไอออกมาเมื่อสัมผัสเข้ากับลมเย็นๆ

“..ไม่มีอะไรพะย่ะค่ะฝ่าบาท”

“ข้าจะถามเจ้าเป็นครั้งที่สอง..มีอะไรจะพูดหรือไม่?..เจ้าสามารถพูดออกมาได้เลย”

‘ข้าจะถามเจ้าเป็นครั้งที่สอง’

ประโยคนี้ทำให้สีหน้าของคาร์ล เฮนิตัสเปลี่ยนไปราวกับตัดสินใจบางอย่างได้จากนั้นเขาก็เริ่มพูดออกมา

“ทูลฝ่าบาทพะย่ะค่ะ?..หม่อมฉันไม่ทราบว่าของรางวัลชิ้นนี้คืออะไร?”

“อืม..เป็นเช่นนั้น”

องค์จักรพรรดิมองเห็นการแสดงออกที่เต็มไปด้วยความกล้าหาญจากขุนนางรุ่นเยาว์ที่น้อยครั้งนักจะมีปรากฏให้เขาได้เห็น

“ฝ่าบาทพะย่ะค่ะ? หม่อมฉันขอแลกของรางวัลเป็นอย่างอื่นได้หรือไม่?”

“หืม?”

องค์จักรพรรดิรู้สึกแปลกๆกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น เขาหันไปมององค์ชายเอดินซึ่งประทับอยู่ด้านล่างของแท่นพิธี

‘เสด็จพ่อพะย่ะค่ะ..เขาเป็นขุนนางที่ได้รับการยกย่อง’

‘ยกย่องงั้นรึ?’

‘ใช่พะย่ะค่ะ..อย่างน้อยก็ในสายตาของชาวต่างอาณาจักร’

องค์จักรพรรดิรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเขาใส่ความใจกว้างและความอ่อนโยนเข้าด้วยกัน

“แล้วเจ้าต้องการแลกกับอะไรล่ะ?”

องค์จักรพรรดิเห็นสีหน้าของคาร์ลสดใสขึ้นทันทีเมื่อเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ในขณะที่คาร์ลก็แต้มรอยยิ้มสดใสส่งให้องค์จักรพรรดิ

~มนุษย์! รอยยิ้มนั้นช่างน่ารื่นรมย์เสียจริง!~

คาร์ลไม่สนใจราอนและเริ่มพูดขึ้นอีกครั้ง การสนทนาระหว่างคนทั้งคู่ดังไปทั่วจัตุรัสกลางเมืองจากเครื่องเวทย์ขยายเสียง

“สหายของหม่อมฉันเคยบอกเอาไว้”

‘สหาย?’

คำที่จู่ๆก็ถูกโพล่งออกมาเริ่มทำให้ทุกคนสับสนและแน่นอนว่าองค์จักรพรรดิก็เป็นเช่นเดียวกัน

คาร์ลยังคงพูดต่อไป

“เขาเคยบอกหม่อมฉันว่า..แสงจะทำให้ความมืดมิดสว่างไสวขึ้นมาได้”

การแสดงออกของทุกคนที่อยู่ในจัตุรัสกลางเมืองเริ่มเปลี่ยนไป

พวกเขานึกถึงประโยคที่เจาะจงไปกว่าที่ขุนนางผู้นี้เอ่ยขึ้น

‘พระอาทิตย์ส่องแสงขจัดความมืดมิด’

มันเป็นประโยคที่มีชื่อเสียงเพราะเป็นหนึ่งในคำสอนของคริสตจักรพระเจ้าแห่งแสงตะวัน มันเป็นประโยคที่แตกต่างกันแต่ก็ทำให้พวกเขาคิดถึงมันขึ้นมาได้

“สหายของหม่อมฉันยังพูดอีกว่า..”

สหายที่คาร์ลกำลังอ้างถึงมีเพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ‘นักบวชแจ็ค’

“แสงจะไม่มีวันดับลงหากเรารู้จักแบ่งปัน”

พระอาทิตย์เป็นสิ่งที่ส่องแสงได้ทุกๆรูปแบบและส่องสว่างไปทั่วทุกพื้นที่

มันทำให้พวกเขานึกถึงคำสอนของคริสตจักรพระเจ้าแห่งแสงตะวันแม้ว่ามันจะไม่เหมือนกันเพราะขุนนางผู้นี้ไม่ใช่ผู้ศรัทธาต่อพระเจ้าแห่งแสงตะวัน แต่มันก็อดไม่ได้จริงๆที่จะทำให้พวกเขานึกถึงคำสอนเหล่านั้นได้

แม้ว่าคริสตจักรพระเจ้าแห่งแสงตะวันได้ทำในสิ่งที่ชั่วร้ายแต่ก็ยังมีเหล่าผู้ศรัทธาอีกเป็นจำนวนมากในจักรวรรดิแห่งนี้

ผู้นำของคริสตจักรได้กระทำสิ่งที่ขัดต่อคำสอนของพระเจ้าแห่งแสงตะวันและตอนนี้กลับมีคนที่ไม่เคยข้องเกี่ยวกับคริสตจักรพระเจ้าแห่งแสงตะวันมาทำให้พวกเขานึกถึงคำสอนนั้นได้

เสียงของคาร์ลดังก้องไปทั่วจัตุรัสกลางเมือง

“นั่นคือเหตุผลที่หม่อมฉันอยากแบ่งปันพะย่ะค่ะ”

น้ำเสียงของคาร์ลเต็มไปด้วยความสุขและตื่นเต้น

“แสงสว่างจะไม่มีวันเปลี่ยนไปหากหม่อมฉันได้ทำเช่นนั้น”

เหล่าผู้ศรัทธาต่อพระเจ้าแห่งแสงตะวันเมื่อได้ยินสิ่งที่คาร์ลเอ่ยขึ้นก็พากันคิดไปในแนวเดียวกัน

‘พระอาทิตย์จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง’

พลเมืองคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นมองแท่นพิธีและพึมพำออกมาเบาๆ

“นี่มันก็สักพักแล้วสินะ”

นี่ก็นานมากแล้วที่เขารู้สึกถึงคำสอนของพระเจ้าแห่งแสงตะวันแค่เพียงในใจของเขา

อย่างไรก็ตามมีคนที่คิดเกี่ยวกับคำสอนของพระเจ้าแห่งแสงตะวันอยู่ในใจเป็นจำนวนมากเช่นกัน

องค์จักรพรรดิก็เป็นหนึ่งในนั้น สายตาของเขาคมกล้าขึ้นก่อนจะกลับมาเป็นปกติดังเดิม

ขุนนางหนุ่มผู้กล้าเอ่ยต่อรองเขาและดูเหมือนจะเป็นขุนนางผู้ใสซื่อที่เชื่อว่าตัวเองจะสามารถสร้างโลกอันสวยงามขึ้นมาได้

‘ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ตั้งใจ’

องค์จักรพรรดิคิดว่าคาร์ลไม่ได้มีส่วนร่วมกับวิหารพระเจ้าแห่งแสงตะวันแต่อย่างใด

‘และมันไม่ใช่ประเด็นสำคัญในตอนนี้’

องค์จักรพรรดิไม่ควรพลาดโอกาสที่จะยกระดับคุณค่าของตนเองเช่นกัน เขาเอ่ยขึ้น

“เจ้าไม่ต้องการที่จะรับของรางวัลชิ้นนี้และจะแบ่งปันให้กับผู้อื่นใช่หรือไม่?”

“ใช่แล้วพะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิเริ่มหัวเราะเสียงดังก่อนตะโกนผ่านเครื่องเวทย์ขยายเสียงให้ประชาชนทุกคนได้ยิน

“ข้าจะยอมรับคำขอของคาร์ล เฮนิตัส! เราจะเปิดท้องพระคลังและแจกจ่ายอาหารให้กับประชาชน! การได้มอบสิ่งเหล่านี้ให้กับประชาชนที่ต้องการได้รับความช่วยเหลือถือเป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งนัก!”

ปฏิกิริยาตอบรับจากประชาชนดูสดใสขึ้นทันตา องค์จักรพรรดิพูดต่อทันทีก่อนที่ประชาชนจะพากันตะโกนโห่ร้องออกมาด้วยความยินดี

“ส่วนของรางวัลชิ้นนี้..ข้าก็จะมอบให้กับคาร์ล เฮนิตัสเช่นเดิม!”

องค์จักรพรรดิแสร้งทำเป็นมีน้ำใจและประชาชนก็พากันส่งเสียงเชียร์ออกมาทันที

เฮ!!!เฮ!!!เฮ!!!เฮ!!!เฮ!!!เฮ!!!เฮ!!!

ทรงพระเจริญ!ทรงพระเจริญ!ทรงพระเจริญ!ทรงพระเจริญ!ทรงพระเจริญ!

เฮ!!!เฮ!!!เฮ!!!เฮ!!!เฮ!!!เฮ!!!เฮ!!!

ประชาชนต่างส่งเสียงเชียร์ด้วยความกระตือรือร้นกว่าเดิม พวกเขาพากันปรบมือจนสุดแรงเพื่อยกย่ององค์จักรพรรดิและขุนนางต่างอาณาจักรผู้นี้

จัตุรัสกลางเมืองที่เงียบสงบลงนับตั้งแต่การล่มสลายของคริสตจักรพระเจ้าแห่งแสงตะวันและการพ่ายแพ้ต่ออาณาจักรวิปเปอร์ได้กลับมาครึกครื้นอีกครั้งหนึ่ง

หนึ่งในกลุ่มประชาชนเริ่มพูดขึ้นเมื่อเขายังคงตั้งหน้าตั้งตาปรบมือ

“มันจะดีหรือเปล่านะ?..ถ้าขุนนางผู้นี้เป็นคนของอาณาจักรเรา”

“คงดีกระมัง..เจ้าดูนั่นสิ!..แม้แต่องค์จักรพรรดิของเราก็ดีใจเช่นกัน”

“จริงอย่างที่เจ้าพูด..ดูท่าแล้วขุนนางผู้นี้คงเป็นขุนนางน้ำดีจริงๆ”

มีอีกหลายเสียงที่พากันเอ่ยถึงคาร์ล

“เขาชื่ออะไรนะ?”

“คาร์ล เฮนิตัส”

“อ่า..แล้วเขาเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรพระเจ้าแห่งแสงตะวันหรือเปล่า?”

“….ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันแต่ดูเหมือนเขาจะเป็นคนดีและยังกล้าหาญอีกด้วย..ขุนนางแบบเขาช่างหาได้ยากยิ่งนัก”

“ถูกอย่างที่เจ้าว่า”